หน้าแรกกัลยาณมิตร กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร สื่อธรรมะ กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร
กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร

 

 

 

 

 

 






ภาพ  ป๋องแป๋ง
ลงสี  ปูเป้

   ในอดีตกาล ณ เมืองพาราณสี มีกษัตริย์พระองค์์หนึ่งทรงพระนาม ว่าพระเจ้าพรหมทัต ทรงปกครอง บ้านเมือง  โดยทศพิธราชธรรม ประชาชนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข โดยทั่วหน้า
   ในเวลาต่อมา พระอัครมเหสีได้ ประสูติพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง
ซึ่งมีพระลักษณะ สมบูรณ์ด้วย บุญญาธิการ

   ครั้นล่วงถึงวันสมโภชพระนาม บรรดาโหรหลวงผู้ชำนาญในการ
ดูลักษณะ   ต่างพากันถวายคำ
ทำนายว่าพระกุมารองค์นี้จะเป็นผู้ เชี่ยวชาญทางด้านการปกครอง และในการทำสงคราม นอกจากนี้
ยังเชี่ยวชาญ อาวุธอีก ๕ อย่าง    เมื่อได้ฟังคำทำนายเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าพรหมทัต ทรงปลาบปลื้ม พระทัยยิ่งนัก

    ปัญจาวุธกุมารทรงเจริญวัยขึ้นตามลำดับ ทรงมีพระสติปัญญา เฉลียวฉลาด และสมบูรณ์ด้วยพละกำลัง  ยิ่งกว่ากุมารทั้งหลาย
ในวัยเดียวกัน
    เมื่อพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา พระราชบิดา
มีรับสั่งให้เดินทางไปศึกษาศิลปวิทยา ในสำนัก อาจารย์ทิศาปาโมกข์ นครตักกสิลา แคว้นคันธาระ

   เพียงเวลาผ่านไปไม่นาน ปัญจาวุธกุมารก็สามารถศึกษา
ศิลปศาสตร์ ได้ครบทุกแขนง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการ
รบพุ่ง ทรงมีความชำนาญเป็น เลิศในการใช้อาวุธสำคัญ คือ
ธนู พระขรรค์ หอกซัด กระบอง

  นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมี
พระสติปัญญาเป็นเลิศ  สมดัง
คำทำนายของบรรดาโหราจารย์ ทุกประการ

   จากนั้นปัญจาวุธกุมารก็กราบ
ลาพระอาจารย์ ออกจากสำนัก ทิศาปาโมกข์ มุ่งหน้ากลับสู่กรุง พาราณสีตามลำพัง โดยลัดเลาะ ไปตามป่าเขาต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ทาง ที่เดินมาแต่แรก เพราะต้องการ จะชมภูมิประเทศ ที่แปลกตา ออกไป

  ปัญจาวุธกุมารเดินทางรอนแรม
อยู่หลายวัน   จนกระทั่งวันหนึ่ง
ขณะที่กำลังเดินผ่านหมู่บ้านเล็ก
เพื่อมุ่งสู่ดงไม้อีกแห่งหนึ่ง

  ปัญจาวุธกุมาร เมื่อได้ฟัง เช่นนั้น ก็มิได้มีความรู้สึก
ครั่นคร้าม หรือเกรงกลัว
ต่อยักษ์ตนนั้นเลย

ปัญจาวุธกุมารผู้มีใจเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ เดินต่อไป
ในดงไม้ด้วยท่าทีทรนง องอาจ สง่างาม แต่ระวังตัว อยู่ตลอดเวลา
ยักษ์ตนนี้ มีชื่อว่า สิเลสโลม แปลว่า มีขนเหนียวเป็นตัง เมื่อเห็นหนุ่มน้อยเดินมาถึงที่อยู่ของมัน จึงรีบแปลงกาย ให้ใหญ่โตสูงเท่าลำตาล แล้วย่างสามขุมตรงเข้ามาทันที
ปัญจาวุธกุมารยิงธนููอาบยาพิษเข้าใส่ยักษ์ แต่ลูกธนูก็ไม่อาจ
ทำอันตรายยักษ์ได้ กลับไปติดแน่นอยู่ที่ขนหน้าแข้งของมัน
เจ้ายักษ์ชะงักอยู่กับที่นิดหนึ่ง ด้วยคาดไม่ถึงว่าจะมีมนุษย์คนใด
ใจกล้าถึงปานนี้
เจ้ายักษ์ก้าวเข้ามาเรื่อยๆ ปัญจาวุธกุมารก็ยิง
ลูกศร เข้าไปอีก
แต่ลูกศรไม่อาจทำอะไรยักษ์ได้ กลับไปติดอยู่ตามขนหน้าแข้งของมัน แต่ปัญจาวุธกุมารก็ไม่ละความพยายาม ระดมยิงลูกศรใส่ยักษ์จนหมด
ยักษ์ขนเหนียวสลัดลูกศรทั้งหมดให้ร่วง อยู่แทบเท้า แล้วย่างสามขุมใกล้เข้ามา
  ปัญจาวุธกุมารชักพระขรรค์ เข้าประชิดยักษ์ แล้วฟันไป ด้วยพละกำลังอันมหาศาล
แต่พระขรรค์ ก็ไม่อาจทำ
อันตรายยักษ์ได้ โดยติดอยู่
เพียงขนหน้าแข้งของมัน
  ปัญจาวุธไม่ละความพยายาม
ชักหอกซัดขึ้นฟาดฟันเจ้ายักษ์
อย่างเต็มแรง แต่หอกซัดก็ไป
ติดอยู่ที่ขนหน้าแข้งของมันอีก
เช่นกัน

    ต่อมาปัญจาวุธกุมาร จึงชักกระบอง ขึ้นหวดเจ้ายักษ์อย่างเต็มแรง แต่แล้ว กระบองก็ไปติดอยู่ที่ขนของเจ้ายักษ์
อีกเช่นเคย

   แม้อาวุธทุกอย่างจะเข้าไปติดที่ขน
หน้าแข้งของยักษ์ขนเหนียวก็ตาม แต่
กำลังใจของปัญจาวุธกุมารก็มิได้ลงลง
ไปเลยแม้แต่น้อย

  ปัญจาวุธกุมาร โถมเข้าหายักษ์ แล้วต่อยด้วยมือขวา มือขวาก็ติดขนยักษ์ ต่อยด้วยมือซ้าย มือซ้ายก็ติดอีก
  จากนั้นเตะด้วยเท้าขวา เท้าขวาก็ติด เตะด้วยเท้าซ้าย เท้าซ้ายก็ติด กระแทกด้วยศรีษะ ศรีษะก็ติด เป็นอันว่าทั้งอาวุธ และตัวเองติดห้อย ต่องแต่งอยู่ตรงหน้าแข้งยักษ์นั่นเอง
แต่ถึงกระนั้น ปัญจาวุธกุมารก็ไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน หรือหวาดกลัวเลย  เจ้ายักษ์ไม่เคยพบเห็นใคร ที่มีใจเด็ดเยี่ยงบุรุษ อาชาไนยเช่นนี้มาก่อน มันรู้สึกนับถือในความกล้าของปัญจาวุธกุมารมาก
ยักษ์ขนเหนียวได้ฟังคำขู่ของปัญจาวุธกุมาร
ก็รู้สึกครั่นคร้าม จึงกล่าวว่า
ยักษ์ขนเหนียวนั่งนิ่งฟังคำของปัญจาวุธกุมารอย่างสงบ นับเป็นการฟังธรรมครั้งแรกในชีวิตของมัน เจ้ายักษ์รู้สึกเลื่อมใส
ศรัทธา จึงตั้งใจฟังเป็นอย่างดี ปัญจาวุธกุมารจึงขอให้ยักษ์รักษาศีล ๕ แล้วเตือนให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
หลังจากที่ปัญจาวุธกุมารปราบยักษ์ได้แล้ว และเจ้ายักษ์ยอมรักษาศิล ๕ ก็เดินทางออกจากป่าเข้ามายังหมู่บ้าน เพื่อบอกกับ ชาวบ้านให้เลิกหวาดกลัวยักษ์ขนเหนียว แล้วให้นำข้าวปลาอาหารไปให้ยักษ์กินด้วย เพราะยักษ์จะรักษาศีล ๕ ตลอดชีวิต จึงทำให้ชาวบ้านดีใจ จากนั้นปัญจาวุธกุมารก็เดินทางกลับสู่เมืองพาราณสีต่อไป
Copyright © Dhammakaya Foundation. All rights reserved.
 
จบ
 
ที่มา : หนังสือนิทานชาดก โดย พระภาวนาวิริยคุณ  



 
ปัญจาวุธชาดก
 
:: สาเหตุที่ตรัสชาดก ::

.....ในสมัยพุทธกาล ขณะเมื่อพระบรมศาสดาประทับ ณ เชตวันมหาวิหาร ทรงทราบว่า ในเวลานั้นมีภิกษุรูปหนึ่ง มีนิสัยเกียจคร้านในการศึกษาและปฏิบัติธรรมครองเพศสมณะอยู่ไปวันหนึ่งๆ พระพุทธองค์จึงทรงเรียกพระภิกษุรูปนั้นมาสอบถาม เมื่อทรงทราบแล้วจึงทรงตักเตือนว่า “ ดูก่อนภิกษุ แม้ในกาลก่อน บัณฑิตทั้งหลายกระทำความเพียรในที่ที่ควรประกอบความเพียร ก็ยังบรรลุถึงราชสมบัติได้” แล้วทรงระลึกชาติแต่หนหลังของพระองค์เอง แล้วตรัสเล่า ปัญจาวุธชาดก



 
:: ข้อคิดจากชาดก ::
 

....๑ . การทำความเพียรอย่างไม่ลดละ ทำให้เกิดอำนาจในตัวได้ ถึงเป็นคนธรรมดา ไม่มีอำนาจราชศักดิ์ ก็ยังเป็นที่ครั่นคร้ามของคนทั่วไป แม้อันธพาลก็ยังลังเล ไม่กล้ารุกราน เพราะอัศจรรย์ในพลังจิตที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวของผู้นั้น

.... ๒. ขึ้นชื่อว่า คน ย่อมกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อถึงคราวจะตาย คนบางพวกกลับไม่หวาดหวั่น คนพวกนี้ คือ ผู้ที่ฝึกสมาธิอย่างช่ำชอง ตัดสินใจสละชีวิตเพื่อบำเพ็ญเพียร เพื่อเข้าถึงนิพพานมาตั้งแต่ต้น ดังนั้น จึงมีความเชื่อมั่นอย่างแน่นแฟ้นว่า แม้ถึงตาย บุญที่ทำไว้ดีแล้ว ย่อมทำให้ไปเกิดในที่ดี จึงไม่เสียดายชีวิตเลย


 
 

Home  | นิทานชาดก