หน้าแรกกัลยาณมิตร กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร สื่อธรรมะ กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร
กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร กัลยาณมิตร

 

 

 

 

 

 






ภาพ  ป๋องแป๋ง
ลงสี  ปูเป้


 ถีงแม้ว่าพระเจ้า
มหาสีลวราชจะถูก
เหยียบย่ำอย่างไร
ก็ตาม แต่พระองค์
ก็หาได้ถือโกรธ
กลับตั้งมั่นด้วยการ
ประพฤติธรรมและ
แผ่เมตตาให้กับ
ผู้เป็นศัตรู

 เหล่าเสนาอำมาตย์ แม่ทัพ ทั้งพันนายต้องอดกลั่นต่อการกระทำของศัตรู ในใจครุกรุ่นไปด้วยความโกรธ แต่ก็สามารถ
ควบคุมสติได้ เพราะได้ผ่านการฝึกมาอย่างยอดเยี่ยม อีกประการหนึ่ง เพราะด้วยความเคารพและศรัทธาต่อพระเจ้า
มหาสีลวราช จึงยอมปฏิบัตตามแต่โดยดี และพร้อมเผชิญกับมรณภัยที่จะมาถึง

 ในยามค่ำคืนนั้นเอง เหล่าบรรดาสุนัขป่า
สุนัขจิ้งจอก  และ
สัตว์ร้าย ก็ออกมา
หากินในป่าช้ากัน
ตามปกติ

เมื่อพวกมันเห็นศรีษะมนุษย์ที่โผล่ขึ้นมาในป่าช้านั้น จึงเข้าใจว่าเป็นซากศพ ต่างวิ่งกรูเข้าไปหมายจะกัดกินเป็นอาหาร

พระเจ้ามหาสีลวราช คาดคะเนถึงภัยที่จะมีขึ้นอยู่แล้ว จึงทรงนัดแนะอุบายให้กับเหล่าบรรดา เสนาอำมาตย์ และแม่ทัพไว้ว่า เมื่อพวกสัตว์ป่าวิ่งรี่เข้ามาก็ให้ตะโกนพร้อมกันดังๆ เสียงนั้นดังกึกก้องไปทั่วทั้งป่าช้า ทำให้พวกมันตกใจกลัวและวิ่งหนีไป

 ครัั้้นสุนัขจิ้งจอก
เหลียวหลังกลับมาดู
ก็ไม่เห็นมีใครไล่ตาม
 เมื่อฝูงสุนัขจิ้งจอก
กลับมา พระราชา
และทุกคนก็ตะเพิด
มันด้วยเสียงนั้นอีก
เป็นอย่างนึ้ถึงสามครั้ง
  พวกมันรู้แล้วว่าศรีษะ
คนเหล่านั้นทำเสียงได้
อย่างเดียว แต่เข้ามา
ทำร้ายพวกมันไม่ได้
เจ้าตัวจ่าฝูงก็วิ่งไปที่
ศรีษะพระราชาทันที

ถึงแม้พระเจ้ามหาสีลวราชจะขยับตัวไม่ได้แต่สติของพระองค์มั่นคงและทรงมีปัญญาเป็นเลิศ ทรงยืดพระศอยืดขึ้นสุดช่วง สุนัขจ่าฝูงเห็นช่องทางสะดวกก็เอียงคอหมายจะงับพระศอให้ถนัด แต่ยังไม่ทันงับพระเจ้ามหาสีลวราชก็ทรงกดพระหนุ
หนีบส่วนคอมันไว้แน่นราวกับกำลังของหีบยนต์
   เจ้าสุนัขจิ้งจอกพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดจนสุดกำลัง เท้าของมันตะกุยดินจนกระทั่งกระจัดกระจายออกไปเป็นวงกว้าง
ทำให้ดินปากหลุมที่กลบพระวรกายของพระองค์หลวมขึ้น พอที่จะขยับพระองค์ได้ จึงทรงเงยพระหนุขึ้นปล่อยสุนัขให้วิ่งหนีไป

 ครั้นแล้วทรงฉุดเหล่า
เสนาอำมาตย์ ขุนพล ทั้งหลาย ให้ขึ้นจาก
หลุม เมื่อทุกคนขึ้นมา ได้แล้ว จึงพักผ่อน
อยู่ในป่าช้าแห่งนั้น

 ในป่าช้าแห่งนี้ เป็นที่หากินของยักษ์สองตน ซึ่งกินซากศพ
เป็นอาหาร ทั้งสองแบ่งเขตแดนกันเป็นสองเขต หากซากศพ อยุ่ในเขตใดก็เป็นของผู้นั้น
แต่ในคืนนั้นมีซากศพถูกนำมาทิ้งไว้ตรงกับเส้นเขตแดนพอดี
ยักษ์ทั้งสองตนจึงไม่สามารถแบ่งกันได้จึงได้เถียงกัน

 ในที่สุดยักษ์ทั้ง
สองตนซึ่งได้เห็น
เหตุการณ์ ที่เกิด
ขึ้นมาโดยตลอด
เห็นว่าพระเจ้ามหา
สีลวราช ทรงมีสติ
ปัญญาหลักแหลม
ทั้งยังตั้งอยู่ในทศพิธ ราชธรรม ปราศจาก
อคติทั้งปวง จึงมา
เข้าเฝ้าพระองค์

 ยักษ์ทั้งสองจึงรึบ
ไปนำน้ำที่อบไว้ใน
ห้องสรงน้ำ พร้อม
ทั้งนำเครื่องทรง
เครื่องหอม และ
เครื่องประดับ มา
ถวาย แล้วยังเข้า
ไปในห้องเครื่อง
นำพระกระยาหาร
รสเลิศมาถวาย

หล้งจากที่พระเจ้ามหาสีลวราชเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว
เจ้ายักษ์ก็เข้าไปทูลถามว่าจะประสงค์สิ่งใดอีก
ยักษ์ทั้งสองก็บุกเข้าไปในห้องพระบรรทม หยิบพระขรรค์
ซึ่งวางอยู่ใกล้พระเศียรของพระเจ้าโกศลมาถวาย
  เมื่อพระองค์ได้พระขรรค์คู่พระหัตถ์ก็ทรงผ่าศพออกเป็นสองซีกเท่าๆ กันตั้งแต่หัวลงมา พระราชทานแก่ยักษ์ทั้งสองตน
เมื่อยักษ์ได้กินเนื้อซากศพสมใจอยากแล้วก็สำนึกในพระกรุณา จึงกราบทูลอาสาจะสนองพระราชประสงค์ต่อไป
  เมื่อพระเจ้ามหาสีลวราชเสด็จเข้าไปในห้องพระบรรทม ได้ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าโกศลหลับสนิทอยู่ จึงทรงวางพระขรรค์
ลงบนพระอุระของพระเจ้าโกศล พระเจ้าโกศลทรงผวาตื่นขึ้นก็รู้สึกหวาดกลัว ดังเห็นพญามัจจุราชยืนอยู่ต่อหน้า

 เมื่อพระเจ้าโกศลสำรวม
สติได้แล้วจึงตรัสถามด้วย
เสียงที่สั่นเครือถึงเหตุที่
พระเจ้ามหาสีลวราชทรง
รอดชีวิต และทรงกลับมา
ยังห้องพระบรรทมได้
พระมหาสีลวราช ทรง
ปลอบให้หายหวาดกลัว
และตรัสเล่าเรื่องทั้งหมด
ให้ฟังและไม่ได้ถือโทษ
โกรธแต่อย่างใด

  จนกระทั่งรุ่งเช้าจึงมีรับสั่งให้บรรดาเหล่าเสนา อำมาตย์ และแม่ทัพ ตลอดจนชาวเมืองมาประชุมพร้อมกันที่หน้าประตูเมือง
ครั้นแล้วพระเจ้าโกศลเสด็จออกท่ามกลางมหาชน ตรัสสรรเสริญเกียรติคุณของพระเจ้ามหาสีลวราชเป็นเอนกประการ ทรงทำ
พิธีขอขมาอีกครั้งหนึ่งต่อหน้ามหาชน แล้วประกาศถวายราชสมบัติทั้งหมดคืนแก่พระเจ้ามหาสีลวราช

 จากนั้นพระเจ้าโกศลก็ยกทัพกลับเมือง ทรงมีรับสั่ง ให้ลงโทษอำมาตย์ชั่วที่ยุแหย่พระองค์ให้กระทำผิด

 ฝ่ายพระเจ้ามหาสีลวราช เมื่อได้รับราชสมบัติกลับคืนมา
ก็ทรงรำพึงถึงอานุภาพแห่งความเพียร

ตั้งแต่นั้นมาพระเจ้ามหาสีลวราชก็ยิ่งทรงทำบุญ รักษาศีล เจริญภาวนาด้วยศรัทธาอันเปี่ยมล้น ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์

Copyright © Dhammakaya Foundation. All rights reserved.
 
จบ
 
ที่มา : หนังสือนิทานชาดก โดย พระภาวนาวิริยคุณ  

 
มหาสีลวชาดก
 
:: สาเหตุที่ตรัสชาดก ::

.....ในสมัยพุทธกาล พระภิกษุรูปหนึ่งเมื่อบวชก็ตั้งใจปฏิบัติธรรม แต่ยังไม่บรรลุมรรคผลใดๆ ต่อมาจึงประพฤติปฏิบติธรรมย่อหย่อน

.....พระพุทธองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ จึงตรัสเรียกพระภิกษุรูปนั้นมาซักถาม จากนั้นพระพุทธองค์ทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ ทรงนำมหาสีลวชาดก มาตรัสเล่า


 
:: ข้อคิดจากชาดก ::
 

.....๑. เมื่อเรารักษาศีล ประพฤติธรรมจนเป็นที่รู้กันทั่วไปแล้ว อาจจะเกิดมีคนพาลพวกหนึ่งคอยฉวยโอกาสจากการรักษาศีลของเรา ต้องหาทางป้องกัน โดยยึดหลักว่าศีลก็ต้องรักษาให้ครบ ระเบียบวินัยก็ต้องรักษาให้เคร่งครัด ใครทำผิดก็ต้องลงโทษ และไม่เปิดโอกาสให้คนพาลทำชั่ว

.....๒. เมื่อมีปัญหา อย่าตัดสินปัญหาง่ายๆ ด้วยวิธีแบบรุนแรง มิฉะนั้นเรื่องร้ายจะยืดเยื้อไม่รู้จบเพราะความอาฆาตจองเวร
         ดังนั้นผู้มีปัญญาทั้งหลาย เมื่อตัดสินใจแก้ปัญหาอะไร ให้ถือเอาธรรมะเป็นพื้นฐาน

 
 

Home  | นิทานชาดก