บางพระชาติก่อนตรัสรู้เป็นพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า (ตอน ๒)

วันที่ 15 ตค. พ.ศ.2547

 

 

บางพระชาติก่อนตรัสรู้เป็นพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า (ตอน ๒)

 


.....พระพรหมดาบส

.....พระชาติหนึ่ง พระโพธิสัตว์ทรงบังเกิดเป็นลูกชายในตระกูลพราหมณ์ชื่อ พรหมกุมาร ศึกษาสำเร็จไตรเพทแล้ว เป็นอาจารย์สอนลูกศิษย์ ๕๐๐ คน เมื่อบิดามารดาสิ้นชีวิตแล้วพรหมกุมารนำทรัพย์สมบัติออกบริจาค แล้วออกบวชเป็นฤๅษี ศิษย์ทั้ง ๕๐๐ ได้พากันทยอยบวชตามมาอยู่ด้วย

.....หัวหน้าศิษย์ทั้งหมดในครั้งนั้นคือ พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ วันหนึ่งขณะที่เหล่าศิษย์พากันออกไปเที่ยวหาผลไม้มาบริโภค พระพรหมดาบสได้ไปกับศิษย์ที่เป็นหัวหน้า สองคนปีนป่ายขึ้นไปบนภูเขาปัณฑระ เมื่อมองลงไปที่เชิงเขา ดาบสทั้งคู่เห็นเสือแม่ลูกอ่อนเพิ่งคลอดลูกได้ ๒-๓ วัน กำลังหิวจัด แม่เสือมองจ้องลูกเขม็งเหมือนเตรียมจะขย้ำกินเป็นอาหาร

.....พระพรหมดาบสเห็นแล้วสลดใจ เห็นทุกข์ภัยในการเกิดเป็นสัตว์โลก มีแต่การเบียดเบียนกันเพื่ออยู่รอด ไม่เว้นแม้แต่จะเกิดเป็นแม่ลูกกัน ตราบใดถ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิด จะต้องหนีไม่พ้นการเบียดเบียนนำทุกข์มาให้แก่กันและกัน

.....พระดาบสเห็นใจในความหิวโหยของแม่เสือที่ยังไม่มีกำลังออกไปหาเหยื่อ และก็มีความกรุณาในชีวิตน้อยๆ เพิ่งเกิดของลูกเสือ จึงคิดบำเพ็ญปรมัตถทานบารมี สละชีวิตตนเพื่อให้ซากศพเป็นทาน แม่เสือกินแล้ว

.....คิดดังนั้นแล้ว พระดาบสจึงแสร้งใช้หัวหน้าศิษย์ที่มาด้วยกันให้ไปเที่ยวหาซากสัตว์ที่อาจมีในบริเวณนั้นมาให้แม่เสือ เมื่อดาบสผู้เป็นศิษย์เดินไปลับตา พระพรหมดาบสก็อธิษฐานจิตเอาอำนาจปรมัตถทานบารมีของตนครั้งนี้ เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณในเบื้องหน้า แล้วตัดสินพระทัยกระโดดลงมาสิ้นชีวิตทิ้งร่างไว้ต่อหน้าแม่เสือ แม่เสือจึงเลิกคิดกินลูกของมัน หันมากินร่างพระโพธิสัตว์แทน

.....การกระทำครั้งนี้เรียกว่า พุทธการกธรรม เป็นการกระทำที่ทำได้ยากยิ่ง สามารถสละสิ่งที่ทำได้ยาก เพื่อปรารถนาการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปลื้องทุกข์ให้ตนเองและสัตว์โลกให้จงได้

.....พระพรหมดาบสสิ้นชีวิตแล้วไปบังเกิดในสุคติเทวโลก สิ้นบุญจากภพนั้นก็เวียนว่ายตายเกิดอีกเรื่อยมา จนถึงชาติหนึ่งมีความประมาททำอกุศลกรรม กาเมสุมิจฉาจาร ต้องไปเสวยทุกข์ในนรกอเวจีเป็นเวลาช้านาน ทำให้เสียเวลาในการสร้างบารมี ชาติที่ว่านี้คือชาติที่เกิดเป็นชายหนุ่มมีอาชีพเป็นช่างทอง

.....มานพช่างทอง

.....พระโพธิสัตว์ชาติที่เกิดเป็นลูกชายช่างทองนั้น ด้วยกุศลวิบากในการรักษาศีลมาเป็นอย่างดี ทำให้มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม บุคลิกสง่างามสมชายชาตรี ยังมีฝีมือในการทำเครื่องประดับทองคำเป็นเลิศ ไม่มีฝีมือช่างทองผู้ใดเสมอเหมือน มีชื่อเลื่องลือไปในที่ทั้งปวง

.....ในเมืองนั้นมีเศรษฐีผู้หนึ่งจะจัดพิธีแต่งงานให้ธิดา จึงใคร่ทำเครื่องประดับเป็นของขวัญให้ ได้เรียกช่องทองหนุ่มไปพบเพื่อตกลงราคา ครั้นได้เห็นรูปร่างหน้าตาของช่างทองแล้ว ก็เกิดความหวั่นเกรงว่า ถ้าธิดาของตนเห็นช่างทองเข้าจะต้องหลงรัก และขอเลิกพิธีแต่งงานอย่างแน่นอน จึงขอตกลงให้ช่างทองทำเครื่องประดับโดยให้เห็นมือและเท้าลูกสาวของตนที่ยื่นออกมาจากผ้าม่านเท่านั้น ช่างทองตกลง

.....แต่ธิดาของเศรษฐีมีความสงสัยว่า เหตุใดบิดาจึงต้องใช้วิธีกั้นม่าน ไม่ให้เห็นหน้าซึ่งกันและกัน เมื่อได้โอกาสจึงแอบดู ครั้นเห็นแล้วก็เกิดความรักท่วมท้นจับใจ ไม่สามารถนิ่งเฉยอยู่ได้ จึงเขียนจดหมายขอนัดพบที่สวนหลังบ้าน ในเวลาดึกเมื่อผู้คนในบ้านนอนหลับกันหมดแล้ว

.....ช่างทองได้ไปพบตามนัด แต่เนื่องจากอ่อนเพลียจากการทำงานในตอนกลางวันจึงเผลองีบหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบภาชนะใส่อาหารอย่างประณีตวางอยู่ แสดงว่าธิดาเศรษฐีมาแล้ว แต่เห็นตนกำลังหลับจึงไม่ปลุก (สมัยนั้นการปลุกคนหลับถือว่าบาป) นางกลับไปเสียก่อน

.....วันที่สอง ธิดาเศรษฐีก็ขอนัดพบใหม่ทำนองเดียวกัน ชายหนุ่มก็ไปตามนัดและนอนหลับอีกแบบเดิม

.....พอวันที่สาม ชายหนุ่มตื่นมาเห็นนางกำลังเดินกลับ เรียกไม่ทัน แต่ก็เห็นว่าธิดาเศรษฐีนั้นเป็นสตรีที่มีความสวยงามมาก ช่างทองหนุ่มเกิดหลงรักนางเป็นที่สุด แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ เพราะในวันรุ่งขึ้นนางได้เข้าพิธีแต่งงานไปเสียแล้ว ต่างฝ่ายจึงได้แต่เสียใจใฝ่ฝันถึงกันและกัน

.....แม้ฝ่ายหญิงจะแต่งงานไปกี่เดือนกี่วันก็ตาม ช่องทองหนุ่มไม่หายรักนาง มีแต่ความทุกข์ทุรนทุราย ในที่สุดจึงคิดอุบายทำเครื่องประดับที่สวยที่สุดไปถวายพระอุปราชของนครนั้น กราบทูลเล่าเรื่องทุกข์ร้อนของตนให้ทราบ

.....พระมหาอุปราชพอใจในเครื่องประดับที่นำมาติดสินบนมาก เพราะไม่เคยมี ไม่เคยเห็นของที่งดงามอย่างนี้มาก่อน แทนที่จะทรงตักเตือนห้ามปราม กลับให้ความเห็นอกเห็นใจ ทรงให้ช่างทองแต่งกายเป็นหญิงอ้างว่าเป็นพระกนิษฐภคีนี(น้องสาว) นำไปฝากไว้กับเศรษฐี ขอให้อยู่ร่วมห้องกับธิดาเศรษฐี โดยห้ามฝ่ายสามีของนางมาเกี่ยวข้องด้วยชั่วคราว จนกว่าพระมหาอุปราชจะกลับจากราชการในชนบท

.....คนทั้งสองได้ประกอบกรรมกาเมสุมิจฉาจารกันเป็นเวลาถึง ๓ เดือน โดยไม่มีใครล่วงรู้ แล้วพระมหาอุปราชจึงมารับกลับ

.....ด้วยบาปกรรมที่ชายหนุ่มไม่ได้พบกัลยาณมิตร กลับพบบาปมิตรเช่นพระมหาอุปราช จึงประกอบอกุศลกรรมหนัก เป็นเหตุให้ตายแล้วไปอยู่อบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย ดิรัจฉาน นานถึง ๑๔ กัป ยังมีเศษกรรมเหลือค้าง ให้ต้องเกิดเป็นลา เป็นโค เป็นคนพิการหูหนวกตาบอดแต่กำเนิด เป็นกะเทย เป็นผู้หญิง อย่างละ ๕๐๐ ชาติ แม้เป็นหญิงแล้วก็ยังต้องรับโทษ เป็นโสเภณีบ้าง ถูกข่มขืนบ้าง ป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับอวัยวะเพศบ้าง กว่าจะได้เป็นผู้หญิงดีๆ ก็นานแสนนาน

.....การต้องไปรับผลกรรมเป็นเวลานานมากเหล่านั้น ทำให้เสียเวลาสร้างบารมีเป็นอันมาก เหมือนเดินทางถอยหลัง

.....พระชาติของพระโพธิสัตว์ที่เกิดเป็นช่างทองนี้ เป็นตัวอย่างอันดี ให้เห็นโทษของความประมาท สู้อุตส่าห์สะสมบารมีมานับเวลายาวนานเป็นกัปๆ เมื่อประมาทย่อมพลาดไปทำความชั่ว เสียเวลารับผลกรรมชั่วเป็นกัปๆ เหมือนกัน การทำความดีอะไรก็ตาม จึงจำเป็นต้องอธิษฐานจิตล้อมตนเองไว้ให้มั่งคงว่า ขอให้บุญกุศลที่กระทำนั้นเป็นปัจจัยให้ถึงมรรคผลนิพพานเลิกเวียนว่ายตายเกิด และนับแต่นี้ต่อไปให้สร้างบุญกุศลอย่างเดียว ความชั่วแม้น้อยนิดเพียงใด ก็ขออย่าได้กระทำ ให้ทำดีรุดหน้าจนกว่าจะเข้าพระนิพพาน

.....หลังจากพระโพธิสัตว์ทางใช้หนี้กรรมเบาบางลงแล้วก็ทรงตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรต่อไปไม่ย่อท้อ กระทั่งชาติสุดท้ายที่จะหมดเวรกาเมสุมิจฉาจาร ได้เกิดเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าสุปปบุตร แห่งนครจัมปาวดี มีพระนามว่าเจ้าหญิงสุมิตตาเทวี ทรงเป็นพระน้องนางต่างมารดาของสมเด็จพระปุราณีทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะทรงเกิดในตระกูลสูง แต่การมีเพศเป็นสตรี ก็ไม่เอื้อให้แสวงโมกขธรรมได้สะดวก

 

ต้องเป็นให้ได้ (ดั่งเช่นพระพุทธเจ้า)
โดย อุบาสิกาถวิล (บุญทรง) วัติรางกูล

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0052450180053711 Mins