ทรงเปล่งพระวาจาปรารถนาพุทธภูมิ และได้รับพุทธพยากรณ์ (ตอน ๗)

วันที่ 21 มค. พ.ศ.2548

 

 

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑๐ ที่ตรัสพุทธพยากรณ์

 

ทรงพระนามว่า พระสุเมธสัมมาพุทธเจ้า

พระสรีระสูง ๘๘ ศอก

อายุขัยของมนุษย์ยุคนั้น ๙ หมื่นปี

ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทัตตะ และพระนางสุทัตตาพระอัครมเหสี แห่งนครสุทัสสนะ

ทรงครองฆราวาสวิสัย เสวยโลกียสุขอยู่ ๙ พันปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ และเมื่อพระอัครชายาสุมนาประสูติพระโอรสปุนัพพะแล้ว เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์โดยทรงช้างต้น

ทรงใช้เวลานำเพ็ญเพียร ๘ เดือนเต็ม

ผู้ถวายข้าวมธุปายาส คือธิดาของนกุลเศรษฐี แห่งนกุลนิคม

นิสีทนสันถัตกว้าง ๔๗ ศอก สุวัฑฒอาชีวกถวายหญ้า ๘ กำ ประทับนั่งโคนต้นนีปะ (ต้นกระทุ่ม)

พระอัครสาวกคือ พระสรณะ และพระสัพพกามะ

พระพุทธอุปัฏฐากคือ พระสาคระ

ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง ในครั้งที่สองทรงทรมารยักษ์ชื่อกุมภกรรณ ให้ละทิฏฐิ และถือพระองค์เป็นสรณะด้วย

มีสาวกสันนิบาตเกิดขึ้น ๓ ครั้ง

เสด้จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ ๙ หมื่นพรรษา ณ พระวิหารเมธาราม พระบรมสารีริกธาตุเฉลี่ยกระจายไปในที่ต่างๆ

 

 

อุตตรมานพ

ในพระพุทธกาลนี้พระโพธิสัตว์ของเราเกิดเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เพียรประกอบอาชีพมีทรัพย์ถึง ๘0 โกฏิ เมื่อพบพระบรมศาสดาผู้งดงาม มีพระรัศมีแผ่ออกไปโดยรอบถึง ๑ โยชน์

ส่องสว่างไปทั่วทุกทิศ เกิดมีความศรัทธาแรงกล้า ครั้นเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ได้สละทรัพย์ทั้งหมดถวายเป็นมหาทานแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยเหล่าภิกษุ

พระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ว่าชายหนุ่มชื่อ อุตตระผู้นี้ต่อไปภายหน้าอีก ๓ หมื่นกัป จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า โคตมะ

อุตตระมานพได้ฟังพระพุทธพยากรณ์แล้วปลาบปลื้มใจมาก ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ออกบวช แล้วอธิษฐานข้อวัตรบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์ยิ่งยวด อุตส่าห์เล่าเรียนปริยัติธรรมและปฏิบัติธรรมโดยเคร่งครัดไม่ประมาท บำเพ็ญตบะแรงหล้า บรรลุอภิญญา ๕ เมื่อสิ้นอายุขัยก็ไปสุคติพรหมโลก

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑๒ ที่ตรัสพระพุทธพยากรณ์

ทรงกระนามว่า พระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระสรีระสูง ๕0 ศอก

อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น ๙ หมื่นปี

ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอุคคตะ และพระนางประภาวดีพระอัครมเหสีแห่งนครสุมงคล

ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ ๙ พันปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ เมื่อพระนางสิรินันทาพระอัครชายาประสูติ พระโอรสอุปเสนะแล้ว เสด็จทรงม้าราชพาหนะชื่อหังสวหังเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ มีผู้ออกบวชตามเสด็จ ๑ โกฏิ

ทรงให้เวลาบำเพ็ญเพียร ๙เดือนเต็ม

ผู้ถวายข้าวมธุปายาส คือ ธิดาของสิรินันทนะ เศรษฐีแห่งสิรินันทนนคร

นิสีทนสัตถัตกว้าง ๓๓ ศอก สุนันทอาชีวกเป็นผู้ถวายหญ้า ๘ กำ ประทับนั่งใต้โคนต้นมหาเวฬุ(ต้นไผ่ใหญ่)

พระอัครสาวกคือ พระสุทัสสนะ และพระสุเทวะ

พระพุทธอุปัฏฐาก คือ พระนารทะ

ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง

สำหรับการแสดงธรรมครั้งที่สอง ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ ที่โคนต้นมหาสาละใกล้ประตูสุทัสสนะราชอุทยาน

มีสาวกสันนิบาตเกิดขึ้น ๓ ครั้ง

เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุ ๙ หมื่นพรรษา ที่พระวิหารเสลาราม กรุงจันทวดี พระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสูง ๓ คาวุต(๓/๔ โยชน์)

พระเจ้าจักรพรรดิ

ในพระพุทธกาลนี้ พระโพธิสัตว์ของเราทรงบังเกิดเป้นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงมหิทธานุภาพปกแผ่ไปทั่วทวีปทั้ง ๔ พรั่งพร้อมด้วยสมบัติและรัตนะ ๗ ประการ เมื่อทรงทราบเรื่องพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น จึงเสด็จพร้อมด้วยบริวารไปเข้าเฝ้า เมื่อได้สดับฟังพระธรรมเทศนาก็ทรงปีติยินดีด้วยพระราชศรัทธา จึงถวายจักรพรรดิสมบัติทั้งหมด ไว้นพระพุทธศาสนา ทรงผนวชในสำนักของพระบรมศาสดา

ประชาชนในแว่นแคว้นทั้งหลายมีศรัทธารวบรวมทรัพย์ในชนบทมาจัดถวายปัจจัย ๔ เป็นประจำแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระภิกษุทั้งปวง พระตถาคตเจ้าตรัสพยากรณ์กาพระโพธิสัตว์ว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตอีก ๓ หมื่นกัป มีพระนามว่า โคตมะ

พระเจ้าจักรพรรดิโพธิสัตว์ได้สดับพระพุทธพยากรณ์ดังนี้แล้ว ยิ่งร่าเริงเบิกบานใจเร่งบำเพ็ญพุทธบารมีให้ยิ่งยวดขึ้นไป ทรงศึกษาพระสูตร พระวินัย และพระปริยัติธรรมทั้งสิ้น ปฏิบัติธรรมโดยเคร่งครัด จนบรรลุอภิญญา ๕ เหาะไปในอากาศได้ สิ้นชีพตักษัยแล้วไปสุคติพรหมโลก

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑๓ ที่ตรัสพระพุทธพยากรณ์

ทรงพระนามว่า พระปิยทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระสรีระสูง ๘0 ศอก

อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น ๙ หมื่นปี

ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทัตตะ และพระนางสุจันทาอัครมเหสี แห่งนครสุธัญญะ

ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ ๙ พันปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ สลดพระทัย เมื่อพระนางวิมลาพระอัครชายาประสูติพระโอรสกัญจนเวฬะ ได้เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยราชรถเทียมม้า ข้าราชบริพารที่เป็นบุรุษออกเสด็จตาม ๑ โกฏิ

ทรงใช้เวลาบำเพ็ญเพียร ๖ เดือน

ผู้ถวายข้าวปายาสคือ ธิดาของพราหมณ์วสภะ แห่งบ้านวรุณพราหมณ์

นิสีทนสันถัตกว้าง ๕๓ ศอก โดยสุชาตะอาชีวกถวายหญ้า ๘ กำ ประทับนั่งโคนต้นกกุธะ(ต้นกุ่ม)

พระอัครสาวกคือ พระปาลิตะ และพระสัพพทัสสี

พระพุทะอุปัฏฐากคือ พระโสภิตะ

ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง

มีสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง

ครั้งที่ ๒ และ ๓ เกิดพร้อมกับการแสดงธรรม เมื่อคราวทรงแสดงธรรมในสมาคมของท้าวสุทัสสนเทวราช เทวดาและมนุษย์ ๙ หมื่น โกฏิ บรรลุพระอรหันต์ พระพุทธองค์ทรงนำเรื่องปาฏิโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางภิกษุสาวก นับเป็นสาวกสันนิบาตครั้ง

ที่ ๓ ด้วย

เสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ ๙ หมื่นพรรษา ณ พระวิหารอัสสัตถารามพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสูง ๓ โยชน์

พราหมณ์กัสสปะ

ในพระพุทธกาลนี้ พระโพธิสัตว์ของเราเกิดเป็นพราหมณ์หนุ่มชื่อ กัสสปะ เป็นผู้คงแก่เรียน รอบรู้วิชาทางศาสนาพราหมณ์เป็นอย่างยิ่ง ครั้งหนึ่งมีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา เกิดศรัทธายิ่งนัก ได้สละทรัพย์จำนวนถึงแสนโกฏิสร้างสังฆารามถวายพระพุทธองค์ตั้งตนอยู่ในศีล ๕ ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ

 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.03718090057373 Mins