ความล้ำเลิศทางปัญญา

วันที่ 15 ธค. พ.ศ.2558

ความล้ำเลิศทางปัญญา

    สาเหตุที่ตรัสชาดก พระทศพลเมื่อประทับอยู่พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่งซึ่งเลี้ยงมารดา แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้..

    ในอดีต มีชายหนุ่มชื่อสุตนะ ทำงานรับจ้างหาเลี้ยงบิดามารดา มีความขยันขันแข็ง และกตัญูอย่างยิ่ง กาลต่อมาบิดาได้ตายลงจึงตั้งใจเลี้ยงมารดาสุดชีวิตจิตใจ แม้จะเป็นคนเข็ญใจก็ไม่เคยคิดทอดทิ้งมารดาแม้แต่น้อย

 

    อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาออกล่าสัตว์ ฆ่ากวางได้แล้ว ก็แวะเข้าต้นไทรบรรทมหลับไปขณะนั้นเอง ยักษ์ตนหนึ่งโผล่จากต้นไทรแล้วจับพระหัตถ์ของพระราชากล่าวว่า..
"ท่านเป็นอาหารของเราแล้ว! หนีไปไหนไม่รอดหรอก"


พระราชาทรงตื่นบรรทมอย่างตกพระทัย แม้ทรงประหวั่นพรั่นพรึงแต่ก็ตั้งพระสติ แล้วตรัสถามยักษ์อย่างมีไหวพริบว่า..

"เจ้าจะกินเฉพาะวันนี้หรืออยากมีกินเป็นประจำล่ะ"
"ถ้ามีให้กินประจำก็จะกินประจำ!" ยักษ์ตอบ
"วันนี้เจ้ากินเนื้อกวางนี้ไปก่อนแล้วปล่อยเราไป ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเราจะส่งคนมาให้ท่าน 1 คนพร้อมอาหารอีก 1สำรับ ตกลงไหม" พระราชาเสนอเงื่อนไขพร้อมกับโล่งพระทัยที่แก้ไขสถานการณ์ได้ทัน
"ถ้าอย่างนั้นท่านอย่าลืมเสียล่ะ! วันใดที่ท่านไม่ส่งคนมา ข้าพเจ้าจะกินตัวท่าน" ยักษ์ขู่ย้ำพระราชา

 

    ตั้งแต่วันนั้นมา โจรในเรือนจำหายไปทีละคนๆ จนคุกร้าง นักโทษเก่าไม่มี นักโทษใหม่ก็ไม่มีปรากฏ กระทั่งหัวขโมยเล็กๆ น้อยๆ ในเมืองก็ไม่มีให้เห็นแม้แต่เงา เนื่องเพราะชาวเมืองต่างรู้กันทั่วว่าพระราชาได้จับเอานักโทษไปให้ยักษ์กินจนหมด พระราชาทรงหวาดวิตกอย่างยิ่ง รับสั่งให้เที่ยวตีกลองประกาศไปทั่วเมืองว่า..


"ใครอยากได้เงิน 1,000 กหาปนะเชิญรีบมาเถิด! เราจะให้แก่ผู้อาสาถืออาหารไปให้ยักษ์"

 

    เวลานั้นเอง ชายหนุ่มยอดกตัญูกำลังขยันขันแข็งทำงานอยู่ ได้ยินคำประกาศนั้น พลันมีความหวังเจิดจ้าขึ้นมาคิดขึ้นว่า..


"เรารับจ้างเขาครั้งหนึ่งๆ ได้เงินมาแค่ 1 มา กเท่านั้น บางครั้งก็แค่ครึ่งมา ก เราคิดจะเลี้ยงดูแม่ให้สุขสบายก็ทำได้ยากเสียเหลือเกิน แม่ไม่มีอาหารดีๆ ทานกับเขาเลย ต้องมาลำบากเพราะเราแท้ๆ ตกลงเราจะรับเงินก้อนนี้ให้แม่แล้วยอมไปหายักษ์เอง ถ้าหากเจรจากับยักษ์ได้ก็ดีไปแต่ถ้าต้องตายก็มิเป็นไร อย่างไรเสียแม่ก็มีเงินพอให้มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายเสียที"

 

    สุตนะยิ่งคิดก็ยิ่งให้สุขใจยิ่งนักที่จะได้เห็นแม่สุขสบาย ความกตัญูทำให้ชายหนุ่มกล้าเผชิญหน้ายักษ์ วันรุ่งขึ้นมาณพหนุ่มได้เข้ามากราบลามารดาเพื่อไปหายักษ์ แต่ถูกมารดาห้ามมิให้ไปโดยเด็ดขาด! มารดาทัดทานแข็งขันว่า..
"อย่าไปนะลูก! แม่ไม่ต้องการเงินนั่นหรอก"

 

    มาตรว่ามารดาจะห้ามอยู่หลายครั้ง แต่สุตนบัณฑิตก็ทนเห็นมารดาลำบากอดๆ อยากๆต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว จึงแอบไปรับเงินกับอำมาตย์แล้วอาสาจะไปหายักษ์ เมื่อได้เงินมาแล้วสุตนะก็ดีใจเป็นล้นพ้น รีบวิ่งเอาเงินไปให้แม่ แล้วพูดปลอบแม่ให้สบายใจว่า..

 

"แม่อย่าคิดอะไรมากเลยนะ ผมจะไปปราบยักษ์และจะต้องกลับมาหาแม่อีกให้ได้! ลูกจะหาทางช่วยชาวเมืองให้ปลอดภัยด้วย มิให้แม่ต้องผิดหวังหรอก แม่รออยู่ก่อน แล้วลูกจะรีบกลับมาทำดวงหน้าแม่ที่เปียกน้ำตาให้กลับมายิ้มแย้มในวันนี้ให้ได้เลย"

 

    สุตนะปลอบมารดาให้เบาใจแล้วกราบลามารดา รีบตามทหารไปราชสำนักทันที ตอนนี้ชายหนุ่มแม้คิดจะไปตาย ก็ตายไม่ได้เสียแล้ว เพราะหากตนตายลงเท่ากับแม่มิยิ่งเสียใจมากกว่าเดิมอีกมากมาย อย่างไรก็ต้องกลับมาให้จงได้ อาศัยความกตัญู ชายหนุ่มต้องเค้นความคิดหาหนทางต่อกรกับยักษ์ไปตลอดทาง.. ในที่สุดก่อนถึงราชสำนักก็พลันคิดได้วิธีหนึ่ง


"เจ้าใช่ไหมที่จะอาสาจะนำอาหารไป" พระราชาตรัสถามมาณพ
"ใช่แล้ว พระเจ้าข้า"สุตนบัณฑิตทูลตอบ
"เจ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกไหม" พระราชาตรัส
"หม่อมฉันต้องการฉลองพระบาททองคำ ร่มฉัตรและพระขรรค์ของพระองค์ พระเจ้าข้า"
"สุตนบัณฑิตทูลขอของ 3สิ่ง เนื่องเพราะได้วิเคราะห์เหตุการณ์ที่นักโทษนำอาหารไป

 

    นอกเมืองให้ยักษ์ จับพิรุธได้ว่าไฉนยักษ์ไม่ออกมากินคนตามที่ต่างๆ ต้องรอคนเข้าไปใต้ต้นไม้ถึงจับกินได้ จึงคาดว่ายักษ์นี้ต้องได้รับอนุญาตให้กินคนเฉพาะที่อยู่ใต้ร่มไม้เท่านั้นสุตนะจึงได้ทูลขอสิ่งของ

 

    ดังกล่าวจากพระราชาเพื่อใช้เป็นอุบายเพื่อการนี้พระราชาจัดให้ตามต้องการแล้วให้คนถือของทั้งหมดตามไปสุตนบัณฑิตเดินเข้าไปใกล้ๆต้นไทรนั้นแล้วยืนสวมฉลองพระบาททองคำ จับพระขรรค์ และกั้นเศวตฉัตรไว้บนศีรษะ เอาปลายดาบผลักถาดอาหารเข้าไปในร่มไม้ส่วนตนยืนอยู่นอกร่มไม้ กล่าวว่า..

 

    "ผู้สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไทรนี้! พระราชาทรงส่งอาหารสะอาดมาให้ท่านแล้ว ท่านจงออกมารับประทานเถิด ยักษ์เอ๋ย ท่านคงไม่โง่พอที่จะทิ้งประโยชน์อันมากมาย เพื่อสิ่งเพียงเล็กน้อยหรอกนะฟังให้ดี! ถ้าท่านกินเรา ต่อไปคนที่จะนำอาหารมาให้ท่านจะหาได้ยากทีเดียว เช่นนั้นแล้วอาหารสำหรับท่านก็จะไม่มีอีก และเรารู้ว่าตัวท่านไม่อาจไปจับพระราชาถึงในวังได้ เพราะพระราชามิได้อยู่ใต้ร่มเงานี้แล้วส่วนตัวเราก็จะไม่ให้ท่านกินด้วย เพราะเรามิได้ยืนอยู่บนพื้นใต้เงาไม้ แต่เรายืนอยู่บนฉลองพระบาท และยืนใต้ร่มฉัตรมิใช่ใต้เงาต้นไม้ของท่าน ถ้าท่านจะต่อสู้กับเรา เราก็จะใช้พระขรรค์นี้ฟันท่านออกเป็น 2 ท่อน เพราะวันนี้เราเตรียมตัวมาอย่างดีแล้ว"

 

    สุตนะใช้ความกล้าหาญมาข่มขู่ยักษ์ พร้อมทั้งใช้ปัญญาปิดกั้นทางเลือกของยักษ์หมดสิ้นทุกทาง ผู้ใดมีเปรียบ ผู้ใดชนะ ผลย่อมปรากฏชัดแจ่มแจ้งแล้ว ยักษ์เห็นว่าชายหนุ่มนี้พูดถูก เกิดมีจิตเลื่อมใสกล่าวชื่นชมว่า..

 

    "ประโยชน์ทั้งหมดตามที่ท่านพูดมามีมากต่อเราจริงๆ ตกลงเราอนุญาตท่านแล้ว ท่านจงกลับไปโดยสวัสดีเถิด"สุตนบัณฑิตได้ยินคำยักษ์แล้วปลื้มใจว่า งานสำเร็จแล้ว ได้กลับไปหาแม่ ทั้งยังปราบยักษ์ลงได้ ได้ช่วยชีวิตพระราชาและชาวเมืองไว้ พลันนึกขอบคุณยักษ์ขึ้นมา กล่าวกับยักษ์ว่า.."ท่านยักษ์! ขอท่านจงมีความสุขกับหมู่ญาติทั้งหลายเหมือนเราเถิด เมื่อก่อนท่านทำบาปกรรมเอาไว้มากจึงต้องมากินเลือดเนื้อผู้อื่นเป็นอาหาร แต่นี้ไปท่านอย่าได้ทำมันอีกเลย ท่านจงรักษาศีลเถิด จะได้เกิดเป็นมนุษย์ อยู่ที่นี่ไม่มีประโยชน์หรอก มาเถอะ! เราจะให้ท่านไปอยู่ที่ประตูเมืองที่มีคนพลุกพล่าน และให้ท่านได้อาหารดีๆ จากชาวเมือง"

 

    ชายหนุ่มกับยักษ์เดินทางออกจากป่า ยักษ์อาศัยอยู่ประตูเมืองรักษาศีลจนชั่วชีวิต ฝ่ายพระราชาก็แต่งตั้งสุตนบัณฑิตให้เป็นเสนาบดีบริหารบ้านเมืองสุตนมหาเสนาบดีกล่าวสอนธรรมพระราชาอยู่เนืองนิตย์ และชวนพระราชา เสนาอำมาตย์ ข้าราชบริพาร รวมทั้งชาวนครทั้งหมดให้หมั่นทำบุญ ทำทานมิให้ขาด ละโลกแล้วก็ไปพักในสวรรค์กันถ้วนหน้า...

 

ประชุมชาดก
            พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า ยักษ์ในครั้งนั้นมาเป็นพระองคุลิมาล พระราชามาเป็นพระอานนท์ส่วนมาณพเป็นตถาคตแล

    จากชาดกเรื่องนี้ ลูกต้องการตอบแทนพระคุณแม่ให้ได้ จึงพยายามเค้นปัญญานึกหาวิธีการต่างๆ ออกมาได้สำเร็จ เมื่อเห็นพระคุณมากก็ต้องคิดตอบแทนให้มากและยิ่งใหญ่ ทำให้ต้องใช้ปัญญายิ่งใหญ่ตามไปด้วย หากเห็นพระคุณได้น้อยก็ใช้ปัญญาเพียงเล็กน้อยมาทำตอบแทน ดังนั้น ความกตัญูจึงจัดเป็นนิสัยแห่งปัญญาบารมีส่วนผู้อกตัญูมีใจทุรพลต่ำช้า ย่อมไม่คิดหาทางตอบแทนคุณปัญญาจึงไม่เกิดสร้างสรรค์ มีแต่แสวงหาชื่อเสียงอำนาจ เอาแต่ประโยชน์ตน ทำร้ายผู้อื่น ทำตนให้ตกต่ำไปอบาย

         "นิสัยกตัญูต่อผู้มีพระคุณ, คิดหาช่องทางแทนคุณเสมอ, ยอมเสียสละตนเพื่อทดแทนคุณ และสุขใจที่ได้แทนคุณ" ทั้งหมดนี้จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในปัญญาบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0012443502744039 Mins