เข้าถึงที่พึ่งภายใน ชีวิตจึงจะปลอดภัย

วันที่ 30 พค. พ.ศ.2560

 

         เข้าถึงที่พึ่งภายใน  ชีวิตจึงจะปลอดภัย

      ...การทำพระนิพพานให้แจ้ง เป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ของพวกเราทุกคนและของมวลมนุษยชาติ เป็นสิ๋งที่ประเสริฐยิ่งกว่าการได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเสียอีก เพราะการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแม้จะดีเลิศประเสริฐเพียงใดก็ตาม มีอำนาจปกครองในทวีปทั้ง ๔ ก็ยังไม่พ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่พ้นจากวัฏสงสาร ไม่พ้นจากการบ้งค้บบัญชาของพญามารที่เอากิเลสอาสวะคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลงมาห่อหุ้ม มาบังค้บบัญชากันมายาวนานทีเดียว

        การจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้ก็มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ก็คือ ทำใจให้หยุดนิ่งอยู่ที่ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ใจต้องมาหยุดมานิ่งอยู่ที่ตรงนี้ให้ได้ตลอดเวลา แล้วก็ต้องหมั่นปรารภความเพียรในทุกอิริยาบถหยุดนิ่งอยู่ตรงนี้ ที่ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นที่เดียวที่พญามารบังคับบัญชาไม่ได้

       พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านได้ตรัสเตือนพวกเราเอาไว้ในอุฏฐานสูตรว่า "เธอทั้งหลายจงลุกขึ้นทำความเพียรเถิด จะได้ประโยชน์อะไรด้วยความหลับ เพราะความหลับไม่เป็นประโยชน์แก่เธอผู้เร่ารัอนด้วยกิเลสมีประการต่างๆ ถูกลูกศรคือราคะเสิยดแทงแลัวย่อมย่อยยับ เธอทั้งหลายจงทำความเพียรเพื่อศึกษาสันติเถิด ม้จจุราชอย่ารู้เลยว่าเธอทั้งหลายเป็นผู้ประมาทแล้ว ฉะนั้นเราก็จะต้องหมั่นปรารภความเพียรอย่าประมาทก้น เพียรทำใจให้หยุดนิ่งเพื่อศึกษาสันติคือความสงบ..."

      บัณฑิตในกาลก่อนท่านรู้คุณค่าความสำคัญของศูนย์กลางกาย ไม่ว่าจะทำภารกิจอ้นใดก็ตามก็จะฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งควบคู่ไปด้วย จึงทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งทางโลกแล้วก็ทางธรรม ทางโลกก็ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ทางธรรมก็เป็นชีวิตที่สมบูรณ์ถึง ๒๐๐ เปอร์เซ็นต์ บัณฑิตในกาลก่อนนั้นท่านให้เศรษฐกิจกับจิตใจไปด้วยกัน

      เหมือนอย่างมหาอุบาสิกาท่านหนึ่งที่ได้อุปัฏฐากดูแลพระภิกษุคอยให้การสนับสนุนเรื่องป้จจัย ๔ ไม่ให้ท่านต้องเดือดร้อนในการแสวงหา พระภิกษุสงฆ์ท่านจะได้เอาเวลามาประพฤติปฎิบัติธรรมได้อย่างเต็มที่

      ว้นหนึ่งมหาอุบาสิกาได้นำนํ้าปานะมาถวายพระ แต่พอมาถึงมองไม่เห็นพระสักรูปก็สงส้ยจึงเคาะระฆ้ง พระท่านก็เดินออกมาก้นคนละทิศคนละทาง อุบาสิกาก็ถามว่าพระคุณเจ้าทะเลาะก้นหรือเปล่าถึงไม่อยู่ด้วยก้น พระท่านก็ตอบว่า ไม่ได้ทะเลาะก้นหรอกโยม แต่ว่าแยกย้ายก้นไปบำเพ็ญภาวนา

      มหาอุบาสิกาเป็นคนมีบุญมีปัญญาก็ถามว่า แล้วอย่างโยมที่ต้องทำมาหากินด้วยนี่ จะบำเพ็ญภาวนาด้วยได้ไหม พระท่านก็บอกว่าได้สิ เป็นสิ่งที่ดีมากจะทำให้ชีวิตสมบูรณ์ ทั้งภายนอกและภายใน เวลาประกอบภารกิจการงานก็ให้ประคองใจให้หยุดนิ่งๆ ไปด้วย ใจที่สงบหยุดนิ่งเขาเรียกว่าสันติ เมื่อเข้าถึงสันติ ไม่ช้าก็จะเข้าถึงนิพพาน ให้โยมหมั่นทำทุกวันเถอะแล้วจะสมหวัง

      มหาอุบาสิกาก็เชื่อฟังพระ กลับไปที่บ้านก็ไปทำตามที่ท่านสอน งานภายนอกก็ทำไปตามปกติ งานภายในก็หยุดนึ่งไปด้วย ภายนอกเคลื่อนไหวแต่ภายในนั้นหยุดนิ่ง ในไม่ช้าก็ได้บรรลุธรรมกาย พอบรรลุแล้วก็เกิดธรรมจ้กขุเกิดญาณท้สสนะ เกิดวิชชาสามารถรู้วาระจิตของผู้อื่นได้ พอพระปรารถนาอะไรก็เอาสิ่งนั้นมาถวาย ท่านอยากฉันอะไรก็จัดอาหารหวานคาวที่ถูกปากมาถวายท่าน เป็นโยมอุปัฏฐากที่รู้ใจพระทีเดียว ทำให้พระท่านได้รับความสะดวกสบาย

     เมื่อทุกอย่างเป็นสัปปายะ พระก็ทำภาวนาได้ดี หยุดนิ่งได้ละเอียด ในที่สุดก็ได้บรรลุธรรมกายอรหัตเป็นพระอรห้นต์ก้นหมดทุกรูป มหาอุบาสิกาก็ได้บุญใหญ่เพราะได้ทำบุญก้บเนื้อนาบุญอ้นเลิศ เพราะฉะนั้น ชีวิตในระดับ ๒๐๐เปอร์เซ็นต์ ดีอย่างนื้ เป็นชีวิตที่ดีเลิศสำหรับตัวของเราเองและพระพุทธศาสนาเป็นชีวิตที่ดีเลิศสำหรับชาวโลก นึ่ถ้าหากว่าลูกทุกคนทำได้อย่างมหาอุบาสิกาท่านนี้ พระพุทธศาสนาของเราก็จะเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่านี้อีกหลายๆ เท่าทีเดียวชาวโลกก็จะได้รับประโยชน์จากพระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา

    มีอุบาสิกาท่านหนึ่งปฎิบํตธรรมสมาเสมอทุกวัน หลวงพ่อก็ถามว่านั่งธรรมะเป็นย้งไงบ้าง เธอก็บอกว่าไม่ก้าวหน้าอะไรเลย นั่งแล้วไม่มีต้วตนเหมือนไม่มีร่างกาย ม้นโล่ง มันกว้างสบาย แล้วก็แปลก แปลกมากทีเดียว ทำไมเราเห็นได้ทุกทิศทุกทาง ตอนที่ใจมันโล่งๆ ไม่มีตัวตน หลวงพ่อก็บอกว่านั่นละก้าวหน้าแล้วแต่เราไม่รู้ว่าก้าวหน้า

     แล้วเธอก็บอกอีกว่า ถ้าก้าวหน้ามันต้องเห็นอะไรอย่างที่คนอื่นเขาเห็นเช่น เห็นดวง เห็นองค์พระ แต่นี่ไม่เห็นอะไรเลย ก็ถามว่าแต่เดิมน่ะนั่งเป็นยังไง แต่เดิมมันนั่งมืดๆ เมื่อยๆ แต่ตอนนี้มันโล่งแล้วก็เห็นรอบตัว ก็บอกว่านั่นแหละก้าวหน้าแล้ว แต่การที่เราจะเห็นดวงธรรมหรือเห็นองค์พระนั้นมันต้องละเอียดกว่านี้ไปอีก ตอนนี้เธอละเอียดไปได้ ๙๘ เปอร์เซ็นต์ ขาดอีก ๒ เปอร์เซ็นต์ก็จะครบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว

     เธอก็ถามว่าแล้วจะทำยังไงให้ครบร้อย ก็ทำ หยุดทำนิ่งต่อไป เพราะเธอเริ่มต้นถูกต้องแล้ว หยุดนิ่งอย่างนั้นแหละจนกระทั่งมาสู่ภาวะที่โล่ง กว้างและว่าง ไร้ตัวตน เห็นได้รอบตัวในระดับหนึ่งแล้ว ให้นิ่งอย่างนั้นต่อไปอีก นิ่งไปเริ่อยๆ ถ้านิ่งถูกส่วนเข้ามันก็กว้างหน้กเข้าหน้กเข้า ใจจะตกศูนย์วูบเข้าไปข้างใน มันจะวูบลงไปเหมือนหล่นลงไป เหมือนหล่นจากที่สูงลงไปข้างล่าง แต่จริงๆหล่นเข้าไปสู่กลางต้ว

     เข้าถึงดวงธรรมภายในจะเห็นเป็นดวงใสๆ ที่มีอยู่ดั้งเดิมเป็นดวงเล็กๆอย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจ้นทร็ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน จะขนาดไหนก็แล้วแต่นั่นละเป็นจุดเริ่มต้นที่ถูกต้องเรียกว่าปฐมมรรค เป็นดวงปฐมมรรค เป็นธรรมคือความบริสุทธี้เบื้องต้น เป็นต้นทางไปสู่อายตนนิพพานภายในไปสู่ตรงนั้นแหละ เป็นดวงใสๆ

     นิพพานจะเป็นอัตตาหรืออน้ตตาก็รู้ก้นเองตอนที่เข้าถึงนั่นแหละ ว่าเป็นอัตตาหรือว่าเป็นอนัตตา จะรู้ได้ด้วยการปฏิบัติโดยเข้าถึงจุดเบี้องต้นคือปฐมมรรคเสียก่อน ถ้าไม่ถึงตรงนึ๋ใปไม่ถูกไปไม่ได้ เพราะว่ายังไม่ถูกต้อง ทางที่จะไปส่อายตนนิพพานภายใน อายตนนิพพานที่พระพุทธเจ้าท่านตร้สว่ามีอยู่ ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่นํ้า ไม่ใช่ลม ไม่ใช่ไฟ นี่มีอยู่ข้างในนั่นแหละ อายตนนิพพานนั่นมีอยู่ เป็นอะไรก็ไปดูกันเอง รู้ได้ด้วยตัวเองเป็นปัจจัตตัง

     เพราะฉะนั้น ใจให้นิ่งๆ และถ้าถูกทางก็จะเข้าถึงดวงธรรมใสๆ ถ้าถึงตรงนี้แล้วก็จะถูกทาง พอถูกทางสายกลางซึ่งมีสายเดียว สายเดียวเท่านั้นแหละ รู้ได้ยังไง รู้ได้ตอนที่ใจหยุดแล้วม้นเห็น มีอยู่สายเดียวอยู่ตรงกลางนั้นแหละ กลางดวงธรรมดวงนั้น เข้ากลางดวงนั้นเรื่อยไปเลย จะเห็นทางสายกลาง ภายในเป็นทางเดินของพระอริยเจ้า และเราก็จะเห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม จนกระทั่งเห็นธรรมกายในธรรมกาย ตั้งแต่ธรรมกายโคตรภู ธรรมกายพระโสดาบัน ธรรมกายพระสกิทาคามี ธรรมกายพระอนาคามี ธรรมกายพระอรหัตซ้อนๆ กันอยู่ทีเดียว เป็นกายในกาย เป็นกายธรรมในกายธรรมซ้อนกันอยู่ ในกลางนั้นก็มีเวทนาในเวทนา มีจิตในจิต มีธรรมในธรรมซ้อนกันอยู่ตรงนั้นแหละ อย่างนี้จึงจะถูกทาง

     ที่พึ่งที่ระลึกของเราอยู่ในกลางตัวของเรา เราจะตัองประกอบความเพียรให้ถูกวิธีให้ถูกส่วนจึงจะเข้าถึงได้ ถึงได้เมื่อไหร่ก็หายสงสัยเลิกทะเลาะก้น เลิกเถียงก้นเรื่องอัดตา เรื่องอน้ตตา เพราะว่าได้เข้าถึงแล้ว

     ที่ยังเถียงก้นอยู่เพราะยังเข้าไม่ถึง เพราะฉะนั้นต้องพยายามธีเกใจให้หยุดให้นิ่งๆ และจะเข้าถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวของเรานี่แหละ ไม่ใช่เรื่องนอกตัวไม่ใช่เรื่องเหลวไหล ไม่ใช่เรื่องพอดีพอร้าย เป็นเรื่องสำคัญสำหร้บชีวิตของเราทีเดียว ชีวิตของเราที่จะมีสุขมีทุกข์ก็ด้วยตัวของเรา จะไปตกนรกขึ้นสวรรค์ก็
ตัวของเราน่ะ คนอื่นไม่เกี่ยวนะ

       เพราะฉะนั้น ต้องแสวงหาที่พึ่งที่ระลึกภายในให้ได้ ชีวิตจึงจะปลอดภัยทั้งในโลกปัจจุบัน ทั้งภัยในอบายภูมิและภัยในสังสารวัฏ ถ้าเข้าถึงธรรมกายถึงที่พึ่งภายในได้แล้ว หนทางที่จะไปสู่อายตนนิพพานก็ใกล้เข้ามามหาทานบารมีช่วยส่งเสริมการสร้างบารมีอื่นให้บริบูรณ์

        การสร้างมหาทานบารมีนี้มีความจำเป็นมากทีเดียว เพราะว่าจะเป็นเสบียงที่จะส่งเสริมให้เราได้สร้างบารมีอื่นได้ครบถ้วนบริบูรณ์ หลวงพ่อได้อ่านในพระไตรปิฎก ได้พบความแปลกและแตกต่างก้นของการเป็นพระอรหันต์เข้าสู่อายตนนิพพาน เป็นเรื่องที่ชวนคิดทีเดียว เรื่องก็มีอยู่ว่า

       มีพระอรหันต์บางองค์ก่อนจะเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ทำความเพียรด้วยความยากลาบาก ลำบากมากแม้บวชเป็นพระแล้ว ไปบิณฑบาตก็ไม่ค่อยได้อาหารด้วผอมสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็นทีเดียว จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่นิพพาน พระสารีบุตรท่านต้องมาโปรด ท่านไปบิณฑบาตเอามาให้ พระสารีบุตรท่านก็จับบาตรของท่านเอาไร้ ด้วยอานุภาพแห่งบุญของพระสารีบุตร ทำให้ภิกษุรูปนั้นได้มีอาหารขบฉันในวันสุดท้ายก่อนจะด้บข้นธปรินิพพาน ก่อนเข้าสู่อายตนนิพพาน อิ่มเป็นมื้อสุดท้ายด้วยบุญของพระสารีบุตร

     ก่อนหน้านี้ก็อดอยากลำบากเรื่อยมา เพราะไม่ได้สร้างมหาทานบารมี ไม่ให้ด้วยตัวเองยังไม่พอ ยังห้ามคนอื่นให้อีก แม้บารมีมากพอที่จะเข้านิพพานยังอดอยาก แต่มีพระอรหันต์อีกองค์หนึ่งนี่น่าอัศจรรย์ ตอนเป็นฆราวาสท่านได้สมบัติจักรพรรติตักไม่พร่อง วันที่ขึ้นบ้านใหม่พอโผล่ไปหลังบ้านก็เห็นภูเขาทอง
ผุดขึ้นมาจากแผ่นดินสูงไปถึง ๘๐ ศอก หรือ ๔๐ เมตร ก็ขนาดสูงกว่าธรรมกายเจดีย์ของเราไปอีก ๗ เมตรกว่า ท่านก็เสวยสุขด้วยสมบ้ติที่ตักไม่พร่องภูเขาทองมีจอบเพชรด้ามทองเอาไว้อย่างนั้น ท่านก็แจกจ่ายทองของท่านที่ตักไม่พร่อง รวยจนเบื่อ ท่านชื่อชฎิลเศรษฐี

      พอเบื่อแล้วก็อยากบวช ก่อนบวชก็ส่งคนไปสืบดูว่ามีใครรวยเท่าเราไหม เพราะว่าตัวเองก็คิดว่าเราก็รวยที่สุดแล้ว เพราะสมบ้ติตักไม่พร่อง แต่เมื่อส่งไปสืบมาแล้วปรากฏว่ามีรวยเท่าก้นอีก ๒ ท่าน ได้สมบัติจักรพรรดิ์อีก ๒ ท่านคือท่านเมณฑกเศรษฐีและท่านโชติกเศรษฐี ยิ่งพอรู้ว่ามีคนรวยเท่าก้บท่านนั้น
ก็เลยนึกคิดว่า ป่วยการที่เราจะครองสมบัติจักรพรรติ บวชดีกว่า พอออกบวช แล้วก็เป็นพระอรห้นต์

        เพราะฉะนั้น นี่ก็เป็นหนทางที่เราจะเลือกเอาว่า เราจะอดอยากและอิ่มเอามื้อสุดท้าย แล้วเข้าสู่อายตนนิพพาน หรือรวยแล้วรวยเล่าเฝ้าแต่รวยอย่างเดียว  มีสมบัติตักไม่พร่องจากบ้านด้วยความสง่างามทีเดียว ไปเพราะเบื่อหน่ายทรัพย์ว่าใช้เท่าไรก็ไม่หมดสักที แล้วก็ออกบวชนี่ก็เป็นทางเลือกของเรา

        พระอรหันต์บางองค์นี่ไปสำเร็จอยู่ในปากเสือ เสือเคี้ยวกินตั้งแต่ฝ่าเท้าเรื่อยมา พอถึงตาตุ่มก็เป็นพระโสดาบัน กินเรื่อยมาเลยถึงครึ่งแข้งก็เป็นพระสกิทาคามี พอถึงหัวเข่าก็เป็นพระอนาคามี กินเรื่อยมาเลยจนกระทั่งเลยหัวเข่าขึ้นมาก็เป็นพระอรหันต์เข้าสู่นิพพานในปากเสือ

        หรือว่าเราจะเป็นพระอรหันต์ประเภทฟังธรรมบรรทัดเดียวประโยคเดียวแล้วก็เข้านิพพาน หรือแค่มีดโกนจรดปอยผม ปลงผมหมดศีรษะอย่างพระสีวลี ซึ่งเป็นผู้เลิศต์วยลาภ พอปลงผมหมดศีรษะก็เป็นพระอรหันต์ ชีวิตของท่านอุดมไปด้วยลาภ ไปในถิ่นทุรก้นดารที่ใดแม้ทะเลทรายก็อุดมสมบูรณ์ด้วย
อานุภาพมหาทานบารมีที่ท่านได้สั่งสมเอาไว้ ลูกทุกคนก็มีสิทธิ์เลือกเอาว่าเราจะไปสู่ที่สุดแห่งธรรมของเราประเภทไหน ก็ใช้ดวงปัญญาพิจารณาเอานะลูกนะ

         แต่หลวงพ่อเชื่อว่าลูกทุกคนนี่แหละ จะไปแบบท่านชฎิลเศรษฐี มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง ใช้จนเบื่อแล้วก็เข้าสู่นิพพาน หรือจะไปแบบพระสีวลี ปลงผมเสร็จก็เข้าสู่นิพพาน อุดมไปด้วยทรัพย์ โภคทรัพย์สมบัติ หลวงพ่อเชื่ออย่างนั้นเพราะว่าลูกทุกคนได้ประกอบเหตุในสิ่งที่ดี ยากที่ใครๆจะทำได้ ทั้งทำด้วยตนเองแล้วก็ชักชวนคนอื่นเขาท้าด้วย...

 

 

 

วันอาทิตย์ที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๓

จากหนังสือ แม่บท เดินทางข้ามวัฏสงสาร
 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0012814005215963 Mins