คารวาธิกถา
(เคารพพระสัทธรรม)
๑๐ มกราคม ๒๔๙๗
นโม.....
เย จ สมฺพุทฺธา อตีตา.....
เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่จะเคารพพระธรรมอย่างเดียว และได้วางเป็นแบบแผนไว้ ตามพระบาลีว่า เย จ สมฺพุทฺธา ธรรมดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งอดีตปัจจุบันอนาคต ล้วนเคารพพระสัทธรรมทั้งสิ้น ผู้รักตน มุ่งหวังประโยชน์ตน จำนงความเป็นใหญ่ ควรเคารพพระสัทธรรม
การเคารพของชาวโลก เป็นการเคารพสามัญ
การเคารพพระสัทธรรม ได้ชื่อว่าประเสริฐเลิศที่สุด
พระพุทธเจ้ากว่าจะค้นพบพระธรรม ต้องสร้างบารมี ๔ อสงไขย แสนมหากัปป์ ๘ อสงไขย แสนมหากัปป์ และ ๑๖ อสงไขย แสนมหากัปป์ท่านใช้เวลายาวนานขนาดนั้น จึงได้ลงใจลงไปในการเคารพพระสัทธรรม
ท่านย้ำในท้ายพระสูตรว่า บุคคลผู้รักตน บุคคลผู้มุ่งหวังประโยชน์แก่ตน จำนงความเป็นใหญ่ควรเคารพสัทธรรม
พระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างว่าท่านใหญ่กว่ามนุษย์ในชมพูทวีป แสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ถ้าไม่เคารพพระธรรมย่อมเป็นใหญ่ไม่ได้
เราจึงต้องรู้จักวิธีการ "เคารพพระสัทธรรม" ให้ถูกต้อง
พระสัทธรรม คืออะไร
คือ ธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ดวงใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่ อยู่กลางกายมนุษย์ หากใสบริสุทธิ์ กายนั้นก็ผ่องใสหากดวงเศร้าหมอง กายมนุษย์ก็ไม่รุ่งเรืองผ่องใส
รวมถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด ถึงกายอรูปพรหมละเอียด มีขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับ แต่ยังไม่ใช่ธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า
ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรม มีเส้นผ่าศูนย์กลางโตขึ้นไปตามลำดับ ถึงกายอรหัตละเอียดเป็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าท่านเคารพพระธรรม ด้วยการเอาใจของท่านหยุดไปที่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายของท่าน เป็นลำดับเข้าไปถึงพระอรหัตละเอียด ใจติดแน่นไม่ถอนถอย
เมื่อติดแน่นแล้วท่านก็สอดส่องดูว่า ประเพณีของพระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้แล้วเคารพอะไร
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เหมือนกันหมดทั้งอดีตปัจจุบัน อนาคต บัดนี้ไม่มีแล้วที่เราจะเคารพในมนุษยโลกทั้งหมดต่ำกว่าเรา ในเทวโลก พรหมโลก อรูปพรหม ตลอดภพ ๓ สูงกว่าเราไม่มี
ใจของท่านจึงติดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว เรียก สทฺธมฺมครุโน (เคารพสัทธรรม) เหมือนเสาเขื่อนปักอยู่ในน้ำ ถ้าลมพัดมา จากทิศทั้งสี่ทั้งแปดก็ไม่เขยื้อน
เราจะต้องแก้ไขใจของเราให้ติดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ให้เห็น จำ คิด รู้ ติดรวมกันไม่แตก จึงจะถึงเป้าหมายพุทธศาสนา เช่น เวลาฟังธรรม ถ้าใจไม่หยุดจะฟังพร่าไปเพราะใจแวบไปเรื่องอื่น
"ที่จะเป็นใหญ่ได้ใจมันต้องเชื่อง ต้องติดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ถ้าติดอยู่ได้เช่นนั้น ภิกษุหรือสามเณรติดอยู่ได้เช่นนั้นละก็ จะเป็นภิกษุที่เป็นใหญ่ จะเป็นสามเณรที่เป็นใหญ่ ถ้าเป็นอุบาสกอุบาสิกาเล่า ถ้าใจไปติดอยู่ตรงนั้นละก็ จะเป็นอุบาสกอุบาสิกาที่เป็นใหญ่ และเข้ากลางเรื่อยไปจนถึงกายธรรมอรหัต"
เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้วท่านไม่ได้ถอนจากการหยุดเลย กลางของกลางเรื่อยไปท่านจึงถึงความเป็นใหญ่ เราต้องบูชาพระพุทธเจ้า และเดินตามแบบท่าน
ท่านจึงได้กล่าวคำว่า "ธรรม" คือทำดี ไม่ใช่ทำชั่ว และตรัสว่า ธมฺโม จ คือ ธรรมด้วย คือไม่ใช่ธรรมด้วย มีผลไม่เสมอกัน อธรรมที่ไม่ใช่ธรรม ย่อมนำสัตว์ไปสู่นรกสิ่งที่เป็นธรรมยังสัตว์ให้ถึงซึ่งสุคติ
ถ้าเราอยู่กับธรรมฝ่ายเดียว คือ เอาใจจรดอยู่กลางดวงธรรมเสมอ อธรรมก็เข้ามาเจือปนไม่ได้ แตกกายทำลายขันธ์ก็มีแต่ สวรรค์เพราะ กาย วาจา ใจ ไม่มีเสีย
พระพุทธเจ้า จึงตรัสว่า
อุกาส โย ปน ภิกขุ ฯ เราขอโอกาสภิกษุผู้ศึกษาในธรรมวินัยรูปใด ปฏิบัติธรรมตามธรรมปฏิบัติชอบยิ่งขึ้น ปฏิบัติธรรมไม่ให้หลีกเลี่ยง ผู้ศึกษาในธรรมวินัยนั้น ได้ชื่อว่าสักการะเราผู้ตถาคตด้วยปฏิบัติบูชาอย่างยิ่ง
ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺโน "ปฏิบัติธรรมตามธรรม" หมายถึง ใจหยุดกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็น กายมนุษย์ แล้วให้เข้าถึงดวงธรรมกายอื่นๆ ต่อไป
สามีจิปฏิปนฺโน "ปฏิบัติชอบยิ่งขึ้น" หมายถึง ยิ่งเอาใจจรดหนักขึ้นไม่ถอยกลับ
อนุธมฺมจารี"ประพฤติไม่ให้หลีกเลี่ยง" หมายถึงให้ตรงศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็น กายตลอด
"เหตุนี้เราท่านทั้งหลายทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิต อุบาสก อุบาสิกา เมื่อรู้หลักอันนี้แล้ว อย่าเอาใจไปจรดอื่น ให้จรดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ขั้นต้น จนกระทั่งถึงพระอรหัตขั้นสุดท้าย ๑ กายนี้ แล้วก็หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอรหัต อย่าถอยกลับ นิ่งแน่นอยู่นั่น นั่นแหละถูกเป้าหมายใจดำทางพระพุทธศาสนา"