เกร็ดประวัติชีวิต พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)

วันที่ 04 กพ. พ.ศ.2561

เกร็ดประวัติชีวิต
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) , พระผู้ปราบมาร , หลวงพ่อวัดปากน้ำ , วัดปากน้ำภาษีเจริญ , หลวงปู่สด , หลวงพ่อสด , ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย , วิชชาธรรมกาย , ธรรมกาย , ตามรอยพระมงคลเทพมุนี , วิสุทธิวาจา , ประวัติหลวงพ่อสด , ประวัติพระมงคลเทพมุนี , รวมพระธรรมเทศนา หลวงพ่อวัดปากน้ำ , สมาธิ , วิปัสสนา , สัมมาอะระหัง , หลวงพ่อวัดปากน้ำ , อานุภาพพระของขวัญวัดปากนํ้า , เกร็ดประวัติชีวิต พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)

        พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หรือที่บรรดาศิษยานุศิษย์เรียกกันว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้ที่มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นที่เคารพสักการะของบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ดังจะไค้กล่าวถึงเกร็ดชีวิตบางตอนที่น่าสนใจของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ดังนี้

     คุณยายอุบาสิกาแผ้ว  วัดปากน้ำภาษีเจริญ ได้เล่าว่าเมื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำมีชีวิตอยู่  เวลาใดที่ท่านมีอารมณ์สบายใจ ท่านชอบนําเรื่องราวชีวิตของท่านในวัยเด็กมาเล่าให้คณะศิษย์ที่ใกล้ชิดฟัง เช่น

       เมื่อท่านเป็นทารกพูดยังไม่ได้  แต่สามารถรู้เรื่องราว  มีความคิดและจดจําสิ่งต่าง ๆ ได้  ท่านอยากรู้ว่ามนุษยนั้นพูดปดกันได้อย่างไรบ้างคืนหนึ่งพี่เลี้ยงอุ้มท่านใส่สะเอวออกไปนอกชายคา ท่านจึงแหงนหน้าขึ้นชี้มือไปที่ดวงจันทร์ ทํา เสียงร้อง อื้อๆๆ.... พี่เลี้ยงเห็นท่านทําอาการดังนั้น ก็เข้าใจว่าร้องจะเอาพระจันทร์บนฟ้า จึงพูดปลอบว่า 'โอ๋...โอ๋...จะเอาพระจันทร์หรือ เดี๋ยวนะ...เดี๋ยวนะ..เดี๋ยวจะไปเอามาให้' ท่านฟังแล้วรู้ว่านี่เองคือการพูดโกหก พูดทั้งๆ ที่รู้ว่าทําไม่ได้ เป็นการโกหกชัดๆ

      เมื่อเติบโตขึ้นท่านพาควายไปเลี้ยงที่ทุ่งนา   เมื่อพาควายกลับบ้านขณะขี่หลังควาย  ท่านชอบร้องเพลงเพลงหนึ่ง จําไม่ได้ว่าจําเนื้อร้องมาจากที่ไหน แต่ชอบร้องวนเวียนซํ้าซาก ไม่เบื่อ เนื้อร้องมีความว่า

        'เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแก้วไม่กํา จะเกิดมาทําอะไร  อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทําให้จิตเป็นห่วงเป็นใย เลิกอยากลาหยอก รีบออกจากกาม เดินตามขันธ์สามเรี่อยไม่เสร็จกิจสิบหก ไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้'

       ครั้นเมื่อท่านโตขึ้นมา พอช่วยโยมพายเรือไปค้าขายได้ผ่านศาลเจ้าริมน้ำแห่งหนึ่ง เล่าลือกันว่าเฮี้ยนมาก ใครผ่านต้องนําสิ่งของไปเซ่นไหว้บูชา หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านก็คิดของท่านเองได้ว่า นี่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า
ไม่ใช่พระธรรม ไม่ใช่พระสงฆ์ ไม่ใช่พระรัตนตรัยสักหน่อย ทําไมจะต้องบูชาเซ่นไหว้ เป็นไงเป็นกันเราไม่ทํา ความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นเอง ทั้งที่ท่านก็ไม่รู้ว่าพระรัตนตรัยมีลักษณะเป็นอย่างไร

      ในที่สุดเมื่อวัยรุ่นมาถึงอายุ ๑๙ ปี ท่านต้องทํางานแทนโยมล่องเรือข้าวไปขายต่างตําบล ซึ่งการปล้นชิงทรัพย์สินระหว่างทางมักเกิดขึ้นกับพวกคนขายข้าวเสมอ ในขณะนั้นท่านคิดว่า 'ชีวิตนี้เป็นทุกข์นักโจรก็ร้าย น้ำก็เชี่ยว ใจต้องกังวลเป็นห่วงเงินทอง ไม่มีความสุขเอาเสียเลย ท่านคิดต่อไปถึงชีวิตปู่ย่าตายายรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ผ่านมา ล้วนแต่ต้องกระทําซ้ำซาก หากินกันอยู่แบบนี้ เราเองก็ต้องมาเป็นทุกข์ซ้ำรอย ทำแล้วก็ไม่มีอะไรวิเศษขึ้นมา ในที่สุดก็ต้องตาย ทิ้งโลกนี้ไปกันจนหมด' เมื่อได้คิดท่านจึงอธิษฐานจิตว่า "ขออย่าให้เราตายเสียก่อน ขอให้บวชเสียก่อนเถิด ถ้าบวชแล้วไม่สึกจนตลอดชีวิต" และต่อมาท่านก็ได้บวชเมื่ออายุได้ ๒๒ ปี

      เกร็ดชีวิตของหลวงพ่อวัดปากน้ำนี้   เป็นการรู้จักคิดเป็นตั้งแต่ครั้งเป็นทารกเรื่อยมาจนเติบใหญ่ โดยไม่ต้องมีใครสอน สอนตนเองได้เหล่านี้ต้องมีสาเหตุมาจากปุพเพกตปุญญตา บุญกุศลที่สั่งสมไว้ในชาติปางก่อน โดยเฉพาะเรื่องปัญญาบารมี หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านเป็นผู้มีวาสนาบารมีเดิมแก่กล้า จึงมีความสามารถพิเศษ คือสามารถสั่งสอนและแก้ไขปัญหาให้ตนเองได้

      เมื่อท่านบวชแล้ว ๑๒ พรรษา  ท่านก็ได้ค้นพบวิชชาธรรมกายที่สูญหายไปจากโลกนี้นับพันปี  โดยการปฏิบัติด้วยตัวของท่านเอง และได้สั่งสอนวิชชาธรรมกายนี้ให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ในบรรดาศิษย์ทั้งหลาย คุณยายอาจารย์อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ท่านก็เป็นศิษย์เอกคนหนึ่งของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านกล่าวว่า วิชชาทางธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อท่านลุ่มลึกมาก เป็นความรู้รอบ คือรู้หมดทุกเรื่องจริง ๆ สิ่งใดที่กล่าวไว้ในคัมภีร์หรือตําราทางพระพุทธศาสนาที่ไม่มีผู้ใดในยุคนี้พิสูจน์ได้ชัดเจน หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านพิสูจน์ได้ และยังสอนให้เหล่าลูกศิษย์รู้เห็นตามได้ด้วย ถ้าจะสรุปคําสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำที่ได้ยินได้ฟังมาทั้งหมดก็พอแบ่งได้เป็น ๓ เรื่อง คือ

๑.  เรื่องของอิทธิฤทธิและปาฏิหาริย์
๒. เรื่องของธรรมปฏิบัติขั้นธรรมดา
๓. เรื่องของคําสอนธรรมปฏิบัติขั้นสูง

         สําหรับเรื่องแรก เรี่องของอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องที่น่าประทับใจ คือ

       - เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๔ กําลังเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง หนังสือพิมพ์สนัยนั้น ลงเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำว่าสอนวิชชามีปาฏิหาริย์มากครั้งใดที่เรือบินข้าศึกทิ้งลูกระเบิดเพื่อทําลายจุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ เช่น สะพานพุทธ กินบริเวณไปถึงย่านวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เมื่อประชาชนบริเวณใกล้เคียงแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ต่างพากันเห็นแม่ชีจํานวนมากเหาะขึ้นไปจากวัดปากน้ำ ใช้มือช่วยปัดลูกระเบิดที่เรือบินทิ้งลงมา เห็นกันด้วยตาเนื้อ เห็นหมดทุกคนเป็นอัศจรรย์ ทํา ให้เกิดข่าวเล่าลือถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านใช้แม่ชีลูกศิษย์ของท่านช่วยชาติบ้านเมืองได้ ผลที่ปรากฎก็คือเรือบินทิ้งระเบิดผิดเป้าหมายทุกครั้ง ลูกระเบิดไปตกที่ทะเล ที่ แม่น้ำ ที่รกร้าง ไม่มีผู้คนอยู่เสมอไป ผู้คนจึงเชื่อมั่นว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำมีวิชชาป้องกันภัยอันตราย
ทางอากาศได้ ดังนั้นพอมีเสียงสัญญาณภัยทางอากาศดังขึ้นครั้งใด ผู้คนรอบ ๆ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ จึงไม่วิ่งหนีลงไปอยู่ในหลุมหลบภัย แต่จะพากันวิ่งเข้าไปอยู่บริเวณวัดปากน้ำแทน

      - ส่วนเรื่องอิทธิฤทธิ์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำเกี่ยวกับเรื่องรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ผู้คน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่กล่าวถึงกันไม่รู้จบ คุณยายอาจารย์ก็อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น ท่านเล่าว่าคนเจ็บที่โรงพยาบาลรักษาไม่หาย ญาติมักพามาให้หลวงพ่อรักษา หลวงพ่อท่านมักใช้ลูกศิษย์ที่ได้วิชชาธรรมกายขั้นสูงตรวจดู ถ้าเห็นว่าหมดอายุก็แจ้งให้ญาติทราบ แต่ถ้ายังไม่ถึงคราวตาย ก็ตรวจดูสาเหตุของโรคแล้วแก้ไปตามเหตุนั้น ๆ ถ้าเกิดจากบาปตามมาทันก็แก้ด้วยการทําบุญใหญ่หนีให้พ้น ถ้าเกิดจากโรคภัยก็ใช้อํานาจสมาธิแก้ไข บางทีก็ใช้ยาสมุนไพรที่ตรงกับโรครักษาให้

       หรืออย่างที่สมเด็จป๋า (สมเด็จพระสังฆราชวัดโพธิ์ ปุ่น ปุณณสิริ) ทรงเล่าไว้ว่า วันหนึ่งมีคนมานมัสการถามหลวงพ่อวัดปากนํ้าว่า 'วันนี้จะมีคนมาจองกุฏิกี่หลัง' สมเด็จป๋าในขณะนั้นเป็นพระภิกมุธรรมดา อายุยังน้อย นั่งฟังอยู่ด้วย เห็นหลวงพ่อนั่งนิ่งเพียงครู่เดียวโดยไม่ต้องหลับตาอะไร ตอบว่า 'จะมีคนมาจอง ๔-๕ หลัง' สมเด็จป๋ารู้สึกตกใจมากเพราะเกรงว่า ถ้ามีผู้มาจองตามนั้นจริงก็เป็นเรื่องเสมอตัว แต่ถ้าไม่มีใครมาจองหรือจองไม่ตรงจํานวน จะเป็นเรื่องเสียหายต่อชื่อเสียงของหลวงพ่อท่านเป็นอย่างยิ่ง แต่เพียงอีกครู่เดียวก็มีสตรีผู้หนึ่งมากับเพื่อน ๆ มาจองสร้างกุฏิพระ ๕ หลังจริงๆ สมเด็จป๋าจึงทรงเลื่อมใสวิชชาธรรมกายของหลวงพ่อวัดปากน้ำตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

        นอกจากนี้ ในกรณีที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มีงานสําคัญๆ ทางศาสนา เช่น งานมาฆบูชา วิสาขบูชา เป็นต้น ผู้ไปร่วมงานจะมองเห็นพระธรรมกายในอิริยาบถต่าง ๆ ปาฏิหาริย์ลอยให้เห็นด้วยตาเนื้ออยู่ในท้องฟ้า มีเห็นกันหลายคน นี่ก็ เพราะอํานาจจิตของหลวงพ่อวัดปากน้ำที่ท่านอาราธนาพระธรรมกายจากพระนิพพานลงมาปรากฎให้เห็น

      ในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์เหล่านี้  ผู้ศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรมเรื่องวิธีทํา กรรมฐานแบบต่างๆ จึงจะทราบว่าเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้น เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ฝึกกสิณภาวนา ใช้กสิณต่างกัน ก็จะสามารถแสดงฤทธิ์ได้ต่างกันออกไป แต่หลวงพ่อวัดปากนํ้าท่านไม่ได้มุ่งสอนให้ศิษย์ทั้งหลายของท่านแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เป็นสําคัญ แต่ท่านมุ่งที่จะให้ใช้วิชชาธรรมกายเพื่อกําจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป เลิกเวียนว่ายตายเกิด เข้าพระนิพพานให้หมด

       คำสอนของหลวงพ่อวัดปากนํ้าเรื่องที่ ๒ เป็นเรื่องของธรรมปฏิบัติขั้นธรรมดา เพื่อกําจัดกิเลสของตนเองให้เบาบางเรื่อยไป เรื่องนื้เป็นแก่นคําสอนของพระพุทธศาสนา คือหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านจะสอนให้เหล่าศิษย์รู้จักตนเองว่า เป็นใคร เกิดมาทำไม และควรปฏิบัติอย่างไรกับชีวิตของตน วิธีสอนของท่านกระทําทั้ง ๒ แบบ คือให้ความรู้ทั้งทางปริยัติและทางปฏิบัติธรรม ทางปริยัติท่านจะเทศน์ให้ฟังทางปฏิบัติท่านจะอบรมให้บําเพ็ญภาวนาทางจิต โดยใช้กสิณแสงสว่างดวงแก้วใส ๆ หรือพระพุทธรูปแก้วใส ๆ เป็นอารมณ์ในการภาวนา เรียกว่า
บริกรรมนิมิต และใช้คําพูดท่องในใจว่า 'สัมมาอะระหัง' เป็นบริกรรมภาวนา ทําทั้งสองอย่างไปพร้อมกันจนกว่าจิตจะหยุดนิ่งสนิท จากนั้นจึงจะสอนธรรมปฎิบัติขั้นสูงขึ้นไป ให้เห็นดวงธรรมภายใน และกายภายในต่าง ๆ เป็นลําดับจนถึงกายสุดท้าย คือกายธรรมอรหัต

     หลวงพ่อท่านจะสอนให้เห็นเรียงลําดับจากง่ายไปหายาก คือให้เห็นภพภูมิใกล้ๆ ตัว แล้วจึงไกลออกไป เช่น นรก สวรรค์ จนถึงนิพพานเพื่อปลูกศรัทธาให้ผู้ปฎิบัติเห็นวงจรชีวิตของตนเองในวัฏฏสงสาร ว่าต้องเวียนว่ายตายเกิดไปตามอํานาจบีบคั้นของกิเลส ให้เห็นว่าสิงที่ดีที่สุดคือต้องทําตนให้พ้นอํานาจกิเลส เลิกเวียนว่ายตายเกิดเข้านิพพานให้ได้คำสอนของหลวงพ่อวัดปากนํ้านี้ ท่านสามารถสอนให้พิสูจน์ด้วยตนเองสามารถยืนยันด้วยตนเองได้ว่าสิ่งดังกล่าวเหล่านั้นมีอยู่จริง ๆ เป็นการพิสูจน์ที่ให้ประโยชน์สูงยิ่ง ในการสร้างความเชื่อที่ไม่คลอนแคลนในคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเต็มใจที่จะปฎิบัติตามโดยไม่มีเงื่อนไข

     คําสอนของหลวงพ่อวัดปากนํ้าเรื่องที่ ๓ เป็นเรื่องของธรรมปฏิบัติขั้นสูง มักเรียกกันว่าเป็นการบำเพ็ญภาวนาระดับสูง ผู้ปฎิบัติจําเป็นต้องมีบุญบารมีเก่ามาเฉพาะตน ไม่ใช่สามารถปฏิบัติกันได้ทุกคนผู้ที่ได้วิชชาธรรมกายขั้นสูงนี้เท่านั้นที่สามารถรวมตัวเป็นทีม คือเป็นหมู่คณะปฏิบัติงานทางจิตภาวนาขั้นละเอียด งานดังกล่าวนี้เคยปฏิบัติกันสมัยหนึ่งแล้ว เมื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำยังมีชีวิตอยู่ เรียกว่า 'การทำวิชชา' งานที่ทํานั้นหากเป็นผลสําเร็จ สรรพสัตว์ทั้งปวงจะมีความเป็นอิสระทั้งกายและใจ กายจะไม่ลูกทําลายด้วยโรคภัยไข้เจ็บหรืออันตรายต่าง ๆ ใจจะไม่ถูกกิเลสครอบงํา จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง และพบความสุขอันแท้จริงของชีวิต

      จากคำสอนทั้งหมดของหลวงพ่อวัดปากน้ำที่กล่าวมานี้ ก็จะเห็นว่าท่านมีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่สามารถประมาณความล้ำลึกได้ท่านมิได้เมตตาเฉพาะภพชาติปัจจุบันแต่เมตตาข้ามไปถึงภพชาติเบื้องหน้ากระทั่งบรรลุมรรคผลนิพพาน

 

 


จากหนังสือ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

หนังสือธรรมะแจกฟรี .pdf

**บทความ แนะนำ/เกี่ยวข้อง

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0032073497772217 Mins