การถางกิเลสออกจากใจ

วันที่ 18 มิย. พ.ศ.2562

การถางกิเลสออกจากใจ

          ตลอดทั้งพรรษาที่ผ่านมา พวกท่านได้อุตส่าห์ศึกษาเล่าเรียนธรรมะกันมาอย่างเข้มข้น ทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติ ทุกท่านได้ทราบแล้วว่า เป้าหมายสูงสุดของธรรมะแต่ละข้อที่เรียนกันมา คือนำมากำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไปจากใจ
           เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงเห็นชัดแล้วว่า กิเลสเป็นผู้บังคับบัญชามนุษย์ให้ทำความชั่ว โดยเป็นฉากหลังคอยส่งเสริมมนุษย์ ให้คุ้นเคยกับความชั่วทีละเล็กทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งความชั่วเล็กน้อยที่คุ้นเคยเหล่านั้นได้ลุกลามกลายเป็นนิสัยชั่วทั้งน้อยและใหญ่จนยากที่จะแกัไขให้หมดสิ้นไปเพียงในชาติเดียว
ดังนั้นในพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ จึงมีบทฝึกให้ภิกษุใช้ถางกิเลสออกจากใจด้วยวิธีการแบบง่ายๆ ที่เรียกว่า หนามยอกก็เอาหนามบ่ง ด้วยการเพาะนิสัยดีๆ ขึ้นมาแทนนิสัยไม่ดี ผ่าน ๓ ขั้นตอน
ต่อไปนี้ ควบคู่กันไปตลอดเวลา คือ
๑) การกำจัดกิเลส ผ่านการบำเพ็ญเพียรภาวนา
๒) การกำจัดกิเลส ผ่านกิจวัตรประจำวัน
๓) การกำจัดกิเลส ผ่านการฝึกความรับผิดชอบต่อหมู่คณะ

ขั้นตอนที่ ๑ การกำจัดกิเลส ฝานการบำเพ็ญเพียรภาวนา เนื่องจากกิเลสทั้ง ๓ ตระกูล มันจ้องคอยบีบคั้นใจ ให้เราคิด พูด ทำ แต่สิงที่หยาบกระด้าง จนกระทั่งกลายเป็นนิสัยมักง่าย หยาบคายร้ายกาจต่างๆ การกำจัดกิเลสจึงต้องฝึกใจให้พรากจากกิเลสให้ได้
การฝึกใจให้พรากจากกิเลสต้องทำอย่างไร ?
๑) ต้องตั้งใจศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในภาคปริยัติ ให้เกิดความเข้าใจถูกต้องตามเป็นจริงให้ไต้
๒) เมื่อเข้าใจถูกต้องตามเป็นจริงแล้ว ต้องพยายามหักห้ามใจไม่ให้คิด พูด ทำความชั่ว เป็นการละเมิดพระธรรมวินัยอีก
๓) หมั่นบำเพ็ญเพียรทำภาวนาไม่ให้ขาด เริ่มจากทำภาวนาเป็นครั้งคราว แล้วถี่ขึ้นๆ จนกระทั่งกลายเป็นนิสัยรักการภาวนาเป็นชีวิตจิตใจ เยี่ยงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มพูนกำลังใจในการ
หักห้ามใจไม่ให้ทำความชั่ว และตั้งใจทำให้ใจละเอียด นุ่มนวล ใสสว่างยิ่งๆ ขึ้นไป
              ดังนั้นตลอดทั้งพรรษานี้พระอาจารย์ และพระพี่เลี้ยงนอกจากจะจัดการเรื่องการเรียนธรรมะให้อย่างเข้มข้นแล้ว ยังกำหนดเวลาให้พวกท่านนั่งสมาธิกันวันละหลายๆ ชั่วโมงอย่างต่อเนื่องอีกด้วยทั้งหมดนี้ก็เพื่อฝึกให้พวกเรามีนิสัยรักการทำภาวนานั่นเอง

ขั้นตอนที่ ๒ การกำจัดกิเลส ผ่านกิจวัตรประจำวันที่เกี่ยวเนื่องด้วยการใช้สอยปัจจัย ๔   เนื่องจากชีวิตของเราต้องอาสัยปัจจัย ๔ ทั้งส่วนที่เป็นเครื่องอุปโภคและเครื่องบริโภคในการดำรงชีวิต สิ่งเหล่านี้เองจึงเป็นอุปกรณ์การเพาะนิสัยทั้งดีและไม่ดีให้แก่เราได้ ถ้าเราใช้ในทางที่ถูกต้องมันก็เพาะนิสัยที่ดีให้แก่เรา แต่ถ้าเราใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง มันก็สามารถเพาะนิสัยเลวร้ายให้แก่เราได้
              ในพระวินัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงกำหนดกิจวัตรในเรื่องการใช้สอยและดูแลปัจจัย ๔ ให้เป็นบทฝึก เป็นอุปกรณ์ส่าหรับกำจัดกิเลสไว้หลายข้อ เช่นกิจวัตรเกี่ยวกับการบิณฑบาต การขบฉันข้าวปลาอาหาร การดูแลรักษาบาตร ฯลฯ กิจวัตรเกี่ยวกับการดูแลเครื่องนุ่งห่มสบงจีวร การซัก การตาก การพับ ฯลฯ
กิจวัตรเกี่ยวกับการทำความสะอาดดูแลโต๊ะ เตียง เก้าอี้ การปัดกวาดเช็ดถูที่อยู่อาสัย ลานวัด ลานเจดีย์ ฯลฯ
กิจวัตรเกี่ยวกับการใช้ยารักษาโรค แม้ที่สุด การใช้นํ้ามูตรหริอปัสสาวะของตนเองเป็นยา ฯลฯ
              การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำหนดพระวินัยแฝงไว้ในกิจวัตรประจำวันเช่นนี้ เพราะทรงทราบดีว่า กิเลส มันงอกเงยขึ้นในใจผ่านการใช้สอยปัจจัย ๔ ได้อย่างไร พระองค์ก็ทรงแก้ทางกิเลสด้วยการใช้หนามบ่งหนาม คือ การสอนให้พระภิกษุรู้จักใช้ปัจจัย ๔ รอบตัวให้ถูกต้อง เป็นอุปกรณ์ถางกิเลสออกจากใจเสียเลย
สิ่งที่ได้กลับมาจากการฝึกฝนตนเองผ่านเส้นทางนี้ ก็คือ นิสัย รักการรักษาคีล รู้จักรอบคอบ ระมัดระ วังป้องกันไม่ให้กิเลสกำเริบเสิบสานขึ้นมาในใจของตนเองขณะใช้ปัจจัย ๔
ขั้นตอนที่ ๓ คือ การกำจัดกิเลส ผ่านการฝึกความรับผิดชอบต่อหมู่คณะ
เนื่องจากการส้รบกับกิเลสในใจตัวเองเป็นงานใหญ่ และใช้กำลังใจมาก ที่สำคัญก็คือ กิเลสที่บีบคั้นใจเราอยู่นั้น ไมใช่มีแค่ลำพังกิเลสของเราแต่ยังมีคลื่นกิเลสของคนอึ่นที่อยู่รอบข้างบีบคั้นเข้ามาด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าหากสิ่งแวดล้อมรอบตัวและบุคคลรอบข้างไม่มีส่วนสนับสนุนการฝึกฝนตนเองเพื่อถางทางไปพระนิพพานเสิยแล้ว การกระทบกระทั่งกันอย่างรุนแรงย่อมมีมาก แล้วก็เป็นเหตุให้กิเลส กำเริบเสิบสานเพิ่มมากขึ้นไปอีก
พระส้มมาส้มพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติพระวินัยให้พระภิกษุมี
ความรับผิดชอบต่อหมู่คณะ ด้วยการฝึกให้ดูแลวัดให้เป็นวัดที่มีสิ่งเเวดล้อมและบุคคลรอบข้างที่เหมาะสมแก่การประพฤติปฏิบัติธรรม
ซึ่งวัดต่างๆ สามารถฝึกโดยผ่านงาน ๕ อย่างต่อไปนี้ นั่นคือ
๑) งานช้วยกันดูแลสถานที่และสิ่งแวดล้อมภายในวัดให้มีความสะอาดตั้งแต่ปากทางเข้าวัด สะอาดไปจนกระทั่งถึงห้องน้ำ และยังต้องให้มีความสงบวิเวก ร่มรื่น ไม่อึกทึกครึกโครมด้วยเสียงดนตรีขับร้อง หรือเสียงใดๆ ที่เย้ายวนกวนใจให้ฟุ้งซ่านด้วยกิเลสและยังต้องช่วยกันสอดส่องดูแลไม่ใหใครนำสิ่งที่ร้อนใจ หรือสิ่งที่
เป็นข้าคืกต่อการประพฤติพรหมจรรย์เข้ามาในวัด
๒) งานช่วยกันดูแลป้จจัย ๔ ทั้งเครื่องอุปโภคและบริโภคที่ญาติโยมนำมาถวายด้วยศรัทธา โดยต้องรู้จักประมาณในการรับรู้จักประมาณในการใช้ และรู้จักดูแลรักษา
๓) งานฝึกตนเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่หมู่คณะ นั่นคือพระภิกษุที่เป็นครูบาอาจารย์ในวัด ก็ต้องปฏิบัติตนเป็นต้นแบบในด้านการบำเพ็ญภาวนา การใช้สอยปัจจัย ๔ และการป้องกันหมู่คณะให้ปลอดภัยจากสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อการประพฤติพรหมจรรย์
๔) งานฝึกญาติโยมที่มาทำบุญให้มีความเคารพในธรรมเริ่มจากการแต่งกายมาวัดด้วยเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่สุภาพเรียบร้อยรู้จักการลุก การยืน การเดิน การนั่ง ด้วยความสำรวมระวังสมกับที่เป็นชาวทุทธ และแน่นอนว่าพระภิกษุเองก็ต้องเป็นต้นแบบในการนุ่งห่มและกิริยามารยาทต่างๆให้แก่ญาติโยมก่อน
๕) งานฝึกหมู่คณะให้มีความพร้อมเพรียงในการปฏิบัติธรรมร่วมกัน คือ พระภิกษุ สามเณร และญาติโยมที่มาทำบุญที่วัดต้องกำหนดกิจวัตรในการปฏิบัติธรรมอย่างชัดเจนโดยต้องแบ่งเวลา
ออกเป็น ๔ ช่วง และระบุเวลาให้ชัดเจน ได้แก่
(๑) แบ่งเวลาสำหร้บการเข้าไปคืกษาหาความรู้ธรรมะจากพระภิกษุผู้เป็นครูบาอาจารย์
(๒) แบ่งเวลาสำหรับสนทนาธรรม เพื่อไตร่ตรองธรรมะที่ไต้เรียนมาแล้วให้เข้าใจ จะได้นำมาแกไขนิสัยไม่ดีของตนเองอย่างถูกต้อง

(๓) แบ่งเวลาสำหรับทำภาวนาในแต่ละวันอย่างต่อเนื่อง
(๔) แบ่งเวลาสำหรับการหลีกเร้นออกไปทำภาวนาในช่วงยาว
              การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงฝึกให้พระภิกษุมีนิสัยรับผิดชอบต่อหมู่คณะเช่นนี้ก็เพราะพระองค์ทรงต้องการให้เรารู้จักสร้างสิ่งแวดล้อมและบุคคลแวดล้อมที่ดี เพื่อให้เราได้มีโอกาสซึมซับรับเอาความดีจากผู้อึ่นเข้ามาไว้เป็นนิสัยประจำตัว ในขณะเดียวกัน นิสัยที่ไม่ดีในตัวเราก็สามารถถูกกำจัดออกไปโดยอัตโนมัติ แล้วผู้อื่นก็สามารถซึมซับรับเอานิสัยที่ดีของเราเข้าไปเป็นนิสัยประจำตัวของเขาได้เช่นกัน เป็นอันว่า ทันทีที่ทุกคนในวัดมีความรับผิดชอบต่อหมู่คณะสมาชิกทั้งหมดของวัดก็กลายเป็นการช่วยเหลือซึ่งและกันในการ
กำจัดกิเลสให้หมดไปโดยอัตโนมัติ
             พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ความพร้อมเพรียงของหมู่สงฆ์ คือ ความประเสริฐต่อการทำพระนิพพานให้แจ้ง   เหล่านี้คือ พระสัจฉริยภาพของพระพุทธองค์ในการสร้างยุทธวิธีกำจัดกิเลส แบบหนามยอกหนามบ่ง คือ กิเลสงอกขึ้นจากที่ตรงไหนพระองค์ก็สอนให้ถางกิเลสออกไปจากใจที่ตรงนั้นเป็นกิจวัตร
เราไม่สามารถหาสุดยอดบรมครูเช่นนี้ได้จากที่ไหนอีกแล้ว

พระธรรมเทศนา โดย
พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)

จากหนังสือ บวชไม่เสียผ้าเหลือง สึกไม่เปลืองผ้าหลาย

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.068454432487488 Mins