13 แนวทางสร้างกำลังใจให้ตนเอง

วันที่ 04 สค. พ.ศ.2558

 

13 แนวทางสร้างกำลังใจให้ตนเอง


            มนุษย์มีศักยภาพในตัวเองมากมาย แต่เราไม่สามารถดึงศักยภาพที่เรามีมาใช้ได้ทั้งหมด เพราะเราอาจจะไม่มีความมั่นใจในตนเอง ไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง หรือไม่มีกำลังใจที่จะนำพาตัวเองไปสู่ความสุขและความสำเร็จ


เทคนิคสร้างกำลังใจให้เกิดกับตนเอง
    จริงๆ แล้วความสำเร็จของแต่ละคนขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในคือ “ ตัวเรา ” นั่นเอง ส่วนปัจจัยภายนอกอย่างอื่น เช่น มีผู้ใหญ่สนับสนุน ภาวะแวดล้อมเอื้ออำนวยให้ก็มีความสำคัญแต่ยังเป็นเพียงปัจจัยรอง ถ้าตัวเราไม่พร้อม ปัจจัยภายนอกแม้มีพร้อมมูลก็ไม่เกิดประโยชน์ เคยถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่า คนธรรมดาๆ อย่างเรา สามารถพัฒนาตัวเองให้เกิดแรงบันดาลใจ แล้วมีแรงจูงใจที่จะประสบความสำเร็จได้มากเท่ากับผู้ที่เขาประสบความสำเร็จแล้วในโลกนี้อย่าง บิล เกตส์ ( Bill Gates ) หรือ สตีฟ จอบส์ ( Steve Jobs ) ได้หรือไม่
    คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้นขึ้นอยู่กับว่า เขามีความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จหรือไม่ เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนสามารถพัฒนาตนเองไปเป็นอย่างที่หวังและตั้งใจได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ เขาไม่ยอมถอดใจง่ายๆ ” เรียกว่า “ พรแสวง ” เหนือกว่า “ พรสวรรค์ ”


แนวทางที่ 1 กำหนดเป้าหมายในชีวิต
    สิ่งหนึ่งที่จะทำให้มนุษย์แตกต่างกัน คือแรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นที่จะยกระดับชีวิตของตัวเอง ยกระดับการงานรวมทั้ง เป้าหมายในชีวิต และความเชื่อว่าเราเป็นได้มากกว่าที่เราเป็นอยู่ แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะดึงศักยภาพของตนเองออกมา หรือสร้างกำลังใจให้ตัวเองก้าวไปสู่ความสำเร็จได้จริง เราจะเห็นได้ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับเป้าหมายในชีวิตที่เราตั้งไว้ ถ้าเราไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไรไว้เลยก็เหมือนเรือที่ไม่มีเข็มทิศ มุ่งหน้าไปโดยไม่ได้ปรับหางเสือเรือให้ตรงทิศทาง เรือจึงลอยไปเรื่อยๆ ไร้จุดหมายปลายทาง เพราะฉะนั้น ขยันอย่างเดียวยังไม่พอ 
    ก่อนอื่น เราต้องกำหนดเป้าหมายในชีวิตของตัวเองให้ชัดเจนก่อน ซึ่งจะต้องเป็นเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงที่สุดว่า เราต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตบ้าง แล้วเลิกพร่ำบ่นกับโชคชะตาฟ้าลิขิต หันมากำหนดชีวิตให้ชัดเจนว่า เป้าหมายที่แท้จริงในชีวิตของเราคืออะไร และสิ่งที่เราต้องการจริงๆนั้นคืออะไร 


แนวทางที่ 2 มองให้ทะลุไปถึงผลลัพธ์สุดท้าย
    เราจำเป็นจะต้องมองทะลุไปให้ถึงผลลัพธ์สุดท้ายของสิ่งที่เราอยากได้ แล้วเราจะได้อะไรในภาพสุดท้ายนั้น เช่น เป้าหมายของเราคือลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัม เป้าหมายสุดท้ายที่เรามองทะลุไปถึง คือเราจะมีสุขภาพที่แข็งแรงมากขึ้น ร่างกายกระฉับกระเฉง และมีกำลังวังชาไปไหนมาไหนสะดวก เวลาไปร้านขายเสื้อผ้าเราสามารถลองชุดได้อย่างมีความสุข ไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหนคนอื่นก็ต้องเหลียวมองเรา เพราะว่าเรามีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง เป็นต้น จริงๆแล้วการมองให้ทะลุไปถึงผลลัพธ์สุดท้ายนี้สำคัญมาก เพราะภาพสุดท้ายจะเป็นแรงจูงใจให้เราเดินไปได้ตลอดเส้นทาง เพราะฉะนั้น เราจำเป็นที่จะต้องมีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง ไม่คลุมเครือ
    ยกตัวอย่างเราตั้งเป้าหมายไว้ว่าเราจะรวย เพียงเท่านี้อาจจะคลุมเครือไป เราต้องสร้างความชัดเจนในเป้าหมายมากยิ่งขึ้น เช่น เราจะหาเงินให้ได้ 3 แสนบาทเพื่อนำไปทำบุญหรือเพื่อไปท่องเที่ยวช่วงวันหยุดพักร้อน หรือเพื่อขยายธุรกิจของตัวเอง เป็นต้น ซึ่งเราจะเป็นผู้กำหนดเป้าหมายต่างๆ ให้ชัดเจนได้ดีที่สุด ถ้าเรามีจุดมุ่งหมายชัดเจน และเป็นสิ่งที่ทำได้จริงก็จะนำเราไปสู่แผนปฏิบัติการอื่นๆ ต่อไปได้


แนวทางที่ 3 สร้างภาพสำเร็จให้เกิดขึ้นก่อน
    การสร้างเป้าหมายโดยการสร้างภาพสำเร็จให้เกิดขึ้นก่อนนั้น ให้เราลองหลับตาแล้ววาดฝันมองให้เห็นภาพอย่างจริงจังว่า ถ้าเราไปถึงเป้าหมายนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร พยายามสร้างความรู้สึกนี้ไปให้ทั่วร่างกาย ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง นี่คือการสร้างภาพสำเร็จให้เกิดขึ้นก่อน แล้วความสำเร็จจริงๆ จะตามมา ถือเป็นการตอกย้ำเป้าหมายของเราให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้เรามีแรงเดินหน้าต่อไปนั่นเอง


แนวทางที่ 4 บันทึกเป้าหมายเป็นตัวอักษร
    บันทึกสิ่งที่เราคิดว่าเป็นเป้าหมายในชีวิตออกมาเป็นตัวอักษร ด้วยการเขียนมันลงไปในหน้ากระดาษ ทำให้เราได้ทบทวนเป้าหมายทุกๆวัน ใจเราจะจดจ่อถึงผลลัพธ์สุดท้ายที่เราต้องการ ไม่ว่าเราจะตั้งเป้าหมายอะไรไว้ก็ตาม ถ้าเราทำเป้าหมายสมมติขึ้นมา ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่มันจะมีความท้าทายตามมาเสมอ พอเราเขียนเป้าหมายของตัวเองเป็นตัวอักษรแล้วให้ติดมันไว้ในสถานที่ที่เรามองเห็นได้ทุกวัน เพื่อจะเป็นตัวช่วยย้ำเตือน ให้เราขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายได้อย่างไม่ไขว้เขว เป้าหมายไม่ถูกเบี่ยงเบนไปเพราะเราได้ตอกย้ำอยู่เสมอว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเราคืออะไร และเราต้องการอะไรจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายนั้น


แนวทางที่ 5 แตกเป้าหมายใหญ่ๆออกเป็นลำดับขั้น
    แตกเป้าหมายใหญ่ๆออกเป็นลำดับขั้น ไม่ให้เป้าหมายเป็นเพียงคำพูดลอยๆ ด้วยการจัดระบบเป้าหมายให้เริ่มเป็นจริงด้วยการระดมความคิดของตัวเอง แล้วแยกย่อยเป้าหมายออกเป็นข้อๆ เหมือนขั้นบันได เช่น ถ้าเราจะหาเงินให้ได้ 3 แสน เราควรวางแผนจัดระบบความคิดว่า ใน 1 สัปดาห์ เราจะสามารถทำงานหาเงินได้เท่าไร เราจะหาช่องทางสร้างรายได้เสริมด้วยวิธีการอย่างไร แล้วแต่ละช่องทางนั้นใช้เวลาเท่าไร หรือเราควรจะลงทุนอะไรถึงจะได้ผลตอบแทนที่สามารถครอบคลุมสิ่งที่เราต้องการได้ และต้องไม่ลืมที่จะมองไปถึงรายจ่ายที่ไม่จำเป็นด้วย นี่คือการแตกเป้าหมายใหญ่ๆ ออกเป็นขั้นบันได พร้อมกับเขียนทั้งหมดลงบนหน้ากระดาษ


แนวทางที่ 6 วางแผนปฏิบัติการ
    หลังจากที่เราได้แตกเป้าหมายใหญ่ๆ ออกเป็นขั้นบันไดแล้ว ให้นำไปสู่ตัวของแผนปฏิบัติการ (Action Plan) คือการเขียนแผนรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ว่าเราจะทำอะไร ทำอย่างไร และลงมือทำเมื่อใด


แนวทางที่ 7 ประเมิณแผนปฏิบัติการทุกวัน
    หมั่นประเมิณแผนปฏิบัติการทุกวัน เพื่อจะได้รู้ว่าเราเข้าถึงหรือบรรลุแผนในขั้นนั้นๆ แล้วหรือไม่ แล้วจดบันทึกความสำเร็จในส่วนของแผนการแต่ละขั้นไว้ด้วย ถ้าเรายังไม่บรรลุแผนขั้นใดก็ให้ประเมินว่าเราติดขัดตรงไหน แล้วปรับเปลี่ยนแผนตามความเหมาะสม เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้


แนวทางที่ 8 สร้างบรรยากาศส่งเสริงกำลังใจ
    ทุกการเดินทางของเรามักจะมี “ มารผจญ ” หรือตัวขัดขวางความสำเร็จอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น เราจะต้องสร้างบรรยากาศส่งเสริมกำลังใจให้ตัวเอง ด้วยการอยู่ท่ามกลางคนที่ให้กำลังใจเรา เพื่อเราจะได้มุ่งมั่นเดินหน้าไปสู่เป้าหมายได้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันเราก็ต้องสร้างกำลังใจให้เกิดขึ้นมาจากตัวเราเองด้วย บางคนใช้เทคนิคบอกกับตัวเองว่า “ วันนี้ไม่ดีไม่เป็นไร พรุ่งนี้จะต้องดีขึ้นกว่าเมื่อวาน แล้วดีขึ้นทุกๆวัน ” นี่คือการสร้างความมุ่งมั่นให้แก่ตัวเอง และไม่ยอมให้ใครมาทำลายกำลังใจเราได้ง่ายๆ


แนวทางที่ 9 ทำทุกอย่างด้วยความสนุกสนานท้าทาย
    ให้ทำทุกอย่างอย่างสนุกสนานท้าทาย โดยเริ่มต้นจากเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จ และหัวเราะให้กับความล้มเหลว ให้โอกาสตัวเองได้ใช้เวลาชื่นชมยินดีกับความสำเร็จที่เกิดขึ้น ทำทุกเรื่องให้เป็นเรื่องสนุกสนานท้าทาย เติมสีสันลงไประหว่างการเดินทางสู่เป้าหมาย เพื่อที่เราจะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวัน และประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น


แนวทางที่ 10 มีความรับผิดชอบที่จะบรรลุเป้าหมาย
    เมื่อเราเขียนความต้องการของตัวเองไว้แล้ว สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เราเกิดความรับผิดชอบต่อความต้องการของตัวเอง และบรรลุเป้าหมายได้ คือเราต้องตอกย้ำกับตัวเองเสมอว่า “ เราทำได้ ” ที่สำคัญเราจะต้องมีวินัยในตัวเอง มีความพยายามและต้องเชื่อมั่นว่าเราทำได้ เราถึงจะประสบความสำเร็จได้ในที่สุด


แนวทางที่ 11 มองหาตัวช่วยให้ดี
    ทรัพยากรที่จำเป็นจะทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้ เราจำเป็นจะต้องหาตัวช่วยที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการขอความช่วยเหลือ จากสมาชิกในครอบครัว ขอการสนับสนุนจากคนรอบข้าง และขอความช่วยเหลือจากมืออาชีพในเรื่องที่เราไม่ถนัด เช่น ที่ปรึกษาด้านการลงทุน ที่ปรึกษาด้านภาษา เป็นต้น เรียกได้ว่าให้เขาเป็นทั้งตัวช่วย และเป็นทั้งต้นแบบที่ดี
    เราควรมองหากลุ่มคนที่มีเป้าหมายเดียวกัน ยกตัวอย่างถ้าเราต้องการจะบรรลุธรรมในพรรษานี้ เราควรหาตัวช่วยด้วยการจัดตั้งกลุ่มขึ้นมาใน Social Media หรือช่องทางใดก็ได้ หรือมองหากลุ่มคนที่มีความสนใจร่วมกัน และได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และมีการจดบันทึกอยู่เสมอๆ การกระทำในรูปแบบนี้ถือเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ที่จะทำให้เราไม่เบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้


แนวทางที่ 12 คิดหาแนวทางใหม่ๆอย่างสร้างสรรค์ 
    คิดหาแนวทางใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสร้างสรรค์ แล้วเราจะพบว่า ตัวเรามีศักยภาพมากพอที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ แนวทางที่คนอื่นเคยเดินมาก่อน เราทำได้อย่างมากก็แค่เดินไปตามเส้นทางนั้น แต่ถ้าเราสร้างแนวทางใหม่ๆ เพื่อแข่งขันกับสิ่งที่ตลาดมีอยู่แล้ว เช่น หาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือเปลี่ยนวิธีคิดต่อการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมา เราก็ไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร แต่แข่งขันกับตัวเอง ยกตัวอย่างมีคนสองคนนำรองเท้าไปขายที่ประเทศอินเดีย พอไปถึงเห็นคนอินเดียไม่มีใครใส่รองเท้าเลย คนที่หนึ่งบอกว่าขายไม่ได้แน่ จัดแจงขนรองเท้ากลับบ้าน แต่อีกคนหนึ่งกลับบอกว่า ที่นี่เป็นตลาดใหญ่มากเพราะยังไม่มีใครมีรองเท้าเลย ทุกคนมีโอกาสซื้อรองเท้าของเขาทั้งนั้น นี่เองถือว่าเป็นการคิดวางแผนหาแนวทางใหม่ๆ แม้แต่อุปกรณ์สื่อสารอย่างโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยม และประสบความสำเร็จในการขายก็เกิดจากการคิดหาแนวทางใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนเดิม โดนสตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) คืดแบบผู้นำที่ไม่เชื่อผลวิจัยตลาดของทีมวิจัย แต่เชื่อมั่นในตัวเองว่า เขารู้ว่าตลาดต้องการอะไร เพราะผลิตภันณ์ใหม่ๆ ยังไม่มีในท้องตลาด กลุ่มผู้บริโภคยังไม่รู้จัก ผู้บริโภคไม่เคยใช้เลยอล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าตนจะชอบหรือไม่ชอบ คิดฉีกแบบผู้นำอย่างนี้ถึงจะประสบความสำเร็จ


แนวทางที่ 13 ลงมือเดี๋ยวนี้
    “ Just do it ” ก็แค่ทำมันซะ ลงมือเลย เรานั่งวางแผนมาเป็นเดือนเป็นปีแล้ว ถ้ายังไม่ได้ลงมือทำมันก็เป็นแค่แบบแผนในหน้ากระดาษ หากมีแผนการแล้วแต่ทุกอย่างยังไม่พร้อมทั้งหมด ก็จงอย่าคาดหวังความพร้อมเต็มทั้ง 100% ถ้าเรามองเห็นโอกาสและศักยภาพในตัวเอง ที่สำคัญมองเห็นความเป็นไปได้แล้ว เมื่อนั้นเราควรกล้าตัดสินใจที่จะเสี่ยง แล้วเริ่มกำจัดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น เช่น สำรวจว่าเรามีความเสี่ยงในการสูญเสียครั้งนี้มากแค่ไหน และเราสามารถรับความสูญเสียนั้นๆได้หรือไม่ หากดูแล้วในกรณีแย่สุดเราพอรับได้ก็ตัดสินใจทำไปเลยอย่างกล้าหาญ โอกาสแห่งความสำเร็จก็ถูกเปิดออกแล้ว เหลือเพียงอย่างเดียวคือ “ การตัดสินใจทำ ”    

 

--------------------------------------------------------------------

" หนังสือ เนรมิต จิตใจ "
ปลดล็อกความเครียด รู้ทันความเสื่อม สร้างสุข สลัดทุกข์หยุดโกรธ
โดยพระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0059935331344604 Mins