วารสารอยู่ในบุญ ธรรมะออนไลน์

พระธรรมเทศนา ปุจฉา-วิสัชนา บทความข่าว ผลการปฏิบัติธรรม ตักบาตรพระ บาลีน่ารู้ กฏแห่งกรรม ฝันในฝัน บวชพระ

บทความอยู่ในบุญ จ๊าบพันแท้... ยังแพ้หนู

เรื่อง : ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์

E-mail : [email protected]

 




 

รู้สึกคิดหนัก..ที่จะต้องนำอดีตส่วนตัวที่ไม่น่าภูมิใจของใครมาเปิดเผย !

      แต่เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างเห็นประโยชน์ที่คิดว่า เรื่องนี้อาจเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาของเยาวชน ที่เป็นรูปธรรมที่สุดเรื่องหนึ่งก็ว่าได้ ทำให้ผู้เขียนเจรจากับเจ้าของเรื่อง แล้วเธอตกลงยินยอมให้เข้าสัมภาษณ์

      เรามาคลุกคลีอยู่ที่นี่ถึง ๒ วัน เพื่อพูดคุยกับเธอหลายคน เพราะเราเชื่อว่าผู้อ่านจะได้อะไรที่มากกว่า การได้รู้เรื่องเด็กที่เคยไม่ดีแล้วเปลี่ยนไป แต่เราอยากให้รู้ว่า เธอยอมเปลี่ยนไปด้วยวิธีการใด เพราะวิธีการนี้ อาจเป็นประโยชน์กับคุณ หรือคนที่คุณรักสักวัน... และแน่นอน เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของเธอไว้ให้มากที่สุด ผู้เขียนขอเรียกเธอทั้งสองว่า เป๊บ (เป๊บซี่) และ สไปรท์ ซึ่งเป็นนามที่คิดว่า น่าจะเหมาะกับเธอทั้งสอง เพราะเธอ..ซ่าส์หมดจนหยดสุดท้ายจริง ๆ

.......................................................................................



เป๊บ:            เป็นวัยรุ่นหญิงอายุ ๑๙ ปี

ปูมหลัง:      ติดยา ขายบริการ โดนจับคดีปล้นฆ่าอำพรางศพ
              ที่ลงหนังสือพิมพ์หน้า ๑ เมื่อ ๔ ปีก่อน

ปัจจุบัน:       อยู่ที่ศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนเขต ๒ จ.ราชบุรี
              (บ้านปรานี) และที่สำคัญได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว

 

 

            “ชีวิตหนูผ่านอะไรมาเยอะ พ่อแม่เป็นเอดส์ตายตั้งแต่หนูเรียนอยู่ชั้นประถม จึงต้องมาอยู่กับยาย หนูโดนตีจนร้องไห้แทบทุกวัน จนรู้สึกว่าอยากจะทำทุกวิถีทางที่ไม่ต้องอยู่บ้าน พออยู่ ม.๒ หนูก็เริ่มเที่ยว ติดยา หัดดื่มเหล้า ดูดกัญชา จนสุดท้ายก็หนีออกจากบ้านไปอยู่กับแฟน ตอนนั้นลำบากมาก ไม่มีเงินเลย จนตัดสินใจทำอาชีพที่ไม่อยากทำ คือ เป็นผู้หญิงอย่างว่า พอได้เงินมา ก็เอาไปลงกับยาหมด เพราะติดยาบ้า จนตอนหลังแฟนรู้ว่าหนูทำอาชีพนี้ แต่เขาก็รับเราได้ เพราะตอนหลังหนูก็รู้ว่า เขาก็ไปขายบริการให้กะเทยเหมือนกัน เราก็อยู่กันจนท้อง พอท้องใหญ่ขึ้น หนูก็ทำอาชีพนี้ไม่ได้ ประจวบกับตอนนั้นเงินหมด ขัดสนมาก จนสุดท้ายจึงวางแผนนัดป๋า ที่เคยเป็นแขก แต่เบี้ยวค่าตัว ให้เงินหนูไม่ครบจากนั้นก็ลงมือปล้นฆ่า จนเป็นคดีดังที่ลงหนังสือพิมพ์หน้า ๑ ไปเมื่อ ๔ ปีที่แล้ว จนสุดท้ายถูกตำรวจจับ ซึ่งพอเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว หนูถูกบังคับให้เลิกยา เลิกสูบ เลิกดื่มทุกอย่างหมด แต่สิ่งหนึ่ง..ที่แม้เขาจะบังคับแล้ว แต่หนูยังเลิกไม่ได้ ก็คือบุหรี่ หนูจึงใช้วิธีการอันแยบยลลักลอบเอายาเส้นมาแอบสูบ โดยไม่ให้อาจารย์และคุณครูผู้คุมรู้ และด้วยความที่หนูติดมันมาก บางทียาเส้นหมด เพราะแอบเอาเข้ามาไม่ได้ หนูจึงหลบไปเก็บเศษใบไม้แห้ง แล้วเอาหญ้าแห้งมามวนจุดสูบ ถึงแม้จะไม่เหมือน แต่ก็ดีกว่าไม่มี จนกระทั่งมีโครงการบวชเข้ามา เพราะผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรม ท่านยุทธนันท์ ยิ้มพูลทรัพย์ ท่านมีวิชั่นกว้างไกล เล็งเห็นถึงความสำคัญของโครงการบวช ว่าสิ่งนี้จะเข้ามาตอบโจทย์และพลิกชีวิตของพวกหนูได้ เพราะโครงการนี้ ทุกคนต้องทำตัวให้บริสุทธิ์ ซึ่งการต้องทำตัวให้บริสุทธิ์นี่แหละ หนูจึงคิดหนักว่าจะทำไงดี เพราะหากถือศีลแล้ว จะมาแอบสูบยาเส้น มันก็จะเสียเส้น คือมันไม่บริสุทธิ์ หนูก็เลยต้องจำใจบอกกับตัวเองว่า งั้นทนเอาสัก ๑๔ วัน ซึ่งในช่วง ๓-๔ วันแรก หนูหงุดหงิดสุด ๆ ปวดหัว ปวดท้อง มีอาการลงแดง และก็ลังเลอยากจะแอบสูบมาก แต่ดันไม่มีจังหวะเลย เพราะกิจกรรมระหว่างบวชแน่นจนหลบไปสูบไม่ได้ จนหนูต้องพยายามฝืนทนนั่งฟังธรรมะ นั่งสมาธิไปเรื่อย ๆ ทนจนมันเลยจุดค่ะ มารู้ตัวอีกทีก็เข้าวันที่ ๕จนอดแปลกใจกับตัวเองไม่ได้ว่า เออ!.เรามันไม่สูบก็ได้นี่หว่า ไม่เห็นตายเลย เด็กเป๊บอย่างเราทำได้ พอบวชเสร็จ จากเดิมที่คิดว่าจะกลับไปสูบอีก ก็เลยตัดสินใจเอายาเส้นทั้งหมดที่มี พร้อมไฟแช็ก ๕ อัน ไปส่งมอบให้อาจารย์แม่ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่เสียเลย ท่านก็เลยอึ้ง แล้วชมหนูว่า “เฮ้ย..เธอแน่ว่ะ!” ท่านภูมิใจในตัวพวกหนูมาก เพราะสิ่งที่ท่านต้องการมากที่สุด คือ อยากให้พวกหนูเปลี่ยนแปลงเป็นคนดีมาจากตัวเอง เพราะจะมีผลยั่งยืนและถาวรมากกว่าการใช้อำนาจความรุนแรงบังคับ เพราะหากใช้อำนาจ หนูก็จะยอมแบบปลอม ๆ คือทำดีเฉพาะต่อหน้าเท่านั้น แต่ลับหลังไม่ทำ

 


 

หนูเห็นแต่รูปพ่อและแม่เวลานั่งสมาธิค่ะ

           “การบวชทำให้หนูเปลี่ยนแปลงนิสัยตัวเองหลายอย่าง เหมือนเราถูกขัดเกลาไปมาก จากคนที่ไม่เคยบวช ไม่เคยสัมผัส และไม่คิดว่าจะได้บวช ก็มีโอกาสมาบวช ได้มาทำความดี ทำให้ตัวเองบริสุทธิ์แม้เพียงช่วงหนึ่งในชีวิต ได้มารู้เรื่องบาป บุญ คุณ โทษ เพราะตอนวางแผนฆ่าเขาตอนนั้น ไม่ได้คิดถึงบาปเลย หากหนูได้เรียนรู้เร็วกว่านี้ ก็คงจะไม่ตัดสินใจทำอะไรด้วยอารมณ์ชั่ววูบ จนสุดท้ายต้องมาอยู่ตรงนี้ แล้วมานั่งเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งทุกวันนี้หนูก็แผ่เมตตาให้เขาทุกวัน ขอให้เขาอโหสิกรรมให้หนู และหนูก็ภูมิใจที่หักดิบ เลิกสูบยาได้ จนหนูรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง รู้สึกนับถือตัวเอง ที่สำคัญการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิทำให้หนูมีจิตใจที่อ่อนโยนลง สำนึกและซาบซึ้งถึงผู้มีพระคุณของหนูมากที่สุด นั่นก็คือพ่อแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว...”

 


 



สไปรท์ :     เป็นวัยรุ่นหญิงอายุ ๑๗ ปี


ปูมหลัง :     เด็กเที่ยว หนีออกจากบ้าน ถูกจับ ด้วยคดีสมรู้ร่วมคิด
               ในการพรากผู้เยาว์


ปัจจุบัน :      อยู่ที่ศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนเขต ๒ จ.ราชบุรี
               (บ้านปรานี) และที่สำคัญได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น

 

           “เดิมหนูเป็นเด็กเรียนได้เกรด ๔ มาตลอด แต่พอขึ้นมัธยมปลาย หนูก็เริ่มติดเพื่อน ติดเกม ติดเที่ยว สูบ ดื่ม โดดเรียน พอพ่อแม่ถามบ่อย ๆ หนูก็รู้สึกรำคาญ และก็ตวาดท่านจนร้องไห้ พอท่านร้องไห้ หนูก็จะถามว่า จะร้องทำไม จะยุ่งอะไรกันนักหนา ชีวิตเป็นของหนู พอพ่อแม่บ่นหนูมากขึ้น หนูก็หนีออกจากบ้านไปเช่าห้องอยู่กับเพื่อน แถมยังคิดตลอดเวลาว่า ท่านไม่เข้าใจวัยรุ่น จนสุดท้ายหนูถูกตำรวจจับ พ่อแม่หนูเสียใจมาก ขนาดพ่อ ผู้ชาย..ที่เข้มแข็งที่สุดในบ้าน ก็ยังแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำ พ่อกับแม่สู้คดีทุกอย่างและทำทุกวิถีทาง เพื่อให้หนูออกไป แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย หลังจากหนูถูกพิพากษาแล้ว ก็ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน แล้วต้องมาอยู่ที่นี่ หนูทำใจไม่ได้เลย ร้องไห้ทั้งวันไม่กินข้าวเป็นอาทิตย์ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร รู้แต่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับเรา ซึ่งมันก็สายไปแล้ว

           “แต่พอมีโครงการบวชอุบาสิกาแก้วเข้ามา หนูได้บวช สิ่งที่ได้จากการบวช ๑๔ วัน สามารถตอบปัญหาในชีวิตของหนูได้ทุกข้อ เพราะถ้าไม่มีโครงการบวช หนูก็จะได้เรียนแค่วิชาชีพ วิชาสามัญ และบทเรียนราคาแพงไปเท่านั้น แต่หนูจะไม่รู้หลักการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องเลยว่า เมื่อหนูออกไปแล้ว หนูจะต้องทำตัวใหม่อย่างไร การเป็นลูกที่ดีให้พ่อแม่ภูมิใจต้องทำอย่างไร โครงการนี้สอนให้หนูรู้ว่า เราต้องพูดดี ๆ กับพ่อแม่ เพราะที่ผ่านมาหนูไม่เคยทำดีกับท่านเลย ตอนนี้หนูอยากกราบพ่อกับแม่มากที่สุด เพราะหนูไม่เคยกราบท่านเลย ซึ่งหนูก็จะไม่รอให้ถึงวันที่สายไปกว่านี้แล้ว

 


 



 

           “การบวช..สอนให้หนูรู้เรื่องบุญบาป ไม่ตัดสินใจทำอะไรด้วยอารมณ์ชั่ววูบ และที่สำคัญหนู ยังได้นั่งสมาธิ ซึ่งแรก ๆ หนูเมื่อยสุด ๆ เมื่อยจนคิดว่า อะไรเนี่ย.!ทำไมต้องให้มานั่งทำอะไรแบบนี้ แต่พอเข้าวันที่ ๓ หนูลองนึกถึงสิ่งที่หนูชอบ คือ ส้ม และก็มองไปเรื่อย ๆ อยู่ ๆ ส้มก็ใสสว่างขึ้นเรื่อย ๆ พอมองไปกลางส้ม หนูก็เห็นดวงแก้วผุดขึ้นซ้อน ๆ กันเข้าไป ๖ ดวง พอหนูมองต่อไปเรื่อย ๆ ก็เห็นองค์พระค่ะ หนูมีความสุขมาก ไม่น่าเชื่อว่าหนูจะได้เห็นสิ่งนี้ ขณะนั้นหนูลืมความทุกข์ทุกอย่างในชีวิตที่มี รู้สึกตัวเบาอย่างกับตัวเองนอนลอยอยู่ในที่ ๆ สบายที่สุด รู้สึกอิสระแบบไม่มีอะไรมาเหนี่ยวรั้งใจเลย มันสุขมากกว่าการถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ อีก พอหนูพบความสุขแบบนี้ หนูถึงตอบได้ด้วยตัวเองค่ะว่า ทำไมหลวงพ่อถึงได้จัดโครงการบวชขึ้นมา แล้วทำไมต้องให้พวกหนูนั่งสมาธิ แล้วความสุขที่เกิดขึ้นตรงนี้เอง ทำให้หนูอยากไปเปิดบ้านกัลยาณมิตร เมื่อหนูออกจากที่นี่ได้แล้ว หนูอยากให้คุณพ่อคุณแม่และญาติ ๆ มาสวดมนต์ด้วยกัน อยากให้เรามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความอบอุ่น ความเข้าใจ โดยมีธรรมะเป็นตัวเชื่อม ก่อนหน้านี้ หนูไม่รู้เลยว่า ธรรมะจะเป็นสิ่งที่ดีถึงขนาดนี้ เพราะช่วงที่เรียนอยู่ขณะที่หนูทำค่ายพัฒนาชุมชน เพื่อนในกลุ่มก็ชวนหนูว่าลองไปพัฒนาวัดดูไหม ลองไปวัดบ้างก็ดีนะโว้ย หนูก็รีบปฏิเสธเพื่อนกลับทันควันเลยว่า ไม่ไปหรอก เพราะรู้สึกว่าวัดไม่สะอาด แถมยังน่าเบื่อจะตาย แต่พอหนูได้มาบวช หนูถึงได้รู้ว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดี มีเหตุผล สามารถเอามาใช้แก้ปัญหาชีวิตเราได้หลายอย่าง เพราะขนาดเด็กสไปรท์อย่างหนูยังเปลี่ยนได้เพราะธรรมะ

 


 

เห็นองค์พระแล้วมีความสุข

มากกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ ค่ะ

           “มาวันนี้ หนูเลยอยากไปพัฒนาวัดค่ะ เพราะหนูเพิ่งรู้ว่าธรรมะดี ก็เลยอยากทำให้วัดสะอาดน่าเข้า เพื่อคนจะได้อยากเข้าไปศึกษาธรรมะ ไปนั่งสมาธิกัน

 




 

           “หนูขอกราบพระคุณหลวงพ่ออย่างสูงสุดค่ะ ที่ทำให้พวกหนูรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง รู้หลักการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง นับจากนี้..แม้โครงการบวชจะจบไปแล้ว แต่ที่บ้านพวกหนูก็มีการสวดมนต์ทำวัตรและดู DMC กันทุกวัน และก็จะเปิดศูนย์ปฏิบัติธรรมบ้านกัลยาณมิตรเชนจ์เดอะเวิลด์สัปดาห์ละครั้งด้วยค่ะ”

 

บทสัมภาษณ์

 

ผอ.ยุทธนันท์ ยิ้มพูลทรัพย์
ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็ก
และเยาวชนเขต ๒ จ.ราชบุรี

    “ต้องทำความเข้าใจอย่างหนึ่งว่า เด็ก ๆ ที่นี่ ไม่มีใครเต็มใจอยากมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้เลย แต่พอเรารับเอาโครงการบวชอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อนเข้ามาให้เขาลองปฏิบัติดู ก็พบว่า เด็กเกิดการยอมรับ จนสุดท้ายผลก็คือ เขาเกิดการเปลี่ยนแปลงที่มาจากภายใน เข้าใจหลักคำสอนในศาสนาพุทธมากขึ้น เพราะสมาธิได้ไปบำบัดเยียวยาจิตใจของเขาให้ดีขึ้น จนเราพบว่าระหว่างที่มีการบวช เด็ก ๆ มีวินัยในตัวเองสูงมาก ไม่ฝืนกฎข้อบังคับอะไรของบ้านปรานีเลย ซึ่งการไม่ฝืนนี้ เกิดจากความเต็มใจอยากทำด้วยตัวพวกเขาเอง ดังนั้นจากผลดีจากตรงนี้ เราจึงขอสนับสนุนในการทำโครงการนี้ให้ยั่งยืนต่อไป”

 

อาจารย์เพ็ญศรี ศักดิวงศ์
นักวิชาการอบรม
และ ฝึกวิชาชีพชำนาญการ
หัวหน้าหน่วยหญิง บ้านปรานี

     “ก่อนจะตัดสินใจรับโครงการมาทำ ก็ได้ประชุมปรึกษากับเจ้าหน้าที่ทุกคนและเด็ก ๆ ว่า เราจะทำกันไหม สุดท้ายก็สรุปกันว่าทำ ซึ่งถ้าทำนั่นก็หมายถึงว่า เจ้าหน้าที่เต็มใจเสียสละเวลาที่นอกเหนือจากเวลาทำงานปกติ เพื่อมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ๆ ในภาคกลางวัน กลางคืนตลอดทั้ง ๑๔ วัน จากนั้น เราก็ถามเด็กว่า มีถือศีล ๕ กับศีล ๘ จะเลือกเอาศีลอะไร เขาบอกว่าเอาศีล ๘ ไปเลย ไหน ๆ ทำแล้วก็ทำให้ดีที่สุด และพอเด็กบวชเข้าวันที่ ๒ เขาก็มาบอกเราว่า จะหักดิบบุหรี่กันนะ ตอนนั้น..บอกตรง ๆ ว่า เราไม่เชื่อว่าพวกเขาจะทำกันได้ แถมคิดในใจต่อด้วยว่าจะรอดไหมเนี่ย แต่สุดท้าย..ลูกสาวทุกคนก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ๑๔ วัน เขาเลิกยาได้จริง ๆ และเขาก็ทำเซอร์ไพรซ์ โดยการนำยาเส้นมามอบให้เราเป็นของขวัญปีใหม่ด้วยตัวเขาเอง โดยที่ไม่ได้บังคับ ตรงนี้ถือว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะ ณ วันนี้เด็กเขารู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งไม่ดี แล้วเขาเลือกที่จะไม่ทำด้วยตัวเอง

        “สำหรับโครงการบวชอุบาสิกาแก้ว ก็อยากให้เยาวชนทุกคนได้ลองมาบวช ลองมาปฏิบัติดูก่อน เพราะเยาวชนทั่วไปมักจะพูดว่า เข้าวัดน่าเบื่อ นั่งสมาธิเซ็ง ไม่ได้ประโยชน์อะไร ไม่อยากให้ต่อต้าน ตั้งแต่เริ่มแรก อยากให้ลองทำดู แล้วจะรู้ว่า ความสุขที่แท้จริงมันคืออะไร เหมือนกับเด็ก ๆ ที่นี่ แรก ๆ บางคนก็แสดงอาการหงุดหงิดรำคาญ แต่พอบวชจนจบโครงการแล้ว เขากลับพบความสุข ความสบายใจ ต่างจากที่เขาเคยได้รับ และก็เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายใน ซึ่งจะยั่งยืน และถาวรมากกว่าการไปบังคับให้เขาทำอะไร โดยใช้อำนาจจากภายนอก ซึ่งหากเราลองมาสังเกตก็จะพบว่า.. ในหลายครอบครัวผู้ปกครองทุกคน ก็ต่างสอนลูกหลานของตัวเองกันทั้งนั้นว่า อันนี้บาป..อย่าทำ อันนี้บุญ..ต้องทำ แต่เขาจะเชื่อหรือยอมทำไหม..อันนี้อีกเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อเขามาบวช ได้ผ่านขั้นตอนการขัดเกลาโดยธรรมะ เขากลับสามารถเรียนรู้ สำนึกบาป บุญ คุณ โทษ และยอมทำด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง”

 

คุณเพ็ญศิริ มิตระวิจารณ์
นายกสโมสรซอนต้าราชบุรี

    “สโมสรซอนต้าทำงานร่วมกับสหประชาชาติ โดยเน้นเรื่องสตรีและเด็ก อีกทั้งโดยส่วนตัวแล้วก็ได้ทำงานเป็นผู้พิพากษาสมทบ พอเรามาเจอโครงการบวชอุบาสิกาแก้ว ก็รู้สึกว่าเป็นโครงการที่ดี มาก ๆ จึงเข้ามาสนับสนุน เพราะสามารถแก้ไข ป้องกันบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชน เพื่อไม่ให้เขากลับมากระทำผิดอีก เพราะตลอดระยะเวลาที่เด็กบวช เราก็เข้ามาดูติดตามความเป็นไปของเด็ก ๆ ตลอด แล้วก็เกิดความประทับใจว่า หลักศาสนาสามารถเปลี่ยนน้อง ๆ ให้เป็นสีขาวได้ พวกเขาดูสงบ อ่อนโยนขึ้น เราพบว่าการบวชสามารถแก้ไขปัญหาของเด็ก โดยเริ่มที่จิตใจก่อน เพื่อให้เด็กคิดดีทำดี รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก เพราะนี้คือหัวใจสำคัญที่สุดที่จะเปลี่ยนเขาให้เป็นคนดีกลับคืนสู่สังคม”

 

ผศ.วรลักษณ์ กลัดแก้ว
คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึง

    “พอโครงการนี้เข้ามา ก็ได้มารวบรวมข้อมูลว่า ผลที่เกิดจากโครงการนี้ เด็กเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เพื่อเก็บข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ศึกษา แล้วนำไปขยายผลต่อไป จากการทำตรงนี้ได้พบว่า เด็ก ๆ สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ จนเรารู้สึกปลื้มแทนเขา และรู้สึกยินดีกับโครงการนี้ ยินดีกับประเทศชาติ ที่มีคนดี ๆ เพิ่มมากขึ้น เพราะนอกจากเด็ก ๆ จะพบความสุขภายในจาก การปฏิบัติธรรมแล้ว เขายังอยากไปชักชวนคนสนิท ตลอดจน คนรอบข้างของเขาให้มาปฏิบัติธรรม โดยที่เราไม่ต้องบอก ไม่ต้องสอน และคุณธรรมหรือสิ่งดีงามที่เกิดขึ้นกับเขาตรงนี้ ก็จะทำให้พวกเขาอยู่ร่วมกันที่นี่อย่างมีความสุขขึ้น”

 

ครูไพลิน จันทะสิงห์ 
ตัวแทนครูและพี่เลี้ยงเด็ก ๆ

      “เนื่องจากท่าน ผอ. และหัวหน้าหน่วยหญิงที่นี่ ท่านเล็งเห็นถึงความสำคัญในการแก้ปัญหาของเยาวชนที่ต้นเหตุ คือ แก้ที่จิตใจ จึงเป็นเหตุให้เรารับเอาโครงการนี้เข้ามาทำ ซึ่งพอรับแล้ว ในเบื้องต้นคณะครูของที่นี่ก็ต้องเสียสละเวลาไปอบรมที่ จ.กาญจนบุรี เพื่อกลับมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ๆ แต่เราก็ยินดีและยอมเสียสละเวลาตรงนี้ เพื่อแลกกับสิ่งดี ๆ ที่เด็ก ๆ จะได้รับ เพราะเราอยากเห็นเขามีจิตสำนึกที่ดีขึ้น รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง แล้วสุดท้ายพวกเขาก็ทำให้เราภาคภูมิใจได้จริง ๆ คือ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จนเรารู้สึกว่า การบวชอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อนเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเด็ก ๆ เพื่อให้เขาพร้อมกลับไปสู่สังคมโลกภายนอก

      “และการอบรมครั้งนี้ โดยส่วนตัวแล้วเราก็ได้รับประโยชน์หลายอย่าง คือ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมชาวพุทธ รู้บทฝึกเด็กบางอย่างที่เราไม่เคยรู้ หรือยังรู้ไม่ถูกต้อง เพื่อเอามาปรับใช้จนเกิดผลดีและการเปลี่ยนแปลงกับเด็กต่อไป”

 




บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล