เรามาฟังฝันในฝันกัน หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะุ เอามาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากัน ฟังพอเพลินๆ ถ้ามีคติบ้างก็เอาติดขาติดแข้งเอาไว้ ไม่ต้องใส่บ่าแบกหามให้มันหนัีกนะจ๊ะ

                          เรื่องกุมารทอง ไม่ใช่เป็นการเล่าเรื่องผี และไม่ใช่เป็นการเล่าวรรณกรรมเรื่อง ขุนช้างขุนแผน แต่เป็นเรื่องกฎแห่งกรรมที่นำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ ที่เป็นไปตามการกระทำของตน และไม่น่าเชื่อแต่ก็เป็นความจริงว่า วิทยาศาสตร์ทางวัตถุกับวิทยาศาสตร์ทางใจจะเคียงคู่ไปด้วยกัน ในขณะที่โลกกำลังเจริญรุ่งเรืองด้วยเทคโนโลยี แต่วิทยาศาสตร์ทางใจก็ไม่ได้หายไปไหน และดูเหมือนว่ากำลังจะถูกบดบัง แต่ถึงอย่างไรก็บังไม่หมด ก็จะมีเคียงคู่กันไปอย่างนี้

                          กุมารทอง เป็นเรื่องที่น่าศึกษา เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นไปของชีวิตที่เกี่ยวข้องกับ กฎแห่งกรรม เป็นเรื่องของอดีตมนุษย์ในปรโลก ที่มีภพติดกับภพภูมิมนุษย์ ซ้อนกันอยู่อีกมิติหนึ่ง คือ อยู่ที่เดียวกับมนุษย์แต่ซ้อนกันอยู่ เหมือนกายมนุษย์ละเอียด ซ้อนอยู่ในกายมนุษย์หยาบอย่างนั้น

        
                  กุมารทองจะมีอายุยืนยาวกว่ามนุษย์ แต่สั้นกว่า อากาศเทวา สั้นกว่าชาวสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นต้น อายุจะอยู่ช่วงประมาณห้าร้อยถึงพันปีมนุษย์ เมื่อตายแล้ว อาจจะเกิดซ้ำอย่างเดิม หรืออาจจะอยู่ถึงอายุในภพภูมินั้น หรืออาจจะไม่ถึง เหมือนมนุษย์มีอายุเฉลี่ย ๗๕ ปี บางคนก็อยู่ถึง บางคนก็อยู่ไม่ถึง บางคนก็อยู่เกิน

 


วิบากกรรมที่ทำให้มาเกิดเป็นกุมารทอง

                      
   
ก่อนอื่นเรามาดูวิบากกรรมที่ทำให้เป็นกุมารทอง คือ กรรมที่บางคนเคยทำแท้งสมัยเป็นมนุษย์ ชาติก่อนที่จะเป็นกุมารทอง เมื่อ มาเกิดเป็นมนุษย์ เคยทำแท้งเอาไว้ จึงทำให้ตายในท้อง แบบตายท้องกลม ตายทั้งแม่และลูก เมื่อตายแล้วก็กลายเป็นผีเด็ก คือ ถ้าตาย ตอนเด็กก็เป็นผีเด็ก ตายตอนแก่เป็นผีแก่ ตายหนุ่มสาวก็ผีหนุ่มสาว และอีกวิบากกรรมหนึ่ง ตอนที่เป็นมนุษย์ชอบเรียนวิชาพวกนี้ด้วย ซึ่งก็เป็นภาพในอดีตชาติของตนครั้งยังเป็นมนุษย์ ที่ได้ไปผ่าท้องเอาเด็กออกมาทำตามขั้นตอนพิธีกรรม จึงทำให้ต้องมาเป็นกุมารทอง

                      
   ไม่ใช่ว่าจะนำมาทำกุมารทองได้หมดทุกคน ต้องมีวิบากกรรม ที่เคยทำเขาไว้ คือ วิบากกรรมทำแท้งจึงต้องมาตายในท้อง
ตายแล้วร่างก็ออกมาเป็นผีเด็ก แล้วก็เคยไปเรียนวิชาพวกนี้มาก่อน จึงมีคนที่เรียนวิชานี้ นำไปประกอบพิธีกรรมแบบที่ตัวเคยทำ แล้วก็เรียกวิญญาณของตัวมาเลี้ยงไว้ นำมาใช้งาน โดยมีวิทยาธรเจ้าของวิชากำกับด้วยมนต์

       
                  วิทยาธรที่เป็นเจ้าของวิชา คือ อดีตมนุษย์ที่ชอบเรียนวิชานี้ ตายแล้วก็ไปเป็นวิทยาธรอยู่ที่ป่าหิมพานต์ และจะรักษาวิชาสืบต่อกันมาอย่างนี้ ควบคู่กันไปกับเทคโนโลยี แต่ถ้าไม่มีกรรมด้านนี้ก็เรียกมาใช้งานไม่ได้

       
                  กุมารทองส่วนใหญ่ เป็นเด็กผมจุก นุ่งโจงกระเบน ไม่ใส่เสื้อ สวมสร้อยสังวาล ถูกเลี้ยงโดยผู้ที่มีวิชาไสยศาสตร์ วิชาที่เรียนนี้ ต้องใช้ศพคนตายท้องกลม คือ ตายทั้งแม่และลูก มีอยู่ ๒ ประเภท คือ ประเภทที่มีวิบากกรรมด้านนี้ จึงจะนำไปทำกุมารทองได้ และประเภทที่ไม่มีวิบากกรรมด้านนี้ ก็ไม่สามารถนำไปทำกุมารทองได้ ซึ่งถ้าไม่มีกรรมด้านนี้ทั้งแม่และลูกที่ตาย ก็จะไปเกิดตามกรรมของตน แต่ถ้ามีวิบากกรรมประเภทนี้ก็จะดึงดูด ให้ผู้ที่เรียนวิชาไสยเวทที่เป็นมนุษย์นำไปใช้งาน โดยมีอาจารย์วิทยาธรจะเป็นผู้กำกับ คอยแนะนำว่า ให้ไปเอาตรงนั้น ตรงนี้ ทำอย่างนั้น อย่างนี้


กำ
เนิดกุมารทอง

                         ทีนี้เราก็ย้อนมาดูเรื่องราวที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งเป็นเรื่องวิบากกรรมของทั้งแม่และลูก ที่ทำร่วมกัน คือ พอลูกตายในท้องแม่ที่มีกรรมชนิดนี้ อาจารย์วิทยาธรเขาจะไปบอก อาจารย์มนุษย์ที่เรียนไสยเวท ในสายกุมารทอง สายรักยม สายลูกกรอกประเภทนั้น เขาก็จะมาดูตามหลักวิชา ซึ่งจะไม่ลงรายละเอียด พอเขาผ่าท้องเอาเด็กที่อยู่ในท้องออกแล้วนำมาประกอบพิธีกรรม ส่วนศพของแม่ก็ใช้ด้วย เอาไปทำน้ำมันพราย จะใช้ไขมันตรงหน้าท้องไปเจียว แล้วก็มีมนต์กำกับ แล้วใส่อะไรต่างๆ ลงไป เพื่อจะผูกมัดเจ้าของร่างเอาไว้ ซึ่งจะบังคับแม่ลูกที่มีกรรมอย่างนี้ โดยร่วมมือกันระหว่างอาจารย์วิทยาธรกับอาจารย์ในเมืองมนุษย์ ตรงนี้เป็นความรู้วิทยาศาสตร์ทางใจ

      
                  ส่วนลูกที่อยู่ในท้องก็มาเป็นลูกกรอก จะมีชื่อเรียกต่างกัน ถ้าอยู่ในท้องเดี่ยวๆ เรียกว่า ลูกกรอก ถ้าอยู่ในท้องคู่เรียกรักยม เด็กโตขึ้นเรียกกุมารทอง เมื่อนำมาแรกๆ ก็โตไม่มากนัก จะต้องนำมาเลี้ยงต่อจนโตเป็นกุมารทอง

ารเลี้ยงดูกุมารทอง

      
                  การเลี้ยงกุมารทองในช่วงแรก โตด้วยมนต์ของอาจารย์วิทยาธรกับของอาจารย์ในเมือง มนุษย์ แต่จะอาศัยบุญของอาจารย์วิทยาธรที่ดูแลควบคุมวิชาพวกนี้เป็นหลัก จะใช้มนต์เลี้ยงจนกระทั่งโตเหมือนเด็กที่ถึงเวลาคลอดออกจากครรภ์มารดา ตอนนี้จึงจะให้ดื่มนม

      
                  การให้ดื่มนมมี ๒ ประเภท คือ อาศัยนมมารดากับนมจากวิทยาธร การดื่มนม มารดาก็เหมือนกับการดื่มนมของเด็กทั่วไป นมของวิทยาธรน้ำนมจะไหลออกจากปลายนิ้วมือของวิทยาธร เมื่อกุมารทองดูดน้ำนมก็จะไหลไปเรื่อยๆ ด้วยฤทธิ์ของวิทยาธร พออิ่มแล้ว น้ำนมก็หายไป จะสลับสับเปลี่ยนกันให้ดื่มนมจากแม่บ้าง จากวิทยาธรบ้าง

      
                  มารดาของกุมารทองอยู่ได้ด้วยบุญของอาจารย์วิทยาธร ท่านจะให้อาหารทิพย์ กายละเอียดพวกนี้จะมีความเป็นอยู่คล้ายๆ มนุษย์ คือ มีครอบครัว มีลูก มีอะไรสารพัด แม่ลูกอยู่ได้ด้วยบุญของวิทยาธรและมนต์ของวิทยาธรกำกับ

      
                  เด็กที่เป็นลูกกรอก รักยม กุมารทอง พวกนี้เมื่อเลี้ยงแล้วก็โตขึ้นเรื่อยๆ แต่ระยะเวลาในการเจริญเติบโตจะช้ากว่าในเมืองมนุษย์ ซึ่งจะมีอายุยาวกว่าของมนุษย์ กุมารทองบางตัวโตเร็ว บางตัวโตช้า เพราะวิบากกรรมไม่เท่ากัน ถ้าตัวไหน ใกล้หมดกรรมจะโตเร็วหรือไม่ก็ไปเกิดเลย ตัวไหนที่โตช้า และเป็นกุมารทองนาน แสดงว่ามีวิบากกรรมมาก

      
                  สัมภเวสีเด็กที่ถูกเลี้ยงให้เป็นกุมารทองจะมีนิสัยเหมือนเด็กมนุษย์
คือ ชอบเล่นและซุกซนเหมือนเด็กๆ แต่ถึงแม้จะซุกซนแค่ไหน แต่ก็อยู่ในสายตาของวิทยาธรตลอด เพราะเขามีตาทิพย์

รงเจ้าเข้าผีมาเป็นกุมารทอง

      
                  นอกจากนี้ยังมีกุมารทองอีกประเภทหนึ่ง เป็นพวกที่มีวิบากกรรมเคยทำแท้งในอดีต จึงถูกทำแท้งในชาติที่เกิดเป็นมนุษย์ ประกอบกับกรรมที่เคยนับถือทรงเจ้าเข้าผีมามาก ชอบเป็นชีวิตจิตใจ นับถือว่าเป็นสรณะ เมื่อตายแล้วอาจารย์วิทยาธรที่เป็นภุมมเทวา ก็ไปนำ ตัวมาเลี้ยง ผูกไว้ด้วยมนต์ ให้เป็นเด็กในความปกครอง แต่จะนำมาได้เฉพาะที่มีเชื้อสายทางนี้เท่านั้น ซึ่งจะมีอายตนะดึงดูดเป็นสายๆ ตามสายของอาจารย์วิทยาธรที่มีหลายสาย ที่ดูแลสิงๆ ทรงๆ ก็มี ดูแลกุมารทองก็มี เหมือนฝูงนกเข้าฝูงนก ฝูงปลาเข้าฝูงปลา ขี้เมา เข้าวงเหล้า ผู้มีบุญเข้าวงบุญ บางท่านก็มีเด็กอยู่ในความปกครองมาก บางท่านก็มีน้อย

     
                 ต่อมาอาจารย์เมืองมนุษย์ได้เรียนวิชานี้ ซึ่งจะมีอาจารย์วิทยาธรเป็นผู้คุมวิชา จะคอยผสมความศักดิ์สิทธิ์ ส่งฤทธิ์ ส่งเดช คอยประสานงานอาจารย์มนุษย์ ทำการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ขึ้นมา แล้วก็สร้างสื่อขึ้นมาด้วยวัสดุอะไรก็แล้วแต่ เป็นหิน เป็นดิน เป็นโลหะ ส่วนใหญ่ทำเป็นรูปตุ๊กตาเด็ก แล้วก็นำมาผูกด้วยมนต์กับภุมมเทวาเด็กในสายการปกครองของอาจารย์วิทยาธร ที่มีกรรมดังกล่าวดูดมา

     
                 คำว่า ผูก หมายความว่า ผูกพัน แต่พันด้วยมนต์จนกลายเป็นกุมารทอง แล้วก็นำมามอบให้กับลูกศิษย์ที่มาขอ และมีความเชื่อมั่นทางด้านนี้ อาจารย์ในเมืองมนุษย์จะบอกวิธีใช้งานว่า ใช้อย่างไร ทำอะไรได้บ้าง และจะเลี้ยงอย่างไร


วิธีการเลี้ยง และใช้งานกุมารทอง

                      วิธีการเลี้ยงกุมารทองก็เหมือนกับการ เลี้ยงเด็ก เลี้ยงลูก พูดง่ายๆ คือ เลี้ยงด้วยการ เซ่นไหว้ ให้กินผลไม้ ให้กินน้ำแดง กินขนม เขาจะกินของละเอียดที่ซ้อนกันอยู่ การใช้งานส่วนใหญ่จะมีวัตถุ ประสงค์เพื่อให้ช่วยเหลือด้านค้าขายบ้าง เฝ้าของ เฝ้าบ้านเป็นหลัก ให้ดูหวย หรือดูดวง เป็นเรื่องรองลงมา เช่น ให้เฝ้าของ เฝ้าบ้าน แม้เจ้าของบ้านไม่อยู่ ก็ทำให้เหมือนมีคนอยู่ในบ้าน จะมีเสียงเด็กวิ่งเล่น หรือบางทีก็แปลงกายเป็นสุนัขดำตัวใหญ่ก็ได้ หรือแปลงกาย เป็นอะไรก็ได้ แต่กุมารทองทำอย่างนี้ไม่ได้ทุกตัว บางตัวแปลงกายได้ บางตัวแปลงไม่ได้ แล้วแต่เชื้อมาก หรือเชื้อน้อย เหมือนกับเราสนใจอะไรมาก ก็จะมีตบะ มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นเป็นพิเศษ

     
                 ช่วยเรื่องการค้าขาย กุมารทองจะมีวิธี คือ จะเข้าไปดึงตัวบ้าง ฉุดมือบ้าง กระชากบ้าง แต่เจ้าตัวไม่รู้ตัว จะเหมือนเดินเข้าไปธรรมดา ไปดลใจบ้าง หรือไปกระซิบข้างหู ซึ่งคนที่ถูกกระซิบก็จะไม่ได้ยิน แต่จะเกิดความรู้สึก เอ๊ะ! อยากไปซื้อของร้านนี้ จริงๆ แล้วเรื่องการ ขายของดี หรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับบุญเก่าของเจ้าของ ที่สร้างทานมาพอดีกับจังหวะที่บุญส่งผลเป็นหลัก ซึ่งถ้าทานส่งผลช่วงนั้นจะทำอะไรก็ดีทั้งนั้น ส่วนกุมารทองเป็นเพียงส่วนเสริมนิดหน่อยเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็รวยทุกวัน บอกให้ช่วยขายที่ให้ได้ ขายนั่นให้ได้นะ ซื้อมา ขายไปพักเดียวก็รวยกว่าบิลเกตต์แล้ว ซึ่งจะขายดีอย่างนั้นทุกครั้งก็ไม่ใช่ จะได้เฉพาะ บางครั้งเท่านั้น

    
                 ที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านก็เช่นเดียวกัน อย่าลืมว่าบุญกรรมที่ทำมาเป็นหลัก แต่กุมารทองเป็นส่วนเสริมนิดหน่อย ขนาดบางทีกุมารทองเฝ้าบ้าน ขโมยยังขึ้นบ้านได้ แสดงว่าคนนั้นมีวิบากกรรมเคยไปลักขโมยของคนอื่น เพราะเป็นวิบากกรรมที่ติดมากับตัว เมื่อถึงเวลาส่งผล อะไรก็กันไม่อยู่

วิธีการติดต่อกับกุมารทอง

    
                 วิธีการติดต่อระหว่างผู้เลี้ยงกุมารทองกับกุมารทอง คือ บางทีกุมารทองก็จะมากระซิบข้างหู แต่ไม่เห็นตัว เพียงแต่มีความรู้สึก หรือบางทีถ้าจิตของใครที่อ่อนไหวง่าย กุมารทองก็จะสิงร่างของผู้นั้นได้ง่าย เด็กที่ถูกสิงบ่อยๆ ต้องเป็นเด็กที่มีเชื้อนับถือทางทรงเจ้า เข้าผีมาก่อนในอดีต ถ้าไม่มีเชื้อก็เข้าไม่ได้ พูดง่ายๆ คือ เป็นพวกเดียวกัน และบางทีที่สิงเด็กเล็กมากกว่าเด็กโต หรือเข้าสิงเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย เพราะจิตอ่อนไหวกว่า แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่แต่อ่อนไหวง่าย และมีเชื้อติดมาจากอดีตก็เข้าสิงง่าย

สังคมของกุมารทอง

    
                 เนื่องจากกุมารทองไม่ได้มีตนเดียว มีหลายตนหลายพวก เขาก็จะมีสังคมกุมารทอง เหมือนสังคมมนุษย์ มีการคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน แต่ไม่เหมือนเด็กในเมืองมนุษย์ กุมารทองจะคุยแลกเปลี่ยนวิชากัน ต้องเสกคาถา ร่ายมนตร์อย่างนี้ ว่าคาถาอย่างนี้ จะดลใจคนทำอย่างไร จะเปิดประตู เปิดทีวี ช่วยขายของจะทำอย่างไร ซึ่งมนต์ หรือคาถาเหล่านี้ เรียนมาจากวิทยาธรที่เรียกมาอบรม สอบบทที่ ๑ ทำอย่างนี้ ว่าคาถาอย่างไร อบรมอย่างนี้เรื่อยไป และก็พาไปฝึกงานตามที่ต่างๆ แล้วยังมีการชักชวนพวกพ้องที่เป็นกุมารทอง เหมือนกันบ้าง หรือไม่ได้เป็นกุมารทอง แต่ว่าตายตอนเด็ก ก็ชวนเข้าพวกก็มี

กุมารีทอง กุมารเทย กุมารีเทย

    
                 นอกจากกุมารทองแล้ว ยังมีกุมารีทอง กุมารเทย กุมารีเทย เพราะพวกที่ชอบ สิงๆ ทรงๆ มีทั้งหญิงและชาย และถ้ามีกรรมทางกาเมเสริม คือ นอกจากชอบทรงเจ้าเข้าผีแล้ว ยังผิดศีลข้อ ๓ มีนิสัยเจ้าชู้ด้วย ทำเสน่ห์ยาแฝดอย่างนี้ ก็จะเป็นกุมารเทย หรือกุมารีเทย

    
                 ส่วนกุมารีทองนั้นเป็นเด็กผู้หญิง แต่งตัวหลายแบบ แบบไทยก็มี คือนุ่งโจงกระเบน ใส่เสื้อ แต่กุมารทองไม่ใส่เสื้อ มีสร้อยสังวาลคาด แต่งตัวแบบจีนก็มี แบบปััจจุบันก็มี ไว้ผมจุกก็มี ไม่ไว้ผมจุกก็มี ซึ่งส่วนใหญ่เราคุ้นกับการไว้ผมจุก ตอนเด็กเป็นกุมารีทอง เมื่อโตเป็นสาว ก็จะแต่งตัวตามสังคม ชอบแข่งกันสวยคล้ายกับมนุษย์ เครื่องแต่งกาย ได้มาจากของเซ่นไหว้ ตามกระแสนิยมของมนุษย์แรงไปทางไหน แฟชั่นแบบใด บางตนตามกระแสของมนุษย์ บางตนก็ไม่ตามกระแส เพราะเขาเห็นมนุษย์ทำอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น เพราะพวกนี้ คือ อดีตมนุษย์ที่มีภพใกล้เคียงมนุษย์มาก และมองเห็นมนุษย์ด้วยตาละเอียดทุกวัน

างกวัก

    
                 มีคนสงสัยว่า กุมารีทองเมื่อโตขึ้นจะเป็นนางกวักหรือไม่ นางกวักมีทั้งจริงและไม่จริง เราจะมาพูดถึงเฉพาะที่มีจริง คือ อาจารย์วิทยาธรจะเอามนต์ผูกกับภุมมเทวาที่มีวิบากกรรม เกี่ยวกับสิงๆ ทรงๆ ไสยเวท หรือกุมารีทองที่ใช้มนต์ผูกกับรูปนางกวักก็มี แล้วแต่สายวิชา ซึ่งไม่เหมือนกัน นางกวัก ที่เราเห็นเป็นรูปปั้นทำเป็นรูปท้าวแขนและกวักมือ เป็นเพียงรูปปั้นที่สมมุติตามความนิยม ตามความต้องการ หรือเพื่อ ความสบายใจมั่นใจของผู้ใช้เท่านั้น อยากจะใช้แล้วเกิดความรู้สึกอย่างไร ก็ปั้นอย่างนั้น มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อเป็น สื่อกับอาจารย์วิทยาธรเท่านั้น อาจารย์วิทยาธรก็จะทำงาน ประสานงานกับอาจารย์มนุษย์ที่เป็นผู้ปั้นแล้วผูกมนต์ แล้ว จึงนำไปใช้งาน โดยมีอาจารย์วิทยาธรกำกับ ส่งฤทธิ์ ส่งเดช

ลูกกรอกสัตว์ และสัตว์ประหลาดต่าง ๆ

    
                 นอกจากกุมารทอง รักยม ผียายหม้อ ลูกกรอกคนแล้ว ยังมีการเลี้ยงลูกกรอกแมวอีก คือ แมวที่คลอด ออกมาแล้วตัวเล็ก ตายในท้องเหมือนมนุษย์ ซึ่งก็เป็นอดีตมนุษย์ โดยตั้งหิ้งให้อาหารเหมือนกัน แต่จะเก็บไว้ในห้องส่วนตัวของเจ้าของบ้าน นอกจากลูกกรอกแมวแล้ว ยังมีสัตว์ประเภทต่างๆ เช่น จิ้งจก ๒ หาง แมว ๒ หัว วัว ๕ ขา เป็นต้น ลูกกรอกแมว หรือลูกกรอกสัตว์อื่นๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น คือพวกนี้เป็นแค่สื่อเหมือนกัน แต่เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาเท่านั้น คือ จากมนุษย์เป็นสัตว์เดรัจฉาน
วิบากกรรมของสัตว์ประเภทนี้ คือ ก่อนมาเป็นสัตว์ก็เป็นอดีตมนุษย์ ชอบเล่นไสยเวทและมีกรรมปาณาติบาต มีกรรมทำแท้งเป็นต้น เมื่อพ้นจากมหานรกแล้ว ก็มาใช้กรรมเป็นสัตว์เดรัจฉาน เนื่องจากมีกรรมทำแท้ง จึงทำให้ตายในท้อง แม้เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยังตายในท้อง กรรมไสยเวทก็จะนำอาจารย์วิทยาธร ประสานกับอาจารย์มนุษย์มาผูกมนต์ ให้มา เป็นสัตว์เลี้ยงของกุมารทอง หรือของอาจารย์วิทยาธรเอง เพื่อประดับบารมีของอาจารย์วิทยาธร เหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงเอาไว้เล่นๆ อย่างนั้น

    
                 นอกจากนั้นยังมีกรรมของสัตว์ที่คลอดลูกออกมาเป็นสัตว์ประหลาด เช่น วัว ๕ ขา หมา ๒ หัว จิ้งจก ๒ หาง เป็นต้น ซึ่งก็มีกรรมประเภทปาณาติบาตกับวจีกรรมเป็นหลัก และมีกรรมอย่างอื่นเสริม เช่น ตอนเป็นมนุษย์ได้พูดเปรียบเปรยด่าว่าผู้หลักผู้ใหญ่บ้าง ผู้มีศีล มีธรรมบ้าง คนทั่วๆ ไปบ้าง ยกตัวอย่าง เช่น ไอ้นกสองหัว ไอ้ม้าสองหัว คือพูดเปรียบเปรยว่า คนนี้ไปเข้าข้างคนโน้น ทั้งๆ ที่เขาหวังดีช่วยไกล่เกลี่ยประนีประนอมไม่ให้ทะเลาะกัน ก็หา ว่าคนที่ไกล่เกลี่ยเป็นนกสองหัวบ้าง หมาสองหัวบ้าง หัวหนึ่งอยู่ทางนี้ หัวนี้อยู่อีกทางนู้น ทั้งๆ ที่เขาเจตนาดี อันนี้ก็เป็นวิบากทางวจีกรรม ยิ่งด่าว่าผู้มีศีลมีธรรม ยิ่งเป็นกรรมหนัก บวกกับกรรมปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ทำอาหารบ้าง หรือฆ่าสัตว์ขายบ้างเป็นหลัก แล้วก็ยังมีกรรมอย่างอื่นเสริม เช่น กรรมทำแท้ง คือ ทำเขาท้องแล้วก็ทำให้เขาแท้ง แล้วก็ทอดทิ้ง ไปอย่างนี้เป็นต้น เมื่อคลอดออกมาก็จะเป็นสัตว์ประหลาด หรือบางทีก็ใช้วจีกรรมว่าเป็น สัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาดอย่างนี้ก็จะถูกอาจารย์วิทยาธรประสานงานกับอาจารย์มนุษย์ นำมาผูกด้วยมนต์ เป็นสัตว์เลี้ยงเอาไว้เฝ้าของหรือสั่งงานให้ทำอะไรได้หลายอย่าง

    
                 มนุษย์ที่ไม่ทำทานบารมีมาแต่ปางก่อน ต้องการรวยอย่างกะทันหัน คือ เมื่อเกิดมาจน ตัวก็ไม่รู้จะทำงานอะไร ที่จะได้เงินมา จึงอยากเสี่ยง เพื่อที่จะรวยทางลัด ก็จะไปกราบไหว้ ขอหวยจากสัตว์ประหลาดเหล่านี้ พระไม่กราบ พ่อกับแม่ไม่กราบ ไปกราบปู่เต่า สุนัข ๒ หัว วัว ๕ ขา จิ้งจก ๒ หาง ปลาไหลทองบ้าง ไปกราบขอหวย ก็มีถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะผิดมากกว่า และถ้าหมกมุ่นมัวเมามากๆ ก็จะเป็นต้นแบบที่ไม่ดีให้แก่ลูกหลานสืบไป ตนเองก็จะมีเชื้อวิบัติติดไปอีกหลายชาติ ถ้าพลาดพลั้งไปเกิดเป็นอย่างนั้น ก็จะถูกเขาเรียกไปใช้แบบนั้นเหมือนกัน

    
                 สรุปแล้วจะเป็นอย่างนั้นได้ต้องมีกรรมเป็นหลัก มนต์เป็นแค่เครื่องเสริม ถ้าไม่มีกรรม อย่างนี้ก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นใครเล่นของพวกนี้ เลิกเถอะ ไปปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ ปล่อยนก ปล่อยกา ปล่อยปลาได้ บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะปลดปล่อยกุมารทองให้เป็นอิสระ

วิธีปลดปล่อยกุมารทอง

    
                 วิธีปลดปล่อยแรงงานเด็กกุมารทอง เพื่อไม่ให้มีเชื้อเวรกรรม ซึ่งเป็นเชื้อวิบัติติดตัวไปนั้น เชื้อวิบัติเป็นอย่างไร เชื้อวิบัติก็คือเชื้อที่จะทำให้ไปเจอพวกทรงเจ้าเข้าผี พอไปนับถืออย่างนั้นเข้า ก็จะห่างไกลจากพระรัตนตรัย จะไม่อยากทำความดีเพิ่มขึ้น ผู้ที่ปล่อยจะต้องหมดกรรมแล้ว คือจะไม่มีความรู้สึกผูกพันกับสิ่งนี้ เกิดความกลัวไม่อยากเอาไว้ เพราะมีแล้ว ก็มีโครมคราม ลูกหลานก็อยู่ไม่เป็นสุข แต่ไม่รู้จะเอาไปทำอย่างไร หรือบางทีได้รับต่อมาจากผู้ที่เคารพนับถือ ผู้เป็นที่รัก เป็นญาติบ้าง เป็นพรรคพวกกันบ้างก็เกรงใจรับสืบทอดกันมา เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

   
                 วิธีการปลดปล่อยจะต้องทำดังนี้ คือ ให้พูดดีๆ กับกุมารทอง เอารูปปั้นกุมารทองก็ดี รักยมก็ดี ลูกกรอกก็ดี ถ้าเป็นผู้ชายก็เรียกตัวเองว่าพ่อ ผู้หญิงเรียกตัวเองว่าแม่ สมมุติว่า เป็นผู้หญิงก็แล้วกัน แม่เห็นว่าลูกกุมารทอง ถึงเวลาจะหมดกรรมแล้ว ไปเกิดใหม่นะลูกนะ ไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่านี้ อย่าอยู่ในภพภูมินี้เลย เพราะรักหรอกจึงบอกลูก ทำอย่างนี้ก็จะทำให้ กุมารทองรักยมหรือลูกกรอกดีใจ เพราะการที่จะคลายความผูกพันกันได้จะต้องประกอบด้วย

   
                 ๑. ผู้ที่เลี้ยงหมดจากเชื้อวิบัติ เชื้อเวรกรรมนี้แล้ว
   
                 ๒. กุมารทองก็หมดจากกรรมนี้ด้วย

   
                 แล้วให้นำกุมารทองหรือรักยมหรือลูกกรอกไปฝัง โดยขุดหลุมโตพอประมาณ วางลงไป โปรยดอกไม้ของหอม ดอกไม้จะเป็นดอกอะไรก็ได้ แล้วก็พูดว่า สิ่งนี้คือซากของลูกที่ไม่ใช้แล้ว เหมือนซากศพที่ตายแล้ว สมควรที่จะขจัดซากนี้ให้สลายกลายไปเป็นซากดิน พ่อและแม่ก็จะกลบร่างนี้ เพื่อให้ลูกไปเกิดในภพภูมิที่ดี แต่ก่อนที่ลูกจะไป ให้ลูกรับศีล ๕ เหมือนพระให้ศีลอย่างนั้น ข้อหนึ่ง เว้นจากการฆ่าสัตว์ ข้อ ๒ เว้นจากการลักทรัพย์อย่างนี้ เป็นต้น กล่าวไป จนครบ ๕ ข้อ ลูกๆ รับศีล ๕ จากแม่นะ แล้วแม่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้

   
                 วันรุ่งขึ้นก็ไปใส่บาตร ถวายสังฆทาน แล้วก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ที่มีกรรมเวรทางนี้ เสร็จแล้วเราก็กลบอย่างดีเรียบร้อย เพราะถ้าเอาไว้ที่ต้นไม้ ใครเห็นเข้า เกิดมีรสนิยมทางด้านนี้ คว้าไปอีก ก็ไม่ดี รักต้องกลบ ทำแค่นี้แล้วกุมารทองก็จะพ้นจากสภาพนี้ ไปเป็น ภุมมเทวาอีกระดับหนึ่ง ที่พ้นจากการควบคุมของวิทยาธร หรือถ้าเราให้บุญไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นรุกขเทวดา หรือสามารถไปเป็นอากาศเทวาได้ ก็เหมือนเราทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้ หมู่ญาติของเราที่ละโลกแล้ว หรืออาจจะไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ และหลังจากนี้ให้ห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้

   
                 หลังจากนั้น ให้เราไปขอศีลจากพระ แล้วก็ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ แล้วก็ยึดถือตลอดไป เรียกว่า หันไปกันคนละด้านไปเลย ถ้าใครไปเจอแบบนี้ เราชวนให้เขาเลิก เราไม่เชื่อแต่เราก็ไม่ลบหลู่ เราชวนให้เขาพ้นจากเชื้อวิบัติและเชื้อเวรกรรมที่จะตามผูกพันไม่จบสิ้น

   
                 นอกจากวิธี รักต้องกลบแล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่ง รักต้องลอย คือ เราฝากแม่พระคงคาไว้ เวลาจะนำไปปล่อย ให้จัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้เรียบร้อย มีดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น เหมือนเราลอยอัฐิลอยอังคารอย่างนั้น และจะต้องพูดดีๆ กล่าวว่าเราไม่ได้ลบหลู่ดูหมิ่นท่าน แต่ว่าตอนนี้เรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จะขอคืนสิ่งนี้ให้กับครูผู้รักษาสิ่งเหล่านี้เอาไว้ ซึ่งเคยดูแลเรามาระยะหนึ่ง ขณะนี้หมดความจำเป็นแล้ว วิธีนี้ก็ทำลักษณะคล้ายกับการฝากแม่พระธรณีไว้

   
                 การปลดปล่อยกุมารทอง เมื่อเราหมดความจำเป็นที่จะต้องใช้แล้ว เพราะเรามาเข้าใจซาบซึ้งว่า พระรัตนตรัยเท่านั้นเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของชีวิต เราจึงได้สละสิ่งเหล่านี้ไป ไม่ได้ลบหลู่ดูแคลน เพราะฉะนั้นก็จะมี ๒ วิธี คือ ฝากแม่พระธรณีกับฝากแม่พระคงคา ซึ่งต้องทำให้ถูกหลักวิชา มีถ้อยคำดีๆ ต้องพูดไพเราะ เพราะระหว่างที่เรากำลังทำพิธี เจ้าของ วิชาเขายืนดูอยู่ว่าทำถูกหลักวิชาหรือไม่ ถ้าถูกหลักวิชาไม่มีปัญหา เพราะเมื่อไม่เรียนวิทยาศาสตร์ แต่จะเรียนภาษาอังกฤษหรือคณิตศาสตร์ก็ตกลง หมายความว่าเราก็วางวิชาหนึ่ง แล้วก็ต้องมาเรียนวิชาหนึ่งนั่นเอง

รู้ได้อย่างไรว่า...กุมารทองไปเกิดใหม่แล้ว

   
                 เราจะรู้ได้อย่างไรว่าปล่อยกุมารทองไปแล้ว ก็ให้สังเกตดูว่า ไม่ได้ยินเสียงเดิน เสียงวิ่งเล่นของเขา หรือเสียงที่เขามากระซิบข้างหู หรือมาเข้าฝัน หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เรารู้สึกได้ว่าเขาอยู่รอบตัว อีกทั้งสังเกตที่ใจของเราว่าไม่มีความผูกพันอาลัยอยู่เลย แถมใจชุ่มไปด้วยบุญกุศลและมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่แน่นแฟ้นในใจอย่างเดียว ก็สรุป ได้ว่าเขาถูกปลดปล่อยไปแล้ว

   
                 และถ้ามีคนเอามาให้อีกก็รับเอาไว้ เพื่อไม่ให้เขาเสียน้ำใจ แล้วก็เอาไปปลดปล่อยอีก แบบเดิม หรือเป็นกัลยาณมิตรให้กับบุคคลนั้น โดยแนะนำเรื่องราวที่ได้ยินมาจากฝันในฝันวิทยา ให้เขาได้รับทราบและเรียนรู้ ซึ่งถ้าเขามีบุญพอ เขาก็จะปลดปล่อยตัวเอง แบบเดียว กับที่เราได้ปล่อยเขาไปอย่างนั้น

พิธีอัญเชิญเครื่องรางของขลังออกจากบ้าน

   
                 นอกจากนี้ยังมีพิธีอัญเชิญเครื่องรางของขลังที่ไม่ใช่พระรัตนตรัยออกจากบ้าน ก็ทำ ไม่ยาก มี ๒ วิธี เช่นเดียวกัน คือ รักต้องฝัง ฝากพระแม่ธรณีไว้ โดยอาการนอบน้อมไม่ลบหลู่ และพูดดีๆ ว่า ขอฝากแม่พระธรณีดูแลสิ่งเหล่านี้ด้วย ขอบคุณสิ่งเหล่านี้ และเอ่ยชื่อ ของขลังเหล่านั้น เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ ที่ได้ช่วยดูแลในช่วงที่พระรัตนตรัยยังไม่บังเกิดขึ้นในใจ บัดนี้พระรัตนตรัยบังเกิดขึ้นในใจแล้ว ขออัญเชิญสิ่งเหล่านี้ได้กลับคืนกับครูบาอาจารย์ และขอฝากไว้กับแม่พระธรณี หรือวิธีรักต้องลอย ฝากแม่พระคงคาไว้ ก็ทำเช่นเดียวกัน เพราะ ต่อจากนี้ไป เราจะยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต บัดนี้เราจะทำพระนิพพานให้แจ้ง และแสวงบุญ จึงจำต้องอัญเชิญออกไป

าจารย์วิทยาธรที่รักษาวิชา...ได้รับประโยชน์อะไร
และมีผลเสียอย่างไร


   
                 จากการที่เล่าเรื่องกุมารทองมา เราทราบว่าการทำงานของอาจารย์ในเมืองมนุษย์จะมี วิทยาธรเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการประกอบพิธีกรรม ในการควบคุมดูแลกุมารทองที่อยู่ในความปกครองให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจารย์วิทยาธรเหล่านั้น จะได้รับประโยชน์จากพวกเดียวกันที่ชื่นชมว่า เจ๋ง เก่ง แน่ ที่มีคนมานับถือกุมารทองมาก ได้แค่นั้นอย่างเดียว นอกนั้น อาจารย์วิทยาธรก็ไม่ได้อะไร

   
                 สังคมวิทยาธรก็คล้ายเมืองมนุษย์ พอถึงวันเวลาเขาจะมาชุมนุมกัน แล้วก็คุยกันว่า วิชา ของท่านเป็นอย่างไร วิชาของคุณเป็นอย่างไร โอ..ของผมเหรอ ลูกศิษย์มากมายเลย มีคน มาขอไปใช้งานเยอะแยะ นางกวักก็มี กุมารทอง กุมารีทอง รักยม ลูกกรอกก็มาก ของผมแน่กว่า อย่างนั้น อย่างนี้ ก็เกทับกันไปทับกันมา พูดง่ายๆ คือ เอาไว้ประดับบารมี เหมือนเจ้าพ่อที่มีคน นับถือมากๆ เหมือนมนุษย์ ถ้าใครชมว่าเก่ง ก็เบิกบานยินดีเท่านี้เอง แต่อาจารย์วิทยาธรมีหลายประเภท ที่ชอบคำชื่นชมก็มาก และบางประเภทก็ได้บุญนิดหน่อยก็มี แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ บุญอะไร เพราะภพที่ทำบุญได้ คือ ภพมนุษย์

   
                 ที่ได้บุญ คือ อาจารย์วิทยาธรประเภทปู่ยา ที่ใช้ให้กุมารทองไปบอกยา ที่เราเคยได้ยินว่า ยาผีบอก ผู้ที่จะหมดกรรมแล้ว ซึ่งปู่ยาหรือปู่หมอ คือผู้ที่เคยเป็นหมอแผนโบราณที่มีเวทกำกับ ตายไปแล้วก็มักจะวนเวียนเป็นวิทยาธรประเภทนี้ แล้วก็สอนให้กุมารทองมาบอก หรือที่เป็น ภุมมเทวาด้วยกันก็มี

   
                 และถ้าอาจารย์วิทยาธรไม่ได้ใช้วิชาไปทำร้ายใคร เขาก็ยังไม่ไปตกนรก แต่ใจเขาจะยัง วนเวียนอยู่กับสิ่งนี้ในภพภูมิของภุมมเทวา ตั้งแต่พื้นมนุษย์ไปถึงป่าหิมพานต์ อาจารย์มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ก็จะมีเชื้อวนเวียนอยู่กับเรื่องพวกนี้ แล้วก็ห่างไกลจากพระรัตนตรัยไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตในสังสารวัฏของตนเอง ด้วยความหมกมุ่นมัวเมากับวิชาที่ไม่ได้ช่วยดับทุกข์หรือหมดกิเลส ก็จะเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะแล้ว ต้องตกอยู่ในกฎแห่งกรรม ซึ่งอาจพลาดพลั้งไปทำสิ่งไม่ดีในชาติใดชาติหนึ่ง ก็มีสิทธิ์ไปอบายภูมิได้ เพราะฉะนั้นก็ควรเลิก แล้วหันมายึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

ลเสียจากการเลี้ยงกุมารทอง

   
                 ส่วนคนที่เลี้ยงกุมารทองก็จะคิดว่า สิ่งเหล่านี้เป็นที่พึ่ง ความคิดจะวนเวียนอยู่แต่เรื่องกุมารทอง ใจมาผูกพันกับเรื่องทรงเจ้าเข้าผี มักจะไม่ค่อยคิดเรื่องการทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปความคิดที่จะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา หรือ ตั้งใจจะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวไม่มี เมื่อตายแล้ว มักจะวนเวียนอยู่กับพวกนี้ บางรายมาเป็นพวก ในเครือของวิทยาธรที่เกี่ยวกับเรื่องที่ตนสนใจ หรือไปเข้าสิง เข้าทรงอย่างที่ตนเคยทำ แต่ถ้าหาก ได้ทำบุญบ้าง ไม่ได้ทำบาปอะไรมากมาย อย่างมากก็ไปเป็นวิทยาธรอยู่ในป่าหิมพานต์ จะไม่ไปสูงกว่านี้ แล้วก็มีสิทธิ์ไปเกิดเป็นกุมารทองให้เขาใช้ และเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์มักจะเป็นร่างทรง คือมี ความรู้สึกชอบ จะมีคนชวน จะมีกระแสดึงดูดให้ไปเป็นร่างทรง พอไปเจอพวกร่างทรง ก็บอกว่า มีองค์อยู่ข้างใน ถ้าไม่ยอมให้เป็นร่างทรงก็จะป่วยไข้ ทนไม่ไหว ถ้าจะหายป่วยก็ต้องยอมให้องค์เข้า ทางภาคใต้มักจะเรียก ม้าทรง เพราะเวลามาทรงเหมือนกับต้องข่มขี่ คล้ายกับขี่ม้า ทีนี้ข่ม ร่างมนุษย์ เขาจึงเรียกว่า ม้าทรง

ตี่จู๋เอี๊ยะ และ ศาลพระภูม

   
                 นอกจากนี้ยังมีคำถามจากนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา เรื่องศาลพระภูมิ ตี่จู๋เอี๊ยะ และผีถ้วยแก้วว่ามีจริงหรือไม่

   
                 ศาลตี่จู๋เอี๊ยะ และศาลพระภูมิ บางคนตั้งตามประเพณี บางคนตั้งตามความเชื่อว่า มีผีบ้าน ผีเรือน บางคนเชื่อตามประเพณีว่ามี บางคนว่าไม่มี ส่วนที่มีก็จะเป็นภุมมเทวาหรือ พวกผีบ้าน ผีเรือน ส่วนใหญ่เป็นบรรพบุรุษหรือญาติของครอบครัวนั้นที่ยังไม่ไปเกิด วนเวียนอยู่ในบ้าน เพราะฉะนั้นบางศาลที่ตั้งไว้ก็ไม่มีพวกนี้อยู่ บางศาลก็ตั้งไปตามธรรมเนียม ไม่ตั้งเดี๋ยวโดนตำหนิ บางศาลก็ตั้งเผื่อเหนียว เพราะไม่มั่นใจว่ามีหรือไม่

                    บ้าน ผีเรือน ก็เป็นภุมมเทวาประเภทหนึ่ง แต่ว่าชั้นล่าง ท่านไม่ได้อยู่ที่ตี่จู๋เอี๊ยะและศาลพระภูมิ ทั้งสองสิ่งนี้เป็นเพียงแค่สื่อเชื่อมถึงท่านเท่านั้น เพราะภพภูมิเขาอยู่ซ้อนกับมนุษย์ บางทีเขาก็นั่งหรือนอนอยู่กับเรา ถ้ามีบุญขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่ง ก็จะมีห้องเป็นส่วนตัวของเขา อยู่ในมุมหนึ่ง ของบ้าน ถ้าบ้านพัง หรือรื้อบ้าน ก็ต้องย้ายเพราะหมดบุญ หรือบางทีก็อยู่ตรงนั้น

                    ดังนั้น จะตั้งศาลพระภูมิหรือไม่ตั้งก็ไม่แตกต่างกัน เพราะผีบ้าน ผีเรือนไม่ได้อยู่ที่ศาลพระภูมิ หรือที่ตี่จู๋เอี๊ยะ แต่อยู่ในวิมานของตน ครูไม่ใหญ่เห็นว่า ไม่ควรตั้ง เพราะจะได้มีที่โล่งๆ และไม่เป็นที่หวาดกลัวของลูกหลาน ว่าเห็นนั่นเห็นนี่ หรือเป็นเครื่องกังวลว่าจะปฏิบัติถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องก็กลัวจะมีโทษ เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ใจได้ เพราะฉะนั้นที่จะติดต่อกับผีบ้าน ผีเรือนที่เป็นบรรพบุรุษ ก็ให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ซึ่งก็จะเป็นที่พึงพอใจของท่านเหล่านั้น

                    ส่วนท่านที่ตั้งไปแล้วก็อัญเชิญออกไป โดยการใช้คำพูดที่ไพเราะว่า สถานที่เหล่านี้ไม่เหมาะสมกับบารมีของท่าน ให้ไปอยู่ที่วิมานดีๆ ที่สวยงามกว่านี้ แล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ พูดเสร็จก็อัญเชิญออกไปเลย จะได้ไม่เป็นภาระ พูดง่ายๆ ก็คือ รักต้องรื้อ


ผีถ้วยแก้ว

                    เรื่องผีถ้วยแก้ว มี ๒ ประเภท คือ มีไม่จริง และมีจริง จะขอกล่าวเฉพาะที่มีจริง ซึ่งมักจะเป็นผี พวกสัมภเวสีที่ร่อนเร่พเนจร อดอยาก หรือภุมมเทวาระดับล่างที่อยู่บริเวณนั้น มีนิสัยขี้เล่น ก็จะมาอยู่ข้างๆ แล้วก็ใช้มือของตนช่วยดันถ้วย คือจะเอามือมาซ้อนกันแล้วดัน หรือนั่งยองๆ คร่อมแผ่นกระดาษที่มีตัวอักษร แล้วก็ใช้มือขยับไปตามที่มนุษย์ถาม ซึ่งก็ถูกบ้าง ผิดบ้าง แล้วแต่ผีที่มาเล่น ถ้าเป็นภุมมเทวาบางตนที่มีอายุมาก อย่าลืมว่าเขาอายุ ๕๐๐ ถึง ๑,๐๐๐ ปีมนุษย์ เพราะฉะนั้นอายุเขาจะยืน ซึ่งรู้จักประวัติของผู้เล่นได้ดีเพราะมีตาทิพย์ และมีพรรคพวกมาก บ้างก็แวบไปถามเพื่อน แล้วแวบมา แต่ถ้าบางตนอายุน้อยหน่อย ไม่รู้จักประวัติผู้เล่น พวกนี้ก็ทายมักจะทายผิด สรุปแล้วก็คือ ผิดมากกว่าถูก ถ้าถามเรื่องพื้นๆ จะตอบได้ แต่ถามเรื่องอนาคตตอบไม่ถูก

                  
  การเล่นพวกนี้จะมีข้อเสีย คือ จะมีความผูกพันหมกมุ่น จะมีเชื้อติดไปในภพเบื้องหน้า ห่างไกลจากพระรัตนตรัย อย่างนี้ไม่ควรเล่น

ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง

                  
  เราเกิดมาทำพระนิพพานให้แจ้งและแสวงบุญ ต้องให้รู้หลักตรงนี้ให้ดี จับหลักให้ได้ จับหลัก ตรงนี้ได้ก็เอาตัวรอดและปลอดภัยได้ ถ้าจับหลักตรงนี้ไม่ได้ก็เอาตัวไม่รอดแล้วก็ไม่ปลอดภัยในชีวิตด้วย เราเป็นชาวพุทธจะต้องรู้ว่า อะไรเป็นสรณะ ถ้าไม่รู้สิ่งที่ถูก เราก็ไม่รู้สิ่งที่ผิด สิ่งที่ถูก คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก มีทุกข์เราก็พึ่งท่านได้ มีสุขก็ไปหาท่านได้ และควรนึกถึงท่านบ่อยๆ นึกถึงท่านแล้วก็ปลื้ม มีทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกก็หมายถึงพระพุทธเจ้า หรือพุทธปฏิมากร พระธรรมก็พระคัมภีร์ทั้งหลายที่อยู่ในตู้พระไตรปิฎก พระสงฆ์ก็ที่เราเห็นกัน

                  
  ส่วนพระรัตนตรัยภายในนั้น ได้แก่พระธรรมกายในตัว เป็นพุทธรัตนะ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย คือธรรมรัตนะ และพระธรรมกายละเอียด คือ สังฆรัตนะ ๓ อย่าง อยู่ร่วมกัน แต่คนละอันกัน เหมือนเพชรที่มีทั้งแวว ทั้งสี ทั้งเนื้อ

                  
  ถ้าเรารู้ว่าที่พึ่งที่ระลึกมีอยู่แค่นี้ ก็แปลว่าแค่นี้ ถ้าเกินกว่านี้ไม่ใช่ เช่น ปู่เต่า แมว ๒ หัว จิ้งจก ๒ หาง วัว ๕ ขา อย่างนี้ หรือรูปแกะสลักด้วยไม้ ด้วยวัสดุอะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ ที่แตกต่าง จากพระรัตนตรัยแล้วก็ไม่ใช่

 

ทส่งท้าย บ๊ายบาย...กุมารทอง

                  
  เรื่องกุมารทอง และเรื่องต่างๆ ที่กล่าวมานั้น ล้วนเป็นสิ่งที่น่าศึกษา เพราะเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรม เราอย่าลืมว่า กายละเอียดเหล่านี้เคยเป็นอดีตมนุษย์ แต่เป็นอดีตมนุษย์ที่ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก แต่ว่าชีวิตมีทุกข์ เมื่อมีทุกข์ก็ต้องหาที่พึ่ง เหมือนว่ายน้ำอยู่ในทะเล จะจมน้ำ หมดเรี่ยวแรง มีซากศพลอยมาก็ต้องเกาะ จะมีอะไรผ่านหน้ามาก็ต้องคว้าเกาะไปก่อน เพื่อให้ตัวไม่จมน้ำ แต่ถ้าแพลอยมาหรือเรือลอยมา ผู้ฉลาดต้องปล่อยซากศพแล้วก็ขึ้นแพขึ้นเรือกันไป คือ ยามใดที่ยังไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จะไปยึดถือสิ่งเหล่านี้ที่ไม่เป็นที่พึ่งไปก่อน แต่ยามใดที่มีพระรัตนตรัยบังเกิดขึ้นแล้ว ก็ควรจะทิ้งสิ่งเหล่านั้น หันมายึดถือพระรัตนตรัย เพราะสิ่งที่ไม่ใช่ที่พึ่งที่ระลึกอย่างแท้จริง ก็จะมีปัญหาอยู่ในตัว พูดง่ายๆ ว่ามันมีโทษอยู่ในตัวด้วย ซึ่งโทษที่เกิด ตัวก็ไม่เข้าใจเพราะขาดแคลนความรู้ตรงนี้ มีแต่ศรัทธาอย่างเดียวแต่ว่าขาดดวงปัญญา

                  
  โทษที่ตัวไม่เข้าใจ ตัวก็เลยยึดถือกันไป แต่ยุคนี้พระรัตนตรัยยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นถึงเวลา ที่เราจะต้องทิ้งซากศพแล้วก็ขึ้นแพ ขึ้นเรือกัน เราจะได้หอบหิ้วกันไปถึงฝั่งพระนิพพานกันได้ พ้นจากวัฏฏะกันได้ นี่ก็เป็นสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้จากการศึกษาเรื่องราวของกุมารทอง เราก็จะได้ ข้อคิดกันอย่างนี้

ทำกรรมใช้ไสยเวท
เลยมาเป็นเหตุให้ใจเศร้าหมอง
บาปกรรมตามมาสนอง
ต้องตายในท้อง เมื่อตอนเล็กๆ ถูกเขาใช้แรงงานเด็ก
ตั้งแต่เล็กๆ เป็นกุมารทอง