ณ ดินแดนอันแสนทุรกันดาร ที่แม้แต่การประกอบกสิกรรมใดๆ แทบจะไม่ได้ผล เนื่องจากดินเปรี้ยว หนทางที่จะติดต่อกับตัวเมือง ต้องอาศัยการเดินเท้ากว่า ๒ วัน หรือโดยสารทางเรือ ในแม่น้ำที่มี จระเข้อาศัยอยู่ เป็นสถานที่ที่ใครๆ ไม่คิดอยากมาอยู่อาศัย

             แต่ ณ ที่แห่งนี้ กลับมีพุทธบุตร ผู้เปี่ยมล้น
ด้วยขันติธรรม และเมตตาธรรม อุทิศตนอาสา มาพัฒนาวัดร้างให้ กลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง ท่านมีนามว่า พระครูพิศิษฏ์กิจจาธร เจ้าอาวาส วัดเตยน้อย เจ้าคณะตำบล บางลูกเสือ จังหวัดนครนายก หลวงพ่อท่าน ได้เข้ามา ศึกษาคำสอน ของพระพุทธศาสนา ในเพศสมณะรวมแล้วขณะนี้ย่าง ๔๙ พรรษา

             คุณลุงสายศักดิ์ สิทธิธรรม ไวยาวัจกรวัด เล่าให้ฟังว่า " วัดแห่งนี้ก่อนปี พ.ศ.๒๕๐๒ มีสภาพ เป็นที่รกร้างว่างเปล่าปกคลุมด้วยป่ารกชัฏ ทั้งยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าที่ดุร้าย ไม่มีถนนหนทาง ไฟฟ้าก็ไม่มี หมู่บ้านแถวนี้ลำบากมากๆ การปลูกพืชไม่ได้ผลเพราะดินเปรี้ยว ข้าวก็ปลูกไม่ขึ้น ถึงเวลาหน้าน้ำน้ำก็ท่วม ถึงเวลาหน้าแล้งก็แล้งสุดๆ ดินก็อุ้มน้ำไม่อยู่ มีการสำรวจดินพบว่า ดินบริเวณนี้เป็นดิน ที่เลวที่สุดในประเทศไทย ใครที่มาทำมาหากินเขาก็หนีกันหมด เพราะที่มันดอน ทำนาก็ไม่ได ้"

             หลวงพ่อเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า "เมื่อก่อนเป็น ที่อาศัยของสัตว์ใหญ่ สัตว์ร้ายหลายชนิด เช่น ช้าง เสือป่า งูเห่า ตอน ๓ ทุ่มก็ได้ยินเสียงร้องแล้ว อาตมาก็หวาดเสียวเหมือนกัน"

            คุณยายสุด สมบูรณ์ หลานผู้ถวายที่ดินให้วัด เล่าว่า " ตอนแรกวัดนี้ร้าง ไม่มีพระ และมีศาลาหลังเดียว โบสถ์ อาคารต่างๆ ก็ไม่มี หลวงพ่อรูปนี้บวชได้พรรษาเดียว ก็มาสร้างทันที ท่านทำของท่านมาเรื่อย พระก็มาอยู่พรรษามากขึ้น "



             เนื่องจากวัดและชุมชน แห่งนี้ตั้งอยู่ ในพื้นที่ปลายสุดของ จังหวัดนครนายก ดังนั้นการคมนาคม เป็นไปด้วยความลำบาก โดยทางบกนั้นต้องอาศัยคันคูน้ำ ของชลประทานเป็นถนน ซึ่งแทบจะทุกปีที่พื้นที่แห่งนี้ ประสบภาวะน้ำท่วมและสะพาน ที่อาศัยข้ามแม่น้ำนครนายก นั้นเป็นสะพานไม้ ทำให้ประชาชนในพื้นที่ลำบากมาก แต่ด้วยความเมตตา ของหลวงพ่อท่าน จึงเดินทางไปติดต่อ หน่วยราชการหลายๆ ครั้งให้มาช่วยเหลือชาวบ้าน

             พระเดชพระคุณพระวิสุทธิโสภณ เจ้าคณะจังหวัดนครนายก ได้กล่าวถึงหลวงพ่อวัดเตยน้อยแห่งนี้ว่า " เมื่อก่อนวัดนี้เป็นที่ทุรกันดารมากของจังหวัด แต่ท่านสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มาได้ พัฒนาวัด ทำถนนหนทาง ทำสะพานข้ามแม่น้ำนครนายก และทำเขื่อนหน้าวัด ป้องกันไม่ให้ดินหน้าวัดพังทลายได้ดีมาก "

             คุณสุรเดช โท้ประยูร สมาชิกสภาจังหวัดนครนายก เล่าให้ฟังว่า " ถนนเข้าหมู่บ้าน หลวงพ่อท่านเป็นพระรูปแรกที่ทำให้เกิดขึ้น ถนนตรงนี้ท่านคุมงานเองเลยนะเพราะมันมีปัญหามาก สถานีอนามัย สถานีตำรวจ สะพาน ท่านก็หามาให้ ท่านบริจาคที่ดินส่วนตัว ให้สร้างสำนักงานองค์ การบริหารส่วนตำบล และดำเนินการติดต่อไฟฟ้าให้กับชุมชนในแถบนี้ ท่ามกลางกระแสของ การช่วงชิงผลประโยชน์ ความตั้งใจของท่านนั้นมีให้ต่อส่วนรวม ผมถือว่าน้อยคนนัก ที่มีความตั้งใจ และเสียสละอย่างนี้ ชาวบ้านแถวนี้มีขวัญกำลังใจขึ้นมากๆ ท่านช่วยเหลือให้ มีความสะดวก ครอบคลุมไปถึง ๑๑ หมู่บ้าน"

             พื้นที่ของวัดแห่งนี้ตั้ง อยู่ท่ามกลางชุมชน พี่น้อง ๓ ศาสนิก คือ ฝั่งด้านซ้าย เป็นที่อยู่อาศัย ของพี่น้องที่นับ ถือศาสนาคริสต์ ส่วนฝั่งด้านขวา นับถือศาสนาอิสลาม ชาวพุทธอยู่ตรงกลาง แม้จะต่างกัน ที่ความเชื่อ แต่วัดแห่งนี้โดย การนำของหลวงพ่อ ท่านเป็นที่ยอมรับ และเป็นที่พึ่ง ให้แก่ญาติโยม ทุกศาสนิก ด้วยอาศัยธรรมะ แห่งองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

             "ตอนที่มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ตอนนั้น บวชได้ประมาณ ๑ พรรษา ก็มาสร้างมาพัฒนา วัดนี้เลยมีการขู่ฆ่า ทำร้ายต่างๆ นานาจากผู้มีอิทธิพลศาสนิกอื่น เขาต้องการขับไล่ให้ออกไปจากพื้นที่ พระรูปใดมาอยู่ที่นี่ ก็มักอยู่ไม่ได้นาน วัดจึงร้างไป เวลาฉันภัตตาหารก็ต้องระมัดระวังมาก เพราะช่วงนั้นมีการวางยาบ่อยมาก อาตมาต้องอดทนมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาตมาก็ได้แสดงออกถึง ความตั้งใจจริงในการมาบวช ทำงานพระศาสนา ศาสนิกอื่นๆ ก็เริ่มยอมรับและอยู่ร่วมกันได้ ตอนนี้เมื่อเขามีอะไร ไม่สบายใจ สบายกาย ก็มาพึ่งพา อย่างถูกงูกัดเขาก็มาให้อาตมาช่วยเหลือ ดึกดื่นเที่ยงคืน เขาก็มาให้ช่วย ให้เขารอดปลอดภัย เราช่วยเอาบุญไม่หวังเอาคุณ บางคนมาบอกอาตมาว่า ตัวเขาโดนคนที่ไม่เข้าใจ ห้ามไม่ให้มาคบกับพระ เขาก็ตอบไปว่า หลวงพ่อท่านไม่ดี ตรงไหน ท่านช่วยสร้างโน่นสร้างนี่ให้พวกเรา ท่านทำดีทุกอย่าง ดึกๆ ดื่นๆ ท่านก็ยังทำงานคุมงานก่อสร้าง และศาสนาพุทธสอนให้รู้แจ้ง เห็นจริง เขาว่าอย่างนั้น เขาดูเหมือนสับสน ว่าเขาควรทำอย่างไรดี "

             อาจารย์ประชุม เสน่หา ผู้อำนวยการโรงเรียนคลอง ๒๔ ได้กล่าวถึงหลวงพ่อว่า "ท่านมีแต่การให้ ให้ทุกศาสนา ที่มาหาท่าน ท่านช่วยทั้งนั้น โรงเรียนท่านก็ช่วยสร้างให้ ช่วยอบรม ศีลธรรมให้นักเรียน อาหารกลางวันท่าน ก็ให้การสนับสนุนมาตลอด ท่านมีเมตตามากๆ"พร้อมๆ ไปกับการพัฒนาวัด พัฒนาพื้นที่ หลวงพ่อท่านให้ความสำคัญ กับการพัฒนาบุคคล นอกเหนือจากการจัดตั้งโรงเรียน และให้การอบรมนักเรียนแล้ว ท่านยังจัดอบรม ส่งเสริมการศึกษาพระธรรมแก่พระภิกษุ สามเณร จนกระทั่งวัดแห่งนี้มี ผลการสอบที่ดีมาก ของอำเภอองครักษ์ ในจังหวัดนครนายก

             หลวงพ่อท่านเป็นพระสงฆ์อีกรูปหนึ่ง ที่ติดตาม ชมจานดาวธรรม ช่อง DMC มาตลอด
ท่านได้ปรารภเรื่องนี้ว่า "น่าภูมิใจที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย วัดพระธรรมกาย ท่านได้สร้างวัด และสร้างสื่อ ที่ดีนี้อยู่ในเมืองไทย อยู่ในบ้านในเมืองของเราให้ผู้คนได้พบเห็นแสงสว่าง ได้ปฏิบัติธรรม คนไม่ดี คนติดยาเสพติดต่างๆ ก็เลิกได้ เกิดคนดีขึ้นมากมายเป็นล้านๆ คน ท่านทำไว้เพื่อประเทศชาติ และศาสนา นับว่าได้ช่วยแบ่งเบา ภาระของรัฐบาลไม่ใช่น้อยเลย เวลาอาตมาไปวัดพระธรรมกาย ก็จะเอาพระไปทั้งหมด มีเท่าไรก็ชวนกันไป ส่วนญาติโยมก็นั่งรถบัสไปด้วย เพื่อให้มีโอกาสได้ศึกษาสิ่งดีๆ เหล่านี้ ก็ขออนุโมทนากับ พระเดชพระคุณ หลวงพ่อธัมมชโยด้วย ขอให้ท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง เป็นที่พึ่งพา เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรทางจิตใจ ของปวงชนทั้งหลายสืบต่อไป"

             แม้จะได้รับมอบหมาย ให้มาอยู่ในพื้นที่ ที่แสนทุรกันดาร รอบล้อมด้วย พี่น้องผองไทย
ที่มีความเชื่อ ที่หลากหลาย ต้องพานพบอุปสรรคนานัปการ แต่ด้วยความหยัดสู้ ทุ่มเทชีวิตจิตใจของ พระแท้รูปนี้ จึงสามารถพลิกฟื้นวัดที่เคย ร้างให้กลับมารุ่งเรือง เป็นแหล่งเนื้อนาบุญ ของพุทธบริษัท ๔ ได้อีกครั้ง ขอกราบอนุโมทนาบุญกับ พระครูพิศิษฏ์กิจจาธร ที่ท่านได้หยัดสู้ ทำหน้าที่พุทธบุตร อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เป็นขวัญกำลังใจ ของพุทธบริษัท ๔

             ภาพของพุทธบุตรที่หยัดสู้ ยอยกพระพุทธศาสนาให้สูงเด่น พร้อมอุทิศตนโดย เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ภาพที่งดงามเช่นนี้ จะเกิดเป็นแรงบันดาลใจอันสำคัญที่ทำให้พุทธบริษัท ๔ ที่ได้พบเห็นมาช่วยกัน ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ไม่ให้มีวัดร้างหลงเหลืออยู่เลยในยุคนี้ และยุคต่อๆ ไป สมดังคำของ พระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หลวงพ่อธัมมชโย ที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า "พุทธบริษัท ๔ ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนดวงตะวันที่มีดวงเดียว"



www.kalyanamitra.org