โ ด ย     ธ ร ร ม ทั ศ น

เรื่องเล่าจากพระไตรปิฏก
เปรตขอส่วนบุญ

      เปรตขอส่วนบุญ ในชีวิตของมนุษย์ทุกๆ คน ตราบใดที่ยังไม่หมดสิ้นอาสวะกิเลส ตราบนั้นก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดกันรํ่าไป การเวียนตายเวียนเกิดในสังสารวัฏ จำเป็นจะต้องมีเสบียงคือ บุญ คอยสนับสนุน ยังอัตภาพให้เป็นไป จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางของชีวิต เสบียงคือบุญนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมวลมนุษย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ในติโรกุฑฑสูตรว่า "น้ำตกลงบนที่ดอน ย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด ทานที่ทายกให้ไปจากมนุษย์โลกนี้ ย่อมสำเร็จผลแก่ฝูงเปรตฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลเมื่อระลึกถึงกิจที่ท่านทำมาแต่ก่อน ว่าท่านได้ทำกิจแก่เรา ได้ให้แก่เรา ได้เป็นญาติมิตรเป็นเพื่อนของเรา จึงควรให้ทักษิณาแก่เปรตเหล่านั้น"
      เปตติวิสัย คือภูมิของเปรต เป็นภพภูมิของสัตว์ที่ห่างไกลจากความสุข ถือเป็นอบายภูมิของผู้ที่ทำบาปอกุศลเอาไว้มาก ภูมิของเปรตก็มีหลายจำพวก เหมือนอย่างมนุษย์เราก็มีเพศภาวะ มีตระกูล ฐานะความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันออกไป เปรตบางจำพวกกลางคืนเป็นเทวดาเสวยสุข กลางวันเป็นเปรตก็มี ต้องเสวยทุกข์กินนํ้าเลือดนํ้าเหลืองของตัวเองก็มี แต่ส่วนใหญ่แล้ว มักจะเสวยวิบากกรรมอย่างเดียว มีเปรตอยู่ชนิดหนึ่ง ที่รับส่วนบุญส่วนกุศลที่อุทิศไปให้ได้ ท่านเรียกว่า ปรทัตตูปชีวีเปรต มีบาปอกุศลเบาบางกว่าเปรตชนิดอื่น เมื่อมีผู้ตั้งใจทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แล้วอนุโมทนา ผลบุญก็จะบังเกิดขึ้นทันที เหมือนเรื่องที่เกิดมาแล้ว

แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
      ในคืนวันหนึ่ง ขณะที่พระสารีบุตรผู้เลิศด้วยปัญญา อัครสาวก เบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังเดินจงกรมทำความเพียรอยู่ ทันใดนั้น ก็มีบุคคลผู้หนึ่งปรากฎขึ้นเบื้องหน้าท่าน ยืนนิ่งอยู่ท้ายที่จงกรม ท่านได้หยุด พิจารณาดูแล้วจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจว่า
      "เธอเป็นผู้เปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอมมีแต่ซี่โครง ท่านเป็นใครเล่ามายืนอยู่ในที่นี้ หญิงนั้นตอบว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า ดิฉันเป็นเปรต เข้าถึงทุคติเกิดในยมโลก เพราะได้ทำกรรมอันชั่วไว้ พระเถระได้ไต่ถามถึงสาเหตุที่นางมาเกิดเป็นเปรต นางเปรตนั้นก็เล่าให้ฟังว่า
ผลของมิจฉาทิฏฐิผู้ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ในอดีตกาล

      นับถอยไปจากนี้ ๕๐๐ ปี ดิฉันได้เกิดเป็นหญิง ในแคว้นมคธ เป็นคนมิจฉาทิฎฐิไม่เชื่อเรื่องบาปบุญ จึงได้ฆ่าตั๊กแตนเป็นจำนวนมาก เมื่อตายแล้วบังเกิดเป็นเปรต ต้องทนทุกข์ทรมานอดอยากหิวโหยไม่ได้กินอะไรเลยอยู่อย่างนี้ถึง ๕๐๐ ปี ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงประกาศพระธรรมและประทับอยู่ในวัดเวฬุวันเมืองราชคฤห์ ดิฉันจึงได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ในหมู่บ้านเดิมเมื่อชาติก่อน ในเวลาที่ดิฉันมีอายุได้ ๗-๘ ขวบ กำลังเล่นกับพวกเด็กหญิงอื่นๆ อยู่นั้น พระคุณเจ้าสารีบุตรเถระพร้อมด้วยพระภิกษุ ๑๒ รูป เดินผ่านมาทางนั้นพอดี เด็กหญิงคนอื่นๆ เป็นลูกของคนมีศรัทธา พอเห็นท่านเท่านั้นก็มีจิตเลื่อมใส พากันรีบวิ่งเข้ามากราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ตามที่เห็นมารดาบิดาของตนปฏิบัติ ส่วนดิฉัน เนื่องจากเกิดในตระกูลที่ไม่มีศรัทธา เพราะไม่ได้สั่งสมกุศลไว้ จึงยืนเฉยอยู่เหมือนคนไม่มีโชค แม้ถูกบังคับให้ไหว้ ก็ยังไม่ต้องไปนรก       พระคุณเจ้าเห็นดังนั้น จึงตรวจดูด้วยญาณทัสสนะก็ทราบว่า เด็กหญิงคนนี้ มาเกิดจากเปรต แล้วเมื่อตายไปก็จักไปเกิดในนรก แต่ถ้าเด็กน้อยนี้ไหว้เรา จะบังเกิดบุญขึ้นก็จักไม่บังเกิดในนรกจะไปเป็นเพียงแค่เปรตเท่านั้น เพราะความกรุณาพระสารีบุตรจึงกล่าวว่า "หนูน้อย เจ้าจงไหว้ภิกษุทั้งหลายเถิด" แต่ดิฉันที่เป็นเด็กอยู่ในขณะนั้น ก็ยังยืนเฉยอยู่เหมือนเดิม พวกเพื่อนๆ เห็นอย่างนั้นจึงพากันจับมือดิฉันฉุดดึงมาให้ไหว้ที่เท้าพระเถระ สมัยต่อมา เมื่อดิฉันเจริญวัยและได้แต่งงาน แต่เพราะมีกรรมจากปาณาติบาตจึงทำให้อายุสั้น พอตั้งครรภ์แก่เต็มที่ก็ตายทั้งกลมไปบังเกิดเป็นเปรตอีกครั้ง และคืนนี้จึงได้มาปรากฎกายให้พระคุณท่านเห็นอีกครั้งหนึ่ง เจ้าค่ะ เปรตเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังด้วยความน่าสงสาร

อานุภาพข้าวหนึ่งคำ นํ้าหนึ่งขัน และผ้าหนึ่งฝ่ามือ
      เมื่อพระเถระได้ฟังอย่างนั้นก็เกิดความกรุณาสงสาร อยากจะช่วยให้นางเปรตนั้นพ้นจากความทุกข์ รุ่งขึ้นจึงได้ถวายข้าวหนึ่งคำ นํ้าหนึ่งขัน ผ้าขนาดหนึ่งฝ่ามือ แก่ภิกษุรูปหนึ่งแล้วก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ คืนต่อมาขณะที่พระเถระกำลังเดินจงกรมอยู่นั้น แสงสว่างก็ปรากฎวาบขึ้นตรงท้ายที่จงกรม ปรากฎเป็นเทพธิดาผู้เลอโฉมยืนอยู่ตรงด้านหน้า พระสารีบุตรเถระจึงถามว่า "ดูก่อนนางเทพธิดา ท่านมีผิวพรรณงดงามยิ่งนัก รัศมีกายส่องสว่างไสวไปทั่วทุกทิศท่านมีวรรณะเช่นนี้ เพราะได้ทำกรรมอะไร และโภคะสมบัติทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นที่รักที่ชอบใจ จึงเกิดขึ้นแก่ท่าน เทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก เมื่อท่านเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้ "
      "นางเทพธิดา ก็บอกว่าตนเป็นนางเปรตผู้อดอยากผอมโซที่มาหาท่านเมื่อคืนที่ผ่านนั้นแหละ แต่ท่านพระสารีบุตรเมตตาได้ถวายข้าวคำหนึ่ง น้ำดื่มขันหนึ่ง ผ้าประมาณเท่าฝ่ามือผืนหนึ่ง แก่ภิกษุรูปหนึ่ง แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้จึงได้กลายมาเป็นเทพธิดาในวันนี้ แล้วเทพธิดาก็ได้กล่าวต่อไปว่า ขอท่านจงดูผลแห่งข้าวคำหนึ่งที่พระคุณเจ้าถวายแล้ว ดิฉันเป็นผู้ประกอบด้วยสิ่งที่น่าปรารถนา บริโภคอาหารมีกับข้าวมีรสหลายอย่าง ได้เป็นพันๆ ปี ดิฉันปราศจากภัยคือความหิวกระหาย ย่อมรื่นรมย์ชื่นชมบันเทิงใจยิ่ง ขอพระคุณเจ้าจงดูผลแห่งการถวายน้ำดื่มขันหนึ่ง ซึ่งดิฉันได้รับอยู่นี้ สระโบกขรณีที่สวยงามหาสิ่งเปรียบมิได้ อันบุญกรรมสร้างให้ดีแล้ว มีนํ้าใส มีท่าราบเรียบ มีนํ้าเย็น มีกลิ่นหอม ดารดาษไปด้วยดอกปทุมและดอกอุบล ผิวนํ้าก็ดารดาษไปด้วยเกษรบัวสวยงามยิ่งนัก       ขอพระคุณเจ้าจงดูผลแห่งการถวายผ้าประมาณเท่าฝ่ามือ ที่ดิฉันได้รับนี้เถิด ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ผ้าในแว่นแคว้นของพระราชามีประมาณเท่าใด ผ้านุ่งผ้าห่มของดิฉันมีมากกว่านั้นอีก คือ ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ผ้าป่าน ผ้าฝ้าย ผ้าแม้เหล่านั้นทั้งกว้างทั้งยาว ทั้งมีค่ามาก ห้อยอยู่ในอากาศดิฉันเลือกเอาแต่ผืนที่พอใจนุ่งห่ม ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ดิฉันมาเพื่อจะไหว้พระคุณเจ้าผู้เป็นมุนี ผู้มีความกรุณาในโลก"

อย่าประมาทในชีวิต ควรรีบคิดสั่งสมบุญ

      จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า ผลแห่งบุญนี้ไม่มีเล็กน้อยเลย มีผลที่ยิ่งใหญ่ไพศาลน่าอัศจรรย์ทีเดียว แม้จะเริ่มต้นจากชีวิตมิจฉาทิฏฐิไม่เชื่อเรื่องบาปบุญ ทำกรรมคือปาณาติบาตแล้วก็ไปเกิดเป็นเปรต แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่ได้มาเกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนา และได้กัลยาณมิตรเช่นพระสารีบุตรเถระ ก็พ้นจากอัตภาพเปรตนั้นได้ พวกเรากัลยาณมิตรทั้งหลายถือว่ามีโชคยิ่งกว่าโชค เพราะเรามีศรัทธา ทั้งได้เกิดในยุคพระพุทธศาสนา ต้องรีบใช้โอกาสอันดีที่สุดในการสร้างบารมีสั่งสมบุญให้เต็มที เพราะการสั่งสมบุญบารมี ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราจะต้องหมั่นสั่งสมบุญกันบ่อยๆ ทำให้สมํ่าเสมอ เพื่อไม่ให้บาปอกุศลได้ช่อง หากเราไม่ขวนขวายทำบุญ ใจไม่อยู่ในบุญแล้ว กระแสแห่งบาปอกุศลก็จะเข้ามาแทนที่ จะชักนำใจของเราให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจอาสวะกิเลส การรักษาใจให้ใสให้สะอาดบริสุทธิ์ เพื่อไม่ให้กระแสบาปเอิบอาบซึมซาบปนเป็นได้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเมื่อใจของเราใสบริสุทธิ์ กระแสธารแห่งบุญก็จะบังเกิดขึ้นในใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นต้องสั่งสมบุญและรักษาใจให้อยู่ในบุญควบคู่กันไป