กเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาทั่วโลกที่รักทั้งหลาย วันนี้ครูไม่ใหญ่ มีความปลื้มปีติยินดี เป็นอย่างมาก ที่นักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาทั่วโลกทั้งที่อยู่ภายในห้องส่งนี้และอยู่ที่หน้าจอจานดาวธรรม และที่ติดตามฟังทางอินเทอร์เน็ตทุกๆ ภูมิภาคทั่วโลก ที่ลูกทุกคนได้เห็นความสำคัญ ของการตั้งโรงเรียน อนุบาลฝันในฝันวิทยา นี้โดยเอาใจใส่ในการศึกษาเล่าเรียน เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ตั้งแต่จาก ทางโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต จนกระทั่งถึงจานดาวธรรม และได้มีการกระจายความรู้นี้ไปยังเพื่อนมนุษย์ พี่น้องหมู่ญาติของเราทั้งหลาย ออกไปกว้างขวางขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราว ความเป็นจริงของชีวิตเพิ่มขึ้น

            แต่เดิมนั้น ที่คิดตั้งโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ก็เพราะเห็นว่าตัวเองอายุมากแล้ว เวลาข้างหน้าก็เหลือน้อยเต็มที มีความรู้อะไรก็จะมาแบ่งปันให้กับลูกๆ ทุกคน ทั้งความรู้ที่ได้ศึกษา เรียนรู้มาจาก ในพระไตรปิฎกบ้าง แล้วก็จากคุณยายอาจารย์บ้าง โดยเฉพาะที่สำคัญที่สุดคือ จากวิชชาธรรมกายที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านได้ถ่ายทอดผ่านคุณยายอาจารย์มา

            อีกประการ คือ ต้องการที่จะตอบแทนในการที่ลูกๆ ทุกคนได้ให้ข้าว ให้น้ำ ให้อาหาร เป็นกำลัง มีเรี่ยวมีแรงในการศึกษาธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแก่ครูไม่ใหญ่เอง และแก่ลูกพระลูกเณร ทั้งหลาย อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ในขณะนี้คนยังเข้าใจพระพุทธศาสนาคลาดเคลื่อนกันไปมาก และโดย เฉพาะ หลักสำคัญเกี่ยวกับ เรื่องกฎแห่งกรรม ก็ไม่ค่อยจะนำมาพูดกัน ไม่ว่าจะในหมู่ของสงฆ์ก็ดี ซึ่งในที่นี้ หมายถึงพุทธบุตรบางกลุ่ม ไม่ใช่ทั้งหมด และญาติโยมก็ดี ไม่ค่อยได้พูดถึง จนกระทั่งเป็นเหตุทำให้ เกิดความรู้สึก คลางแคลงเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำทั้งทางกาย วาจา ใจ ซึ่งเป็น กฎของเหตุและผล คือประกอบเหตุอย่างนี้จะต้องไปมีผลอย่างนั้น มีผลปัจจุบันอย่างนี้ ก็เพราะได้ประกอบ เหตุในอดีตอย่างนั้น ความเชื่อหรือความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ลดลงไปเรื่อยๆ เพราะว่าเหตุผล บางอย่าง ไม่ปรากฏทันตา หรือเหตุผลบางอย่างที่ปรากฏอยู่ในปรโลก ก็ไม่อาจที่ จะไปรู้ไปเห็นกันได้ เพราะว่า ไม่ให้โอกาสตัวเองในการศึกษาเรียนรู้ แต่ถ้าให้โอกาสตัวเองทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ ยกเว้น คนบ้า คนตายเท่านั้น ด้วยแรงบันดาลใจหลายๆ อย่างเหล่านี้ จึงทำให้เปิดโรงเรียนนี้ขึ้นมา

            แล้วก็มีความสุขสนุกสนานทุกครั้ง ที่ได้มาทำหน้าที่เป็นครูไม่ใหญ่ ได้มาถ่ายทอด ความรู้ตรงนี้ ทั้งๆ ที่แต่เดิมที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมกับคุณยายอาจารย์ ท่านมุ่งในการปฏิบัติธรรม เป็นหลัก โดยอัธยาศัย ส่วนตัวนั้น จะตรงข้ามกับภาพที่เห็นในโรงเรียน จะชอบเงียบๆ ชอบอยู่ตามลำพัง คุณยาย อาจารย์ท่าน ก็มีอัธยาศัยเช่นนี้เหมือนกัน คือ สันโดษ มักน้อย ไม่คลุกคลีในหมู่คณะ ยินดีปัจจัยตาม มีตามได้ ท่านก็พร่ำ สอนอย่างนี้เรื่อยมา และก็ได้ปฏิบัติตามโอวาท ของท่านเป็นเวลา ๓๐ กว่าปี คือ อยู่ตามลำพัง อย่างมาก ก็เจอในช่วงวันอาทิตย์ต้นเดือนกับวันอาทิตย์ธรรมดา ที่ออกมาชวนลูกๆ ทั้งหลาย ปฏิบัติธรรมเจริญภาวนา เป็นหลัก ส่วนใหญ่ก็จะชวนหมู่คณะ ส่วนหนึ่งไปปฏิบัติธรรม บนดอยสุเทพ เพราะว่า อากาศดีและก็วิเวก มีป่ามีเขา นั่นคืออัธยาศัยที่ชอบอย่างนั้นมาก ถ้าจะให้เลือก อยากจะกลับ ไปมีชีวิตอย่างนั้นเงียบๆ

             แต่ว่าเมื่อกาลเวลาผ่านมา จนกระทั่งอายุมากแล้วก็คิดอย่างที่ได้เล่าให้ฟังข้างต้น จึงได้เริ่ม ฝึกหัดสอน เป็นการฝึกหัดเทศน์จริงๆ สอนจริงๆ แต่จะให้เทศน์แบบพระผู้ที่มีความชำนาญเป็น นักปราชญ์ บัณฑิตใน ทางพระพุทธศาสนา ทำไม่ได้ เพราะว่าภูมิรู้ภูมิธรรมก็จบแค่นักธรรมตรี แม้ว่าจะอ่านพระไตรปิฎกมาตั้งแต่ตอน ที่ยังเป็นนักเรียน ยังไม่ เข้ามหาวิทยาลัย นั่นก็ ๔๐ กว่าปีผ่าน มาแล้ว แต่เวลาส่วนใหญ่จะใช้อยู่กับการทำหยุดทำนิ่ง

             เพราะฉะนั้น จึงไม่กล้าเปิดเป็นโรงเรียนมัธยม เป็นวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยต่างๆ เหล่านั้น เอาแค่ว่าเป็นโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา เพื่อจะได้ให้ง่ายหน่อย ง่ายต่อการสอน การแนะนำ การพูด การคุย เพราะไปสังเกตโรงเรียนอนุบาลทั่วๆ ไป เขาก็ง่ายๆ เพราะนักเรียนอนุบาลก็คือเด็ก มีเพลง มีภาพ มีพูด ซึ่งคุณครูท่านก็ไปยืนอยู่หน้าชั้น ดุนักเรียนบ้าง ชมกันบ้าง ก็ว่ากันไป ชอบอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึง ได้เปิดเป็นโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยากันอย่างนี้ เผื่อจะได้รับการให้อภัยจากบัณฑิต นักปราชญ์ ในทางพุทธศาสนา ที่ท่านมีความชำนาญ มีความรู้มากกว่านี้อีกมาก ก็เป็นบุญที่ว่าพลาดพลั้ง อะไรไป ก็ยังไม่ได้รับ การติติงจากนักปราชญ์ ในทางพระพุทธศาสนาเลย ตั้งแต่เปิดโรงเรียนมา ๓ ปี ยังไม่เคยได้ยิน ทำให้มีกำลังใจฝึกสอนกันเรื่อยมา

            แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังฝึกสอนอยู่ ถึงวันนี้ก็ฝึกมาได้ ๓ ปีแล้ว ก็จะฝึกกันต่อไป ยังมีอะไร ขลุกขลักกันอยู่ แต่ได้กำลังใจจากนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาที่คอยส่งยิ้ม ส่งอะไรต่างๆ ผ่านทาง หน้าจอบ้าง ในโรงเรียนบ้าง คอยเป็นกองเชียร์ ทำให้มีเรี่ยวแรงที่จะพัฒนาปรับปรุงการสอนเพิ่มขึ้น จากเริ่มต้นฟังทางโทรศัพท์ก็พัฒนา มาเป็นอินเทอร์เน็ต จากอินเทอร์เน็ตมาเป็นจานดาวธรรม จากภาพแห้งๆ เริ่มมีภาพที่เคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น และก็นำเรื่องราวที่ฝันเป็นตุเป็นตะมาเล่าให้ฟัง ตั้งใจจะให้ฟังเป็นนิยาย แต่ว่าเป็นนิยายที่มีคติธรรม

             ได้รับความร่วมมือจากเจ้าของ Case Study ที่ได้กรุณาให้ชีวิตของตัวเองมาเป็นธรรมทาน แด่เพื่อนนักเรียน ก็ได้สอนกันมาอย่างนี้ ใช้คำว่าพูดคุยกันมากกว่า สอนสนุกกันบ้าง อะไรกันบ้างอย่างนั้น เพราะว่านักเรียนก็มีอยู่ชั้นเดียว แล้วก็มีทุกเพศทุกวัย ทุกเพศนี่ทุกเพศจริงๆ เพศหญิง เพศชาย เพศต่างๆ มีทุกวัยก็ทุกวัยจริงๆ และก็ศาสนิกใหญ่ๆ ยังไม่ได้นับรวมที่ปลีกย่อยอื่นๆ อีก ทั้งนอกจากมาเป็นนักเรียน มาฟังธรรม ยังมาปฏิบัติธรรมแล้วก็เข้าถึงธรรม แล้วก็มาสร้างมหาทานบารมีร่วมกัน โดยลืมกันไปชั่วขณะ ว่าแต่เดิมตัวนั้น เริ่มต้นชีวิตจากคำสอนใด ได้มาศึกษาความรู้สากลกันอย่างนี้เรื่อยมา

             จาก Case study ที่ผ่านมา กับเรื่องราวพุทธประวัติซึ่งเราทยอยเล่ากันไป ก็ทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลงชีวิต กับนักเรียนขึ้น บ้างก็เปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ บ้างก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงกันไป และเสียงเหล่านี้ก็สะท้อนกลับมา ที่ครูไม่ใหญ่ ทำให้มีความปลื้มปีติยินดี กับการเปลี่ยนแปลงไปในทาง ที่ดีขึ้น ของนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาทั่วโลก ที่เคยติดเหล้า ติดบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็เลิก เคยติดการพนันก็เลิก เคยประกอบมิจฉาอาชีวะ โดยไม่รู้ตัวว่า เป็นสิ่ง ที่จะทำให้มีอบายเป็นเครื่องรองรับ ก็เลิกได้ ที่ขี้เกียจนั่งธรรมะก็ขยันขึ้น ที่ไม่เคยรู้จักการทำบุญ ก็เริ่มทำบุญ ที่ทำบุญตาม อารมณ์ก็เปลี่ยน มาเป็นทำสม่ำเสมอ ที่ทำตามกำลังก็มาเต็มกำลัง นี่คือ สิ่งที่ทำให้ครูไม่ใหญ่ชื่นใจมากๆ และก็จะมีเรี่ยวมีแรง สอนกันต่อไป

             จริงๆ แล้ว ความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมากมาย ถ่ายทอดในแต่วันไม่ซ้ำกัน หมดชีวิตนี้ยัง ถ่ายทอดกันไม่หมด ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมเขาบอกว่าไม่รู้จะเอาอะไรมาสอน ซึ่ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ สอนแค่วันละขันธ์แค่นั้นเอง ๘๔,๐๐๐ วัน กี่ปีก็คูณกันไปเถอะ ขนาดนั้นสอนกันไป ไม่ต้องซ้ำกันเลย นี่เรายกตัวอย่าง Case Study ๒ พันกว่า Case ที่ผ่านมา เราจะเห็นว่าไม่มี Case ไหนซ้ำกันเลย มีแต่คล้ายกัน

             เพราะฉะนั้น เราก็ได้เรียนเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตผ่าน Case Study ในชีวิตหลากหลายรูปแบบ ของเพื่อนนักเรียนที่ได้นำชีวิตของตัวเองมาเป็นกรณีศึกษา ไม่มีเหมือนกันเลย ทำให้เราได้รู้จักภพภูมิมากขึ้น มากกว่าแต่เดิมซึ่งเข้าใจ ว่ามีแต่ในเมืองมนุษย์ ตายแล้วสูญ หรือภพของสัตว์เดรัจฉาน แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าสัตว์เดรัจฉาน คืออะไร ก็นึกว่าสัตว์เดรัจฉานคือสัตว์เดรัจฉาน เป็นสิ่งที่ผู้วิเศษสร้างขึ้นมา เพื่อให้มนุษย์ได้กินบ้าง ใช้แรงงานบ้าง หรือใช้เลี้ยงดู ก็ยังเข้าใจเพียงแค่นั้น แต่ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่า มีภพภูมิอีกมาก จริงๆ แล้วมันก็ยังไม่หมด แต่ที่มาปรากฏใน Case Study นำมาสรุปให้ฟังว่า ข้อ ๑. ภพภูมิอะไร ข้อ. ๒, ๓, ๔ ซึ่งมีทั้งหมด ๑๗ ภพภูมิที่เรารู้จักกัน แต่จริงๆ แล้วมันมีทั้งหมดตั้ง ๓๑ ภูมิ หลักใหญ่ๆ และในหลักใหญ่ๆ ก็ยังมีหลักย่อยๆ ที่จะต้องศึกษากันอีก

             ถ้าหากว่าเป็นแอนิเมชันได้ ก็จะทำให้เข้าใจได้ง่ายเพิ่มขึ้น และจะทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ในการที่จะ ละชั่วทำความดีและทำใจให้ใสเพิ่มขึ้น เพราะเห็นภาพมันเคลื่อนไหวได้ ตอนนี้ก็ได้รับความสนับสนุน จากนักเรียนอนุบาล ฝันในฝันวิทยาที่อยากจะเห็นภาพเคลื่อนไหวได้ ช่วยกันมาสร้างเครื่องมือที่จะผลิตในสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่น่าปลื้มปีติยินดีว่า ใจเราตรงกันทั้ง ครูไม่ใหญ่และนักเรียน อยากจะเห็นภาพที่เคลื่อนไหว ซึ่งได้เครื่องมือมาแล้วนี่เราก็จะต้องหาทีมงาน ทำกันอีก แต่ก็ไม่ได้วิตกกังวลเกี่ยวกับ เรื่องอุปสรรคต่าง ๆเพราะยังมีสิ่งที่น่าศึกษา เรียนรู้อีกมาก เราได้ยินคำว่า นรกสวรรค์ในพระไตรปิฎก แต่เราไม่ค่อยจะมั่นใจเท่าไร แม้มั่นใจแต่เราก็ไม่รู้จักอยู่ดี นรกเป็นอย่างไร สวรรค์เป็นอย่างไร และที่เอามาให้ดูบางส่วนในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันฯ เราก็รู้จักเท่าที่เอามาให้ดู เรายังไม่รู้จักหมด นี่ถ่ายทอดกันแค่นรกสวรรค์ กฎแห่งกรรม หมดชาติหนึ่งก็ยังไม่หมด เพราะก็ใกล้จะหมดชาติแล้วของครูไม่ใหญ่เหลืออีกนิดเดียว

             ครูไม่ใหญ่มีความคิดอย่างนี้ว่า ความรู้สากลเหล่านี้ กลุ่มเป้าหมายมีกลุ่มเดียว คือทุกคนในโลก จะแตกต่าง จากกลุ่มเป้าหมายทางธุรกิจ จะต้องแบ่งเป็นอายุขนาดนั้นขนาดนี้ และก็คิดว่าเราสามารถทำได้ ซึ่งก็ได้พิสูจน์กันมาแล้วว่า ทุกเพศทุกวัยก็มีความสุขสนุกสนาน กับการได้เรียนรู้เรื่องราวความเป็นจริง ของชีวิตผ่านจานดาวธรรมทั้งๆ ที่ฟังแล้วเป็นเรื่องหนักทีเดียวนะ แต่ปรากฏว่ากลับมีความสุข ไม่ได้หนักหนา หรือหนักอกหนักใจอะไร นี่ก็เป็นสิ่งที่เราได้ทำ ผ่านมาตลอดสามปีและก็ต้องทำกันต่อไป

             DMC ยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นสื่อที่ดีที่สุด แต่เรากำลังพยายามทำให้ดีที่สุด แค่เป็นจุดเริ่มต้น ที่เป็นสื่อสีขาว และอยากจะให้สื่อต่างๆ ได้เป็นสื่อสีขาวบ้าง ให้ทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป และครูไม่ใหญ่เชื่อว่า ด้วยความชำนาญของสื่อต่างๆ เหล่านั้นซึ่งทำมาก่อนครูไม่ใหญ่จะสามารถทำได้ดีกว่า DMC อีกหลายเท่า ชาวโลกขาดแคลนความรู้ที่ดี จนกระทั่งมีทัศนคติอยากฟังอยากดูแต่เรื่องขัดแย้ง ซึ่งจะทำให้เกิด อกุศลธรรมขึ้นมาในใจ ใจจะหมองไปเรื่อยๆ ก็แปลว่าจะไปอบายกันมากเหมือนฝุ่นในผืนปฐพี ซึ่งมันควร จะหมดสมัยได้แล้วในยุคที่เราลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในยุคนี้ น่าจะเลิกผลิตสื่อให้เห็นความขัดแย้ง สิ่งที่ไม่ดีต่างๆ กันได้แล้วเพราะไม่ได ้ก่อให้เกิด การเปลี่ยนแปลงไปใน ทางที่ดีขึ้นแก่มวล มนุษยชาติและชาวโลกเลย มันควรจะหมดยุคหมดสมัยแล้ว ควรจะผลิตสื่อที่ทำให้คนรักกัน สามัคคีกัน เห็นอกเห็นใจกัน เกื้อกูลกัน เพราะฉะนั้น DMC จึงมาทำหน้าที่ตรงนี้ และหวังว่าสื่อต่างๆ จะได้แรงบันดาลใจ จากตรงนี้และใช้พลังที่ตัวมีอยู่ ไปทำหน้าที่สื่อที่แท้จริง ที่สมบูรณ์ที่จะสร้างกุศลธรรม ให้เกิดขึ้นในดวงใจ