ก็เพราะอยากเป็นคนดี

วันที่ 30 มีค. พ.ศ.2563

ก็เพราะอยากเป็นคนดี

                แม้ว่าข้าพเจ้าจะได้รับการอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์  ทั้งฝ่ายปริยัติและฝ่ายปฏิบัติว่า ความอยากที่เป็นเรื่องของ กาม รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส  เป็นโลภะ เป็นตัณหาในฝ่ายที่ไม่ดีส่วนความอยากสร้างบุญกุศลสร้างคุณงามความดีให้เป็นบารมีนั้น ไม่ถือเป็นโลภะ ไม่ถือเป็นตัณหาก็ตาม

 

                แต่ในความรู้สึกที่แท้จริงของข้าพเจ้า โดยสภาวะที่ตนเองก็ยังไม่สิ้นกิเลส ทำให้บ่อยครั้งเกิดความไม่แน่ใจ มีความเห็นว่า การอยากเป็นคนดีก็ตาม การอยากทำความดีให้เกิดเป็นบุญเป็นกุศลขึ้นมาก็ตามน่าจะเรียกว่าเป็นตัณหาเหมือนกัน แต่เป็นตัณหาที่ควรมีเอาไว้ เพราะทำให้ชีวิตมีกำไร

 

               ที่ข้าพเจ้าพูดดังนี้ เพราะการอยากทำดี การอยากเป็นคนดี  แล้วสร้างพฤติกรรมความดีต่างๆ มันก็เป็นสาเหตุให้เกิดทุกข์เหมือนกัน  เพียงแต่เป็นทุกข์คนละแบบ ไม่ทุกข์หนักแบบอยากทำความชั่ว

 

               เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ต้องปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนมากๆ แต่ละคนก็มักมีปัญหาส่วนตัวของเขาเอง  เขาแก้ของเขาเองไม่ไหว ก็มักมาขอความช่วยเหลือจากข้าพเจ้า แม้เวลานั้นข้าพเจ้าจะยังไม่มีความรู้เรื่องหลักธรรมทางศาสนา แต่ก็มีน้ำใจรักในการประกอบสิ่งที่เรียกว่าความดี มีโอกาสใดพอกระทำได้ก็จะทำอยู่เสมอ เพราะอยากได้ชื่อว่าเป็นผู้บังคับบัญชาที่ดี

 

                 และเมื่อตั้งใจสังเกตดูการกระทำของตนเอง ก็พบว่า ความดีใดๆก็ตามที่เป็นความดีที่คิดทำขึ้นมาเอง มักจะมีทุกข์น้อยกว่าความดีที่ต้องจำใจทำ หรือได้รับการขอร้องให้ทำ แต่สรุปแล้วก็ทุกข์เพราะอยากทำดี
หรือทุกข์เพราะจำใจทำดี หรือเต็มใจทำดีทุกทีไป เพียงแต่เป็นทุกข์ไม่มาก

 

               เมื่อคิดหักกลบลบหนี้กับความสุขใจที่ได้ทำความดี เหล่านั่นลงไปแล้ว  ก็ดูเหมือนได้รับความสบายใจมากกว่า  สบายใจตรงที่ตนเองตำหนิตนเองไม่ได้ว่า ทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์

 

               ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างความทุกข์ที่เกิดจากการอยากเป็นคนดี  ให้ท่านฟัง เท่าที่พอจำได้ ราวๆ เดือนธันวาคม ปี ๒๕๐๕ ข้าพเจ้าคลอดลูกคนที่สองได้ครบ ๑ เดือน หมดวันลาคลอดบุตรจากทางราชการแล้ว

ข้าพเจ้านับเงินเดือนในซองกระดาษซึ่งฝ่ายคลังของกระทรวงจ่ายมาให้  และมารดาหยิบเอาไปแล้วตามชอบใจของท่าน ก็เห็นว่าเงินเดือนเหลืออยู่  แค่พอซื้อกับข้าวเท่านั้น จึงถามมารดาว่า

 

"เดือนนี้ แม่หยิบเงินเดือนไปแล้วใช่ไหมคะ"


"ใช่ลูก แม่เอาไปแล้ว ที่เหลือนั่น แม่ก็ว่าหนูคงพอใช้ซื้อกับข้าวนะ แม่เอาไปหลายพันหน่อย จะเอาไปให้ลูกชายทิดยวงเค้าตัดชุดตำรวจ  เพราะสอบเข้าทำงานเป็นตำรวจได้ เห็นแม่มันบอกว่า ไม่มีเงินตัดเครื่องแบบ ขอเงินย่าสัก ๓ พัน"

 

                     ทิดยวง เป็นลูกชายคนเดียวของพี่สาวคนโตของแม่ เป็นคนกำพร้าทั้งพ่อและแม่มาแต่เด็ก บิดามารดาของข้าพเจ้าเป็นคนรับอุปการะมาตลอด แต่เป็นคนชอบดื่มเหล้า เล่นการพนัน ซ้ำยังเจ้าชู้อีกด้วย แม้จะมีฝีมือช่างไม้ชั้นดี แต่ทำมาหาไม่พอกินอยู่เป็นประจำ มีครอบครัวแล้ว  ก็ไม่วายรบกวนมารดาข้าพเจ้าอยู่เสมอฟังคำตอบจากแม่แล้ว ข้าพเจ้าก็พูดอะไรไม่ออก ในใจอยากจะบอกว่า

"แม่จ๋า ตอนนี้หนูเพิ่งคลอดลูก ร่างกายมันไม่ผอมเหมือนเก่าเสียแล้ว กระโปรงที่เคยใส่เมื่อก่อนตั้งท้องมันคับจนใส่ไม่ได้ หนูอยากได้เงิน ๓ พันนั้นตัดชุดไปทำงานของหนูเองก่อนจ้ะแม่"

                     ความอยากเป็นลูกที่ดี อยากทำความสบายใจให้แม่ รู้อยู่ว่าเมื่อแม่เอาเงินไปให้หลานชาย พี่ชายและพี่สะใภ้จะต้องกล่าวยกยอแม่มาก  แม่จะชื่นใจและสบายใจกับคำชมเชยเหล่านั้น ข้าพเจ้าจึงตอบด้วยคำพูด  เพียงว่า "พอค่ะ พอซื้อกับข้าวแล้ว"

               

                   จากนั้นข้าพเจ้าก็รื้อเสื้อผ้าเก่าออกมา ใช้กรรไกรเลาะตะเข็บออกแล้วเย็บใหม่จนสุดชายผ้าที่มีอยู่ ซึ่งก็ขยายได้ไม่มาก เพราะส่วนใหญ่แล้ว ช่างที่ตัดก็ตัดจำกัดเนื้อผ้าเต็มที่ ข้าพเจ้าต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าคับๆ อยู่อีกหลายเดือน กว่าจะค่อยๆ เก็บเงินตัดใหม่ได้ ๒-๓ ชุด

 

                  พอไปทำงาน  เวลาใส่เสื้อผ้าคับๆ ครั้งใด ก็ให้นึกถึงเงิน ๓ พัน ที่แม่ให้หลาน  ถ้าขอคืนได้สักพันในเวลานั้น ก็จะตัดได้ถึง ๓-๔ ชุด ( สมัยนั้น ผ้าราคาไม่แพงนัก ค่าตัดชุดหนึ่งๆ ก็เพียง ๕๐ บาท)

 

                  เมื่อใส่เครื่องแต่งตัวไม่สมรูป สมร่าง ก็ทำให้ไม่สบายตัวเวลานั่งทำงาน กระโปรงคับ เสื้อคับ ไม่อยากเดินไปไหนให้ใครเห็น เพราะรู้สึกเหมือนแต่งกายรัดรูปไม่สุภาพ มีความทุกข์ใจไปอีกแบบ  อยากเป็นลูกที่ดี ก็ทุกข์ได้อย่างนี้

 

                   ตัวอย่างที่สอง อยากเป็นหัวหน้า (แผนก) ที่ดี 

                  "หัวหน้าครับ ผมกับแฟนรักกันมาหลายปีแล้ว เราอยากแต่งงานกันเสียที พ่อแม่ของแฟนผมท่านก็ดีมากครับ ไม่เรียกสินสอดทองหมั้นอะไร  ผมก็จะแต่งกันง่ายๆ เช้าเลี้ยงพระในระหว่างหมู่ญาติ บ่ายรดน้ำแล้วเลี้ยงน้ำชาเท่านั้นครับ ผมอยากรบกวนยืมเงินหัวหน้าจัดงานแต่งงานของผม และจะค่อยใช้หนี้ คิดว่าคงไม่นานหรอกครับ เพราะเรามีเงินเดือนทั้ง ๒ คน"

 

                  ลูกน้องข้าพเจ้าที่มีหน้าที่เป็นประจำแผนกออกปากยืมเงินเดือนข้าพเจ้าหมดทั้งเดือน เขาเป็นคนที่ทำงานเข้มแข็ง เก่งและมีความสามารถมาก โดยเฉพาะกับข้าพเจ้าแล้ว เขาดีด้วยเป็นพิเศษ ถ้าข้าพเจ้าเสนองานสิ่งใดผิดพลาด เขาจะรับเป็นความผิดของเขาเองทั้งหมด ไม่ยอมให้ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงตำหนิข้าพเจ้าเลยสักครั้งเดียว

 

                    นอกจากเห็นแก่ความสามารถและความดีงามของเขาแล้ว  ข้าพเจ้าก็อยากเป็นผู้บังคับบัญชาที่ดี รีบออกปากให้ความช่วยเหลือ  สำหรับเงินที่ข้าพเจ้าจะต้องให้มารดา เดือนนั้นขอผลัดท่านไว้ก่อน  ให้ลูกน้องยืมเงินไปหมดทั้งเดือนแล้ว ข้าพเจ้าก็นั่งนอนเป็นทุกข์  ใจคอไม่สบาย เพราะไม่รู้ว่าจะได้รับเงินใช้หนี้คืนเมื่อใด จะไม่มีเงินพอจ่ายค่ากับข้าวประจำเดือนนั้น เงินเดือนของสามีก็ต้องผ่อนส่งค่าที่ดิน  ค่าอุปกรณ์สร้างบ้านที่ยังค้างอยู่ ยังโชคดีที่ผู้ยืมเงินได้เงินช่วยจากแขกรับเชิญมาก   จนใช้หนี้ข้าพเจ้าได้ทันที หลังเสร็จงานแล้วเพียง ๒-๓ วัน


                      แล้วอย่างนี้ ใครจะว่า อยากทำความดีแล้วไม่มีทุกข์หรือ


                    ข้าพเจ้าว่ามีทุกข์อยู่ด้วยแน่นอน เพียงแต่เป็นทุกข์ธรรมดา ไม่ใช่ทุกข์ด้วยร้อนด้วย อย่างทำความชั่ว

 

                     ตัวอย่างที่สาม รายนี้ประมาณปี ๒๕๑๖ ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าสถานศึกษาแห่งหนึ่ง เวลานั้นยังไม่มีถนนหนทางเจริญเหมือนปัจจุบัน  ทางเข้าโรงเรียนเป็นถนนซอยไม่โตนัก นานๆ หรือบางทีเป็นชั่วโมง
จึงจะมีรถแท็กซี่หลงวิ่งเข้าไปในซอยนั้นสักคันหนึ่ง ครูผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งของข้าพเจ้าชื่อ สมพิศ เดินอย่างรีบร้อน หน้าซีดเข้ามาหาข้าพเจ้า  กล่าวว่า

 

                      "อาจารย์คะ ช่วยหนูด้วยเถอะค่ะ จะทำอย่างไรดีคะ เด็กพี่เลี้ยงของลูกหนูโทรศัพท์บอกมาจากบ้านว่า ลูกคนเล็กของหนูเป็นไข้ตัวร้อนจี๋  ตอนนี้ทำมือเกร็งแข็งๆ ตาเหลือกๆ ตั้งหลายครั้งแล้วค่ะ หนูจะมัวรอรถสองแถวออกไปต่อรถเมล์คงไม่ทันนะคะ พ่อของเด็กก็ไปบ้านโป่ง  เสียด้วยค่ะวันนี้ ไม่งั้นหนูจะโทรศัพท์บอกให้เค้าพาลูกไปหาหมอ"

 

                        "ตาเหลือก มือเกร็งยังงั้นมันชักนี่นา เด็กเล็กๆ ปล่อยให้ชักบ่อยๆ ไม่ดี โตขึ้นโง่หมด" ข้าพเจ้าบ่น พร้อมกับถามเรื่องพี่เลี้ยงเด็กได้รับคำตอบว่า

"แกก็แค่อายุ ๑๓-๑๔ ปี เป็นเด็กบ้านนอกเพิ่งได้ตัวมาช่วยเลี้ยงน้อง ไปไหนไม่ถูกหรอกค่ะ ร้านหมอหรือโรงพยาบาลไม่รู้จักทั้งนั้น  อาจารย์ กรุณาหนูหน่อยนะคะ"

 

                        เสียงของแม่ที่ห่วงใยชีวิตลูก ข้าพเจ้าเข้าใจดี ข้าพเจ้าเองก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน เมื่อคืนลูกคนเล็กเป็นไข้ตัวร้อนทั้งคืน ตอนเช้าข้าพเจ้าขับรถพาทั้งลูกและพี่เลี้ยงของลูกมาส่งไว้ที่สถานพยาบาล
ให้พากันรอหมอตรวจ เสร็จแล้วให้นั่งแท็กซี่กลับบ้าน

 

                         ข้าพเจ้าคิดถึงตัวเอง "เฮ้อ เวลาลูกเราเจ็บป่วย เราจะขาดงาน  หนีงานพาลูกไปหาหมอมั่งก็ไม่ได้ จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อผู้ใต้บังคับบัญชา  เอาเวลาราชการไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว แต่สำหรับพวกเค้าลูกจะเจ็บ  แม่จะตาย แฟนจะหาย อะไรต่ออะไรขออนุญาต ขอความเห็นใจเรา  ได้หมดทุกเรื่อง"

 

                        ด้วยความอยากเป็นเจ้านายที่ดี ข้าพเจ้าจึงพูดกับสมพิศว่า  "เอาเถอะ พี่อนุญาตให้คุณกลับไปดูลูกได้ ฝากนักเรียนห้องที่คุณสอนไว้กับเพื่อนก็แล้วกัน ตอนนี้โทรศัพท์บอกให้เด็กเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวลูกไว้ก่อน ให้ความร้อนลดลงบ้าง จะได้หยุดชัก ไปเร็วเข้า พี่จะขับรถพาคุณกลับบ้านเอง ขืนรอแท็กซี่ หรือรถสองแถวอยู่ ยายหนูแกจะแย่"

 

                        สมพิศยิ้มน้ำตาคลอ แล้วข้าพเจ้าก็บอกให้ครูช่วยดูแลงานที่ค้างอยู่แทน ขับรถส่วนตัวให้ลูกน้องนั่งไปดูลูกที่กำลังเจ็บ ในใจข้าพเจ้าก็คิดอยู่ว่า ด้วยอำนาจความดีที่ข้าพเจ้าอุตสาห์ทำอยู่นี้ ให้ผลบุญไป
ช่วยให้ลูกของข้าพเจ้าหายไข้ด้วยเถิด ข้าพเจ้าช่างไม่มีโชคได้กลับบ้านเร็วๆ ไปดูลูกของตนเองบ้างเลย

 

                        พาไปถึงบ้านแล้วยังไม่พอ ข้าพเจ้ายังขับรถพาทั้งแม่ทั้งลูกไป  ต่อยังสถานพยาบาล แพทย์รักษาฉีดยาให้เรียบร้อยแล้วก็พากลับมาส่งที่บ้าน กว่าข้าพเจ้าจะได้กลับบ้านมาดูลูกของตนเองที่กำลังป่วยก็ใกล้ค่ำ  กลับบ้านเย็นกว่าวันธรรมดาเสียอีก

 

                       ตลอดเวลาที่ใครๆ เห็นข้าพเจ้าทำความดี ช่วยดูแล  ช่วยเหลือความทุกข์ของผู้อื่นอย่างที่เล่าให้ฟังนี้ ใจข้าพเจ้ากลับเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะกำลังเป็นห่วงลูกของตนเองเต็มที่ จะบอกใครก็เกรงว่าจะเป็นการพูดแก้ตัว เลี่ยงการช่วยเหลือ เพราะเสียทั้งเวลา เสียทั้งค่าน้ำมันรถ  อยากเป็นคนดีเลยต้องยอมทุกข์แทบแย่

 

                     ตัวอย่างที่สี่ ตัวอย่างนี้ข้าพเจ้าอยากทำความดีมากๆ คือคิดถือศีล ๘ เป็นประจำทุกวัน อยากได้บุญให้มากกว่าธรรมดาที่ถือเพียงศีล ๕ แล้วความทุกข์ก็ตามมามากมาย

 

                   เรื่องทุกข์ส่วนตัวนั้นเป็นของธรรมดา คือเมื่ออดข้าวเย็นก็หิวบ่อยๆ ในตอนเย็น บางทีต้องรีบนอนแต่หัวค่ำ หลับแล้วจะได้ลืมความหิว  ไม่ต้องทนกับอาการปั่นป่วนโครกครากในท้อง หูอื้อตาลายเพราะหิวข้าวหลับไปตื่นหนึ่ง อาการทุกอย่างจะหายไป แล้วจึงลุกขึ้นนั่งปฏิบัติธรรมต่ออีก พักใหญ่ ก่อนนอนหลับต่อ ทุกข์ทางร่างกายอย่างนี้พอทนได้  พอแก้ไขตนเองให้หายได้

 

                 แต่ทุกข์ใจนั้นยากจริงๆ บางวันได้รับจดหมายเป็นบัตรสนเทห์  ไม่ลงนามผู้เขียน ใช้ถ้อยคำด่าทอหยาบคาย เรียกข้าพเจ้าว่า "อี"  กล่าวหาว่าทำเป็นแต่งตัวสีขาวเพื่อโอ้อวดตนเองว่าเป็นคนดีถือศีล  เนื้อหาในจดหมายมีเท่านั้น คือคนเขียนรู้สึกหมั่นไส้จนทนไม่ไหว ต้องขอด่า ความผิดอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี มีแต่เรื่อง "อยากดัง อยากอวด  ว่าเป็นคนถือศีล"

 

                  ความจริงเรื่องความอยากดังอยากเด่นที่ถูกปรักปรำนั้น ไม่มีอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของข้าพเจ้าเลย เป็นความสัตว์จริง ดังนั้นพอถูกด่าว่า เสียหาย จึงรู้สึกเป็นทุกข์ไปบ้างในระยะแรก แต่เมื่อไตร่ตรองได้คิดว่า คำพูดพวกนั้นเป็นอัธยาศัยของคนพาล ถ้าเราถือเอาคำพูดของคนพาลมาเป็นใหญ่แล้ว เราจะต้องทุกข์ไปจนตาย เพราะโลกนี้มีคนพาลมากกว่าบัณฑิต

 

                  ถูกกล่าวหาว่าถือศีลอวดตัวยังไม่พอ พอทำใจให้หายทุกข์  หายเสียใจได้ดังกล่าวแล้ว และครั้นพิจารณาดูจนถี่ถ้วนก็ทราบว่า ตัวคนเขียนด่าจะต้องเป็นคนอยู่ใกล้ตัวจึงจะเห็นการปฏิบัติตนของข้าพเจ้าดังนั้น

ข้าพเจ้าจึงได้อธิบายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดฟังว่า ที่ข้าพเจ้าแต่งตัวด้วยเสื้อกระโปรงชุดสีขาวนั้น เพื่อเตือนใจตนเองให้สำรวมระวัง และมีสตินึกได้อยู่เสมอว่ากำลังรักษาศีล ไม่ใช่เพื่อโอ้อวด 

 

                 นอกจากนั้น การแต่งชุดขาวยังทำให้ประหยัดมาก มีอยู่เพียง ๓ ชุด ก็ใช้ได้ถึง ๒ ปี เรื่อง
จึงเป็นอันเงียบไป คนที่เขียนนั้นคือครูสตรีมีอายุหน่อย เป็นครูตำแหน่งใหญ่แต่มีปัญหามาจากที่อื่น ผู้บังคับบัญชาฝากให้ทำงานกับข้าพเจ้า  เพราะเธออยู่ที่ไหนไม่ได้ มาอยู่กับข้าพเจ้าก็ทำเรื่องร้ายๆ หลายเรื่อง  จนท้ายที่สุดเธอต้องวิ่งเต้นย้ายไปอยู่ต่างกรม

 

                 ต่อมาไม่นาน วันหนึ่งมีเพื่อนจากต่างจังหวัดมาหา พอคุยกันไปสักพัก เพื่อนก็พูดขึ้นว่า

"เอ๊ะ ตามที่เราคุยกับนายมาเนี่ย เราก็ไม่เห็นนายเป็นบ้าอะไรซักหน่อยนี่นา"

"อ้าว! ทำไมเหรอ ทำไมนายจึงนึกว่าเราบ้าล่ะ" ข้าพเจ้าถามด้วยความสงสัย

"ยายพัฒน์น่ะ เค้าบอกเราว่า  นายน่ะบ้าไปแล้ว ถึงกับถือศีลแปด  นุ่งขาวห่มขาว เค้าบอกเราว่า อย่าไปคบกับมันนะไอ้หวินน่ะ มันบ้าแล้วก็ให้เราช่วยบอกเพื่อนคนอื่นๆ ต่อๆ ไปด้วยว่า บ้า อย่าให้ใครไปหา"  เพื่อนอธิบายให้ข้าพเจ้าฟัง

 

                    ในระยะแรกเมื่อทำใจยังไม่ได้ ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เสียใจอยู่บ้างที่เพื่อนเข้าใจผิด คนที่ชื่อพัฒน์นั้นเคยเป็นเพื่อนที่ข้าพเจ้ารักและนับถือมาก  นิสัยใจคอก็ดีงาม ทำไมเห็นคนถือศีลเป็นคนบ้าไปได้   ต่อมาข้าพเจ้าก็คิดปลงใจว่า เราจะทำตัวของเราเป็นคนดีก็ตาม เป็นคนเลวก็ตาม เราก็เป็นเราอย่างที่เราเป็น เราไม่ได้เป็นตามปากของคนอื่น เราห้ามปากของเขา  ใจของเขาไม่ได้ เราห้ามได้แต่ใจของเรา เราก็ห้ามใจห้ามหูของเราเสีย  ไม่เอาคำพูดเหล่านั้นมาเป็นอารมณ์

 

                    เอามาเล่าไว้ในตัวอย่างนี้ เพื่อยืนยันให้เห็นว่า การอยากทำความดี ต้องควบคู่ด้วยการมีสติและปัญญา มิฉะนั้นจะมีความทุกข์ตามมามิใช่น้อย   อีกตัวอย่างหนึ่ง อยากทำความดีขนาดสร้างวัด จึงต้องทุกข์แทบตาย

 

                     สมัยเมื่อข้าพเจ้าเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ได้เคยเล่าให้ท่านฟังไว้แล้วในจากความทรงจำฉบับรวมเล่ม เล่มที่ ๓ เรื่อง ชื่อนั้นสำคัญจริงๆ ว่า ข้าพเจ้าเคยถูกเพื่อนชักชวนให้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์  ซึ่งเวลานั้นข้าพเจ้าก็สนใจตามเพื่อนไปด้วย จึงทำให้รู้สึกดูถูกดูหมิ่นศาสนา  ต่อมาเมื่อได้ฟังเทศน์จากพระเถระรูปหนึ่ง ซาบซึ้งในหลักพุทธธรรม  ใคร่ไถ่บาปตนเองด้วยการทำบุญใหญ่สักเรื่องหนึ่ง จึงได้คิดร่วมมือกับ
หมู่คณะสร้างวัดพระธรรมกายขึ้นมา ต้องการให้ผู้ที่เรียนจบปริญญาทางโลกและมีศรัทธา ในพระศาสนาช่วยกันเผยแผ่หลักธรรมต่อเยาวชนของชาติต่อต้านภัยจากลัทธิมิจฉาทิฏฐิดังกล่าว

 

                     ความคิดของข้าพเจ้าเองก็เพียงช่วยเหลือการสร้างวัดให้สำเร็จ  ไปตามกำลังความสามารถของตน เช่น ขวนขวายชักชวนผู้คนให้มาร่วมกันสร้าง ไม่ได้คิดว่าตนเองจะต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเผยแผ่สั่งสอนหลักธรรมเสียเองแต่อย่างใด  แต่แล้วเมื่อลงมือสร้างวัด ก็ได้มีเหตุการณ์ต่างๆ บีบบังคับ  ให้ต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด จนกระทั่งเพื่อนผู้หนึ่งได้ตักเตือนว่า

 

"ชั้นว่าคุณไปยุ่งกับเรื่องศาสนามากไปแล้วนะ รามือเสียเถอะ  ไม่งั้นครอบครัวเกิดเรื่องแน่ๆ แฟนคุณเขาคงไม่ทนอยู่กับคนเข้าวัด  ถือศีลปฏิบัติธรรมอะไรทำนองนี้หรอก เชื่อชั้นเถอะ เลิกซะ"

 

                     ทั้งที่รู้ว่าปัญหาในครอบครัวจะเกิดขึ้นแน่นอน แต่ข้าพเจ้าก็ต้องยอม แล้วในที่สุด ครอบครัวก็ต้องแตกแยก เป็นทุกข์สาหัสเท่านั้น  ยังไม่พอ ปัญหาในหน้าที่การงานก็เกิดตามมาเป็นทับทวี ข้าพเจ้าถูก
เข้าใจผิดตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่ไล่ลงมาถึงผู้น้อย เรียกกันว่าเกิดทุกข์ซับ  ทุกข์ซ้อน

 

                      มีความทุกข์มากเข้า ก็เกิดความอยากปฏิบัติธรรมให้ได้ผล จะได้เกิดปัญญาดับทุกข์ให้ลดลง แต่การปฏิบัติกลับไม่ให้ผลเร็วทันใจ ฯลฯ

 

                       ที่คุยมาให้ท่านผู้อ่านฟัง เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า ความอยากดูจะสร้างทุกข์ให้มากจริงๆ ไม่ว่าจะอยากอะไร อยากดีก็ทุกข์ อยากชั่วก็ทุกข์ แต่เป็นทุกข์ที่ให้ผลต่างกันมาก

 

                      อยากชั่ว เป็นทุกข์ตั้งแต่เริ่มลงมือคิด ลงมือกระทำ ตลอดจนกรรมให้ผล ทั้งชาตินี้ชาติหน้า คือทุกข์ตั้งแต่ต้นจนปลาย

 

                      อยากดี อาจจะมีทุกข์บ้างในตอนต้น แต่ให้ผลเป็นความสุขเป็นบุญ เป็นการสร้างบารมีในที่สุด มีผลดีที่เกินคุ้ม

 

                      ทีนี้ถ้าเราไม่อยากทั้งทำดีทำชั่ว จะเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือเปล่า ข้าพเจ้าคิดว่าคงไม่ถูกต้อง เพราะจะไม่มีโอกาสสร้างบารมีให้เป็นกำไรติดตัว เป็นการปล่อยให้ชีวิตสูญไปเปล่า การปล่อยให้เวลา
เสียไปโดย เราไม่ได้ทำประโยชน์ใดๆเลย เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก เพราะค่าของเวลานั้น เราประเมินไม่ได้ เวลาเพียงวินาทีเดียวเมื่อผ่านไปแล้ว  จะใช้เงินทองกี่พันล้านซื้อคืนมาก็ซื้อไม่ได้ 

 

                     การอยากทำความดีเพื่อสร้างบารมี เป็นเหมือนการเติมเชื้อเพลิงให้พลังแก่ชีวิต ให้ชีวิตเป็นอยู่อย่างมีสาระ ไม่ใช่ชีวิตเป็นหมันสูญเปล่าเสียชาติเกิด อาจจะมีความทุกข์เกิดขึ้นบ้างในระยะต้น แต่ถ้าสู้ด้วยกำลังใจ ทุกข์ก็จะลดน้อยถอยลง  และผลที่เกิดตามมาจะงดงามน่าชื่นใจในที่สุด   เหมือนเกษตรกร ก่อนจะได้รับผลิตผลจากพืชในนาไร่ ก็ต้องเหน็ดเหนื่อยด้วยการไถหว่านรดน้ำ  พรวนดินให้ปุ๋ยต้นไม้เหล่านั้นมาก่อน

 

                     ในความเห็นของข้าพเจ้า ถ้าแม้นเรายังไม่บรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์สิ้นกิเลสแล้ว จึงควรต้องใช้ตัณหาละตัณหา คือเอาความอยากทำดีชนะความอยากทำชั่ว เมื่อใดเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านจึงจะอยู่เหนือทั้งดีทั้งชั่ว หมดความอยากทุกชนิด   เหมือนคนที่พายเรือไปจนถึงฝั่งที่ต้องการ ก็ย่อมขึ้นจากเรือ เลิกพาย    ส่วนคนธรรมดาเป็นปุถุชนอย่างเราๆ จะอยู่อย่างเหนือดีเหนือชั่วหมดอยากอย่างนั้น จะกลายเป็นอยู่ด้วยโมหะ  เพราะชีวิตของเรากำลังอยู่ในเรือกลางทะเล ต้องรีบแจวรีบพายไปให้ถึงจุดหมาย อยู่นิ่งไม่ยอมแจวยอมพาย เรือก็มีแต่จะจมลงในที่สุด

 

 

Cr.อุบาสิกาถวิล วัติรางกูล

จากความทรงจำ เล่ม๔

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0085042834281921 Mins