กิเลส ๑๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘

วันที่ 10 เมย. พ.ศ.2563

กิเลส ๑๕๐๐ ตัณหา ๑๐๘

                  วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๓ มีชายหนุ่ม อายุราว ๒๕-๒๖ ปี คนหนึ่ง พาพี่สาว พี่ชายและบิดามาพบข้าพเจ้า เขาพูดว่า

"คุณป้าช่วยครอบครัวผมหน่อยเถอะครับ พี่ชายกับพี่สาวผม อะไรๆ ก็ดีหมด เสียอยู่แต่เรื่องชอบเล่นล็อตเตอรี่เป็นชีวิตจิตใจ อายุ คนละเกือบ ๔๐ แล้ว เป็นโสดทั้งคู่ งานการก็มีรายได้ดี ไม่รู้อยากได้เงิน ไปทำอะไรอีก งกเสียจริง ยิ่งคนนี้ พ่อผมเองครับ อายุปาเข้าไปเกือบ ๗๐ ปีแล้ว กลับเป็นหัวหน้าเล่นทั้งล็อตเตอรี่รัฐบาล เล่นทั้งหวยใต้ดิน ที่มีพิเศษหนักอีกเรื่องคือแก่ขนาดนี้แล้ว ยังชอบเรื่องผู้หญิง เดี๋ยวชอบ คนโน้น เดี๋ยวชอบคนนี้ แก่ขนาดนี้แล้ว ผู้หญิงที่ไหนมันจะมาจริงจังด้วย มันก็หลอก ให้ซื้อไอ้โน่นให้ ไอ้นี่ให้ พ่อผมก็ถูกต้มไปเยอะ..ผมห้ามเท่าไหร่ ไม่เคยเชื่อฟัง " พูดฟ้องชนิดใส่คะแนนไม่ทัน ชี้หน้าคนโน้น ชี้หน้าคนนี้ ไม่มีไว้หน้าให้เหลือเลย

 

                  ข้าพเจ้านั่งฟังชนิดอ้าปากค้าง ไม่รู้ใครเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นพ่อ เป็นลูกกันแน่ ลักษณะเหมือนชายหนุ่มคนนี้เป็นผู้ปกครองในบ้าน ทั้งพ่อและพี่ๆ ถูกน้องชายประจานให้ข้าพเจ้าฟังต่อหน้าคนอื่นๆ ตั้งสิบกว่าคนก็ไม่มีอาย กลับนั่งฟังหน้าตายิ้มแย้ม ไม่เห็นมีร่องรอยความทุกข์อะไร

                  ตรงข้ามกับคนที่มาขอให้ข้าพเจ้าช่วย หน้าตาเหมือนแบกทุกข์หนักไว้เต็มแปร้ ความอยากให้พ่อให้พี่ชายพี่สาวเป็นคนดี ทำทุกข์ให้เขามาก

                หลังจากข้าพเจ้าพูดอบรมโดยเน้นเรื่องการทำให้คุณภาพของจิตใจเสียหาย มีแต่ความโลภเป็นเจ้าเรือน และแจกแจงให้เห็นโทษของการพนันอย่างละเอียด ทุกคนดูเหมือนเข้าใจดี จะพยายามเล่นให้น้อยลง จนให้หมดความอยากเล่นให้ได้ 

                 มีแต่ผู้เป็นพ่อเท่านั้น ที่ฟังข้าพเจ้าเหมือนไม่รู้เรื่อง เพราะก่อนจะลาจากไปเขากลับถามข้าพเจ้าว่า
"แม่ชี งวดนี้หวยออกเลขอะไร"
                เสียงหัวเราะของคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ข้าพเจ้าดังคิกออกมาพร้อมกัน ข้าพเจ้าหน้าแตกทีเดียว อุตส่าห์สอนตั้งร่วมครึ่งชั่วโมง ยิ่งกว่าตักน้ำรดหัวตอเสียอีก

                พอได้ยินเสียงคนหัวเราะ ท่านผู้เฒ่าที่เล่าถึงก็หันหน้าไปมองคนนั้นคนนี้ ทำสายตากรุ้มกริ่มแล้วก็เดินจากไป
 

                ข้าพเจ้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลักษณะของชายชราผู้นี้ทำให้ ข้าพเจ้าหวนนึกย้อนไปถึงลุงของตนเอง ซึ่งมีท่าทางและสายตาแบบเดียวกันไม่มีผิด

               ครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าไปพบลุงก่อนตายเพียงเดือนเดียว  ท่านก็มีลักษณะอย่างนี้ คือแม้จะอายุถึง ๗๕ ปี ดวงตาขุ่นเป็นฝ้าสีเหมือนน้ำข้าว แต่ก็ยังทำสายตากรุ้มกริ่มมองภรรยาคนสุดท้ายอายุเพียง ๓๖ ปี
ของท่านในทำนองเดียวกัน


               สายตาที่ข้าพเจ้าเห็นครั้งนั้น จนเวลานี้ห่างกันถึง ๑๘ ปีแล้ว ยังจำได้ไม่มีลืม มันเป็นสายตาที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเกลียดอารมณ์ของ "ตัณหา" อย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะอารมณ์ของกามตัณหา อายุมาก ปูนนั้น หมอก็บอกว่าเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายแล้ว อีกไม่ถึงเดือนก็จะต้องตาย


               ดูเอาเถอะ ยังไม่คิดปลงเสียบ้างเลยว่าใกล้ตายแล้ว ควรทำจิตใจให้เป็นกุศลอย่างไรจึงจะดี ในใจกลับหมกมุ่นเก็บเอาเรื่องกามไว้เต็มเปี่ยม

               ข้าพเจ้าหวังจะไปช่วยให้สติ ฝึกให้เจริญภาวนาเป็นบุญติดตัวก่อนตายไปบ้าง เห็นลักษณะอาการแล้วหมดหนทาง ช่างสมดังคำที่บิดาของข้าพเจ้าห้ามเสียจริง ท่านห้ามว่า

"หนูใหญ่เอ๊ย.. พ่อว่าอย่าไปเลย เสียเวลาเปล่า เจ้าพี่ชายแม่ของลูกน่ะ ชีวิตนี้เค้าไม่เคยรู้เรื่องบุญกุศลหรอก ขี้เมาตลอดชีวิต ตอนนี้พอหมอให้เลิกกินเหล้า ก็มามีเมียเด็ก แถมยังยุให้พ่อมีเหมือนเค้าด้วยนะ แล้วก็หลงเด็กคนนั้นเสียหัวปักหัวปรำสมบัติอะไรก็ยกให้เด็กนั่นหมด  ลูกจะคิดไปชวนให้ช่วยลูกสร้างวัด พ่อว่าไม่มีทางได้ซักบาทหรอก"

               พ่อห้ามข้าพเจ้าไม่ให้ไปเยี่ยมลุง ขณะนั้นเป็นปี ๒๕๑๕ หมู่คณะของเรากำลังเริ่มลงมือสร้างวัด ข้าพเจ้าเห็นว่าลุงเป็นคนรวยที่สุดในตำบลที่ท่านอยู่ ภรรยาคนแรกตายไป ๓-๔ ปีแล้ว ไม่มีลูกเลยสักคนเดียว

               ข้าพเจ้าก็ใคร่ชวนให้ลุงใช้สมบัติของท่านมาช่วยข้าพเจ้าสร้างวัด ลุงและข้าพเจ้าก็คงได้บุญมาก

               ข้าพเจ้าลืมคิดไปว่าลุงของข้าพเจ้ามีอาชีพไม่บริสุทธิ์นัก ให้เงินคนกู้เอาดอกเบี้ยแพงๆ ใครไม่มีใช้คืนให้ก็ริบของค้ำประกัน ทำอยู่อาชีพเดียวจนตลอดชีวิต นับเป็นเวลา ๕๐ กว่าปี จึงร่ำรวยมาก เงินที่ลุงมีอยู่
จึงเป็นเงินจากความทุกข์ยากของผู้คน จากความจำใจจำยอม เพราะสมัยนั้นไม่มีธนาคารให้ชาวนากู้ยืมได้อย่างปัจจุบัน คน ๒-๓ ตำบลนั้น  จึงมากู้ที่ลุงคนเดียว

               เงินจากบาปจากอกุศลนั้น ยากนักที่จะบันดาลใจให้คิดทำกุศล  ยิ่งได้มายากลำบากเพราะต้องเดินเก็บดอกเบี้ยตากแดดตากฝนไปเดือนละหลายๆ ครั้ง ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งตระหนี่


               ลูกหนี้คนหนึ่งอยู่ที่อำเภอเมือง เป็นคนฉลาดมีเล่ห์เหลี่ยม เป็นหนี้ลุงอยู่ ๓ พันบาท( สมัยทองคำราคาบาทละ ๓๐๐ บาท) จึงพาสตรีอายุ ๓๖ ปี อ่อนกว่าอายุของข้าพเจ้าเสียอีก เป็นคนที่เขาเลี้ยงไว้ในบ้าน
ตั้งแต่เด็ก มาออกปากยกให้ลุง ขอให้คนแทนเงินที่เป็นหนี้ ลุงก็เต็มใจเป็นอย่างดี เพราะอยากมีเมียสาว ถือว่าโก้มาก ผู้หญิงคนนั้นชื่อ "ทวี"


               นางทวีเป็นคนฉลาด ปรนนิบัติลุงข้าพเจ้าเป็นอย่างดีที่สุด เมื่อเห็นคนแก่หลงใหลเต็มที่แล้ว ก็ขอให้พานางไปจดทะเบียนสมรส เพราะหวังในทรัพย์สมบัติของลุงข้าพเจ้า ลุงของข้าพเจ้ายินดีทำให้ทุกประการ

               เมื่อข้าพเจ้าชวนลุงทำบุญ จึงได้ยินแต่คำปฏิเสธว่า

"ลุงไม่อยากทำหรอกบุญน่ะ เสียดายเงิน"

"ลุงไม่ทำบุญ ตายแล้วจะมีอะไรติดตัวไปเล่าคะ ทำซักนิด ซักหน่อยก็ยังดี ลุงมีเงินออกเยอะแยะ"

               ข้าพเจ้าอ้อนวอน พร้อมทั้งบอกให้ภรรยาสาวของลุงช่วยพูดบ้าง ไม่ช่วยข้าพเจ้าสร้างวัดก็ไม่เป็นไร แต่วัดที่ข้างบ้านลุงกำลังจะหล่อรูปปั้นพระโมคคัลลาน์พระสารีบุตร ลุงน่าจะร่วมทำบุญด้วยบ้าง  นางทวีช่วยข้าพเจ้าพูดอย่างเสียไม่ได้ แต่ลุงก็ยังปฏิเสธ ข้าพเจ้าก็ว่า

"เงินตั้งเยอะแยะ ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ลุงไม่เสียดายเหรอคะ " เสียงลุงตอบข้าพเจ้าว่า

"ไม่เสียดายหรอก ลุงตายแล้วก็ให้คนนี้เค้าเป็นเจ้าของใช้จ่ายต่อไป " แล้วก็หันไปส่งสายตาสีน้ำข้าวยิ้มหวานให้ภรรยา

 

              ข้าพเจ้าจดจำความน่าเกลียดในกิริยานั้นมาเล่าให้บิดาฟัง
"พ่อว่าแล้ว ห้ามลูกก็ไม่เชื่อ กามตัณหาน่ะอำนาจมันมากขนาดนั้นนะ ยอมรักคนอื่นมากกว่าตนเอง เห็นมั้ย อุตส่าห์ไปชวนเค้าทำบุญ สตางค์เดียวก็ไม่ได้ " พ่อข้าพเจ้าพูดพร้อมกับหัวเราะขำ

              เรื่องกิเลส เรื่องตัณหาเหล่านี้ ไม่ว่าคนเราจะมีอายุมากขึ้นเท่าไร  ถ้าไม่รู้จักขัดเกลาจิตใจตนแล้ว กิเลส ตัณหามีแต่จะพอกพูนขึ้นสมกับคำที่กล่าวกันติดปากว่า กิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด มันมีจำนวนมากจริงๆขนาดนั้นทีเดียว

               กิเลส ๑๕๐๐ มาจากไหนกันบ้าง เขาก็เอามาจากต้นเรื่องหรือ สถานที่ที่ทำให้กิเลสเกิด โดยวิธีคิดดังนี้

คนเรามีจิต ก็คิดเป็น ๑ อย่าง
มีเจตสิก คือ เครื่องปรุงแต่งจิตอีก ๕๒ อย่าง
มีรูปปรมัตถ์ตามพระอภิธรรมที่เป็นรูปปรมัตถ์แท้ เช่น ดิน น้ำ ไฟ ลม ประสาทต่างๆ ฯลฯ อีก ๑๘ รูป
มีลักขณรูป คือเป็นอาการของรูปแท้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่สืบต่อกัน แก่ และตาย อีก ๔ รวมเป็น ๗๕
ของทั้ง ๗๕ อย่างนี้มีทั้งที่เกิดอยู่ภายในตัวเรา และภายนอกตัวเรา (เช่นผู้อื่น) นับภายใน ๑ ภายนอก ๑ มีอย่างละ ๗๕ เท่ากัน จึงรวมเป็น ๑๕๐

ทีนี้กิเลส ชนิดต่างๆ มีอยู่ ๑๐ ชนิด ที่จะเกิดขึ้นได้ในที่ ๑๕๐ แห่ง
นั้น กิเลสเหล่านั้นคือ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ ๑๕๐ คูณด้วย ๑๐ จึงเป็นกิเลส ๑๕๐๐

โลภะ ความอยากได้ในกามคุณอารมณ์
โทสะ ความโกรธ ความประทุษร้าย
โมหะ ความไม่รู้ตามความเป็นจริง ขาดปัญญา โง่เขลา
มานะ ความเย่อหยิ่งถือตัว ว่าดีกว่าเขา ต่ำกว่าเขา หรือเสมอเขา
ทิฏฐิ ความคิดเห็นผิด
วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย เคลือบแคลงในกุศลธรรมทั้งหลาย
ถีนะ ความหดหู่ ความท้อแท้ใจ
อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน จิตส่าย ใจวอกแวก
อหิริกะ ความไม่ละอายแก่ใจ ไม่ละอายต่อความชั่ว
อโนตตัปปะ ความไม่กลัวบาป ไม่เกรงกลัวต่อทุจริต

 

พอพูดถึงตัณหา ที่เรารู้จักกันว่ามีแค่ ๓ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา 
แต่ถ้ากล่าวว่าตัณหามีถึง ๑๐๘ อย่างก็ถูกต้อง วิธีคิดมีดังนี้

ตัณหาหลักมี ๓ อย่าง กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
เกิดขึ้นทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ รวม ๖ ทาง คูณกันนับเป็น ๑๘
เกิดขึ้นภายในตัวเรา ๑๘ เกิดภายนอกตัวเรา (เช่นที่คนอื่น) ๑๘ รวม  เป็น ๓๖

ทีนี้เวลาที่ตัณหาเกิดมีเป็น ๓ ระยะ อดีต ปัจจุบัน อนาคต อย่างละ ๓๖ รวม ๑๐๘


                    ลุงของข้าพเจ้ามีทั้งกิเลส มีทั้งตัณหา มีโมหะนำหน้า ตายแล้ว จึงเป็นเปรตอยู่จนทุกวันนี้ (เล่าไว้ในจากความทรงจำฉบับรวมเล่ม เล่ม ๑  เรื่องเปรตลุงหลิน)


                    ข้าพเจ้าจะเล่าตัณหาของนางทวี แม่ม่ายสาวต่อไป นางได้สมบัติจากลุงข้าพเจ้าหมดทุกอย่าง ทั้งเครื่องทอง เงินสด ที่ไร่ที่นาภายในเวลาไม่ถึงปี ข้าพเจ้าไม่ได้ไปเยี่ยมป้าสะใภ้คนนี้ เพราะยังนึกรังเกียจไม่หายว่า  ความอยากของนางมากเกินไป กระทั่งลงทุนแต่งงานกับคนแก่ใกล้ตาย ที่มีรูปร่างน่าเกลียด สกปรกและมีกลิ่นเน่าออกมาจากข้างในได้ลง และ ที่ไม่ชอบใจที่สุดคือสิ่งใดที่รับปากกับหมู่ญาติไว้ว่าจะทำบุญให้ผู้ตาย นางก็พลิกเฉยละเลยไม่ทำตามสัญญา


                    วันหนึ่งข้าพเจ้าเจอญาติซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้นางทวี ได้เล่าให้ข้าพเจ้า ฟังว่า

"ยายทวีเค้าเป็นเศรษฐีใหญ่ สมใจอยากของเค้าแล้ว แต่ไม่ยักฉลาด ไปฟ้องขับไล่ที่ดินที่ลุงแกแบ่งให้หลานๆ ปลูกบ้านอยู่ ก็หลานพวกนั้นเคยดูแลช่วยเหลือลุงมาตั้งแต่พวกเค้าเป็นเด็กตัวเล็กๆ จนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่มีเหย้ามีเรือน ที่ดินพวกนั้นก็มีราคานิดหน่อย แล้วก็เป็นที่มรดกของปู่ย่าตายายที่ลุงแกโกงเอาไปจากพี่ๆ น้องๆ นั่นแหละ ของแม่หนูหวิน ก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ยายทวีแกไม่คิดมั่งว่าเค้าอยู่กันมาเก่าแก่มาเอาอำนาจศาลบีบบังคับ ตัวเองก็ตัวคนเดียว น่าจะแสดงความเอื้อเฟื้อ ผูกน้ำใจหลานๆ ของคนตาย ให้เด็กๆ มันรัก จะได้มีคนช่วยเหลือดูแลทรัพย์สมบัติ นี่อะไรมาก่อศัตรู"

"อ้าว ทำไมเป็นอย่างนั้นไป เห็นตอนลุงมีชีวิตอยู่ก็ยังดีกับหลานๆ เค้าไม่กลัวไม่มีเพื่อนมั่งรึไง " ข้าพเจ้าถาม

"เขาจะกลัวไปทำไม ก็เค้ามีเพื่อนในวงไพ่เยอะแยะ "

"ตายจริง ไปเล่นกันที่บ่อนไหนเล่า " ข้าพเจ้าอุทานด้วยความประหลาดใจ นึกไม่ถึงเลยว่าเงินที่ไม่บริสุทธิ์นั้นมักมีอันวิบัติไปได้รวดเร็ว

"ก็เล่นกันที่บ่อนหมู่บ้านท่าเสานั่นแหละ ถูกเพื่อนฝูงในบ่อนมันยุ เลยมาเค็มใส่พวกหลานๆ " คนเล่าก็เล่าต่อไปยืดยาว 


                         ข้าพเจ้านึกถึงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราตอนหนึ่งที่ตรัสว่า แม่น้ำเสมอ
ด้วยตัณหาไม่มี หมายถึงความอยากของมนุษย์นั้น มันมีมากไม่รู้จบสิ้น


                        นางทวีอยากได้ทรัพย์สมบัติของลุงข้าพเจ้า ถึงกับยอมตนปรนนิบัติ  ได้สมบัติดังใจ นั่งกินนอนกินไปทั้งชีวิตก็ยังไม่หมด แต่ก็ยังอยากรวยให้มากขึ้นไปอีก จึงไปเล่นการพนัน ตัวเองไม่เคยเล่นมาก่อน ไม่ช้าคงจะถูกโกงจนหมดส่วนพวกนักพนันที่บ่อนแห่งนั้น พวกเขาก็คงจะจ้องกันอยู่แล้ว คิดจะฮุบสมบัติของนางทวีต่อไปให้ได้ จึงให้คนมาเอาอกเอาใจ แล้วชักชวนไปเล่น 


                        เล่นตอนแรกๆ นักเลงพวกนั้นก็คงแกล้งให้นางทวีชนะรวยอยู่เสมอให้ตายใจ ต่อไปก็จะเริ่มเสียการพนันเพราะถูกโกงเป็นแน่

                       จริงเหมือนที่ข้าพเจ้าคาดคะเนไว้ไม่มีผิด ต่อมาได้ทราบข่าวว่า  นางทวีเล่นเสียเป็นแสนๆ ยิ่งเล่นเสีย ก็ยิ่งกลายเป็นคนใจคอคับแคบ และพาลมากขึ้น เคยให้สัญญาผ่อนผันให้หลานๆ ของสามีย้ายบ้านออก  จากที่ในตอนฤดูแล้ง ก็เคี่ยวเข็ญให้ย้ายภายในเวลาฤดูฝน ๕ วัน ๑๐ วัน  นั้นเอง เมื่อหลานขอร้องก็ไม่ฟังเสียง เกิดการทะเลาะวิวาทด่าทอกันวุ่นวาย


                       แล้ววันหนึ่งเป็นเวลาปิดภาคเรียน ข้าพเจ้าได้หยุดพักผ่อน(ปีนั้นยังไม่ได้ลาออกจากราชการ) บิดาให้ขับรถพาท่านไปบ้านป้าคนหนึ่ง ของข้าพเจ้าเพื่อเก็บค่าเช่านาซึ่งลูกของเขาเช่าที่นาบิดาข้าพเจ้าทำ


                       พี่ชายของคนเช่านาเป็นคนอาศัยอยู่ในที่ดินที่นางทวีฟ้องขับไล่  และต้องรื้อถอนบ้านเรือนออกไป เขาเป็นคนที่น่าเห็นใจที่สุด เคยดูแลเอาใจใส่ลุงผู้ตายมาตลอดตั้งแต่ยังเป็นเด็ก รับใช้เหมือนเป็นลูกชายของลุง ใครๆ ก็คิดกันว่าลุงคงยกสมบัติให้พี่ชายคนนี้ แม้เมื่อลุงแต่งงานใหม่ก็ยังพากันหวังว่า ไม่ได้สมบัติทั้งหมด ก็คงได้เป็นบางส่วน แต่ลุงก็ลืมหลานที่เคยรักเสียสนิท


                        ใครก็คงเดาความรู้สึกของผู้เป็นหลานชายออก เขาไม่ใช่นักบวชบำเพ็ญบารมี เขาเป็นคนครองเรือนมีภรรยาและลูกหลายคนมีความหวังในทรัพย์ของลุงมาแต่เล็ก ญาติๆ ก็พูดให้คิด แม้ลุงก็ออกปากไว้ว่าสมบัติไม่ไปไหน คงจะตกกับหลานคนนี้


                      แต่เมื่อตัณหาครอบงำใจผู้เป็นลุง ความหวังทั้งหมดของหลานชายก็อันตรธานไปสิ้น แต่ตัณหาของหลานที่มีต่อทรัพย์สมบัติของลุงไม่ได้อันตรธานไปไหน เมื่อไม่ได้ดังหวัง ตัณหานั้นก็กลายเป็นแรงแค้น ยิ่งถูกขับไล่ให้ออกจากที่ดินอยู่มาเป็นสิบๆ ปี ใครก็คงเดาใจเขาออก


                      เวลานั้นญาติๆ ทุกคนเราทั้งข้าพเจ้าด้วย รู้สึกเห็นใจเป็นที่สุด  วันที่ข้าพเจ้าบิดาไปเก็บค่าเช่านา ข้าพเจ้าพาท่านไปที่บ้านพ่อแม่ของหลานชายคนดังกล่าว ซึ่งเป็นป้าและลุงเขยของข้าพเจ้า


                       ขณะไปถึง บิดาของข้าพเจ้ายังไม่ทันขึ้นไปบนบ้าน ข้าพเจ้าขึ้นไปก่อน  ได้เห็นลุงเขยซึ่งมีอายุเกือบ ๘๐ ปีแล้ว นั่งคุยอยู่กับผู้ชายแปลกหน้า ๒ คน


                       ข้าพเจ้าไม่ทันมองว่าลุงกำลังคุยอยู่กับแขกส่งเสียงเรียกหาป้า ล้งเล้งลั่นบ้าน เพราะไม่ได้พบกันเสียนานหลายปี


"ป้าจ๋า ป้าอยู่ไหน หนูใหญ่มาจ้ะป้า หนูซื้อลำไยของโปรดของป้ามาฝากด้วย นี่นะกะโหลกเบี้ยวสีชมพูหวานกรอบเม็ดเล็กนิดเดียวจ้ะป้าจ๋าอยู่ที่ไหน"

ข้าพเจ้าไปเยี่ยมญาติหรือใครๆ ก็ตาม มักจะมีของฝากติดมือไปด้วยเสมอ เพราะเป็นเครื่องผูกไมตรีอย่างดี

 

                       พอสุดขั้นบันไดมองไปที่ห้องรับแขก ข้าพเจ้าเห็นสายตาของผู้ชายซึ่งคุยเสียงเบามากกับลุง คุยกันเหมือนกระซิบ ข้าพเจ้ารู้สึกเย็นเยือกเข้าไปในใจ ใบหน้าของชายสองคนนั้นเฉยเมยเหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ แววตาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มันเย็นชาเหมือนไร้ความรู้สึก 


                     ที่สำคัญคือพอเขาเห็นข้าพเจ้า เขารีบลุกขึ้นยืน กล่าวลาลุงเขยของข้าพเจ้าทันที โดยพูดเป็น
คำสุดท้ายที่ข้าพเจ้าจำได้แม่นว่า "เอาตามที่ตกลงกันนะ" ข้าพเจ้าเห็นลุงเขยพยักหน้าเงียบๆ ไม่กล่าวคำอะไรออกมา คนทั้งสองเดินลงบันไดสวนกับบิดาข้าพเจ้า ก็ไม่แสดงกิริยายิ้มแย้มอะไร คงทำหน้าตายอย่างที่ข้าพเจ้าเห็นตอนแรก


                      เมื่อเก็บค่าเช่านาเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าขับรถพาบิดากลับบ้าน ถามท่านว่า

"พ่อคะ เห็นผู้ชายสองคนที่เดินสวนกับพ่อตอนขึ้นบันได ที่บ้านป้ารึเปล่าค่ะ"

                     เมื่อบิดารับคำ ข้าพเจ้าก็ถามท่านอีกว่า

"พ่อรู้จักคนทั้งคู่นี้หรือเปล่าคะ เป็นคนบ้านไหนกัน หนูว่าไม่ใช่คนแถวนั้นนะคะ และต้องไม่ใช่คนทำไร่ไถนากินด้วย รูปร่างไม่บอกว่าเป็นชาวนาเลย หนูเดาไม่ออกว่าเค้ามีอาชีพอะไร ปกติแล้วหนูมักจะมองคน ได้ถูกเสมอว่า เป็นคนทำอาชีพอะไร นิสัยยังไง แต่รายสองคนนี้ หนูรู้สึกว่าเค้าน่ากลัว ไม่น่าคบด้วยเลย ไม่รู้ลุงไปคบกับคนสองคนนี่เรื่องอะไรกัน ดวงตาของเค้ามันมองแล้วเย็นเยือกเข้าไปในใจทีเดียวค่ะ มันเย็นชาทื่อๆ
ไม่มีอารมณ์ เหมือนคนไร้หัวใจนะคะ"

                     บิดาปฏิเสธว่าท่านไม่รู้จัก และไม่ทันได้สังเกตถี่ถ้วนเหมือนข้าพเจ้า

ท่านว่า "พ่อก็ไม่ทันสังเกต เห็นเขารีบร้อนไป พ่อก็รีบหลีกทางให้ แต่ไม่ใช่คนใน ๓-๔ ตำบลนี้แน่ๆ เพราะพ่อเป็นครูอยู่เกือบ ๕๐ ปี ย้ายไปโรงเรียนโน้นโรงเรียนนี้ทุกตำบล พ่อรู้จักทุกบ้าน ลูกใครหลานใคร อายุขนาดคนสองคนนี่ พ่อต้องรู้จัก นี่พ่อไม่เคยเห็นหน้าเลย"


                      เมื่อบิดาบอกว่าไม่รู้จัก ข้าพเจ้าก็เลิกสนใจ อีกสองสัปดาห์  ต่อมาข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมบิดาตามปกติ ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า

"หนูใหญ่เอ๊ย นางทวีมันถูกมือปืนยิงตายซะแล้ว พ่อยังไปงานศพเค้าเลย"

"อ้าว รวยอยู่ได้ไม่พ้นปี บ้านเค้าก็มีรั้วรอบขอบชิด ไม่รับแขกง่ายๆ มือปืนมันยิงตอนไหนกันคะ"

"ตอนกลางคืน มันมาเรียกชื่อ แล้วก็บอกว่ามันเป็นพ่อของเด็กผู้หญิงที่อยู่กับนางทวีนั่นแหละ บอกว่าจะขอเยี่ยมลูกซักหน่อย คนมันถึงคราวชะตาขาด ไม่ได้ให้เด็กไปดูว่าใช่พ่อรึเปล่า ตัวเองกลับเดินไปที่ประตูเสียเอง พอเปิดออกมา เห็นว่าไม่ใช่คนรู้จัก แถมมันยกปืนลูกซองขึ้นยิง นางทวีก็ร้องลั่นบ้านให้คนช่วย ได้ยินกันทั่วหมู่บ้าน แต่ใครเค้าจะกล้าออกไปช่วยล่ะลูก ก็ไม่มีใครมีปืนกันซักบ้านแถวนั้นน่ะ ต่างคนต่างก็หลบเงียบ มันยิงดังลั่นสองนัด  คนหนึ่งก็พูดกับอีกคนว่า "เฮ้ย ยังไม่ตายโว้ย เอาอีกนัดรึไง"  เสียงอีกคนตอบว่า "เอาด้ามปืนก็ได้ ซัดหัวให้เละ ไม่รอดหรอก" คนแถวนั้นก็ได้ยิน มันเอาด้ามปืนทุบหัว ดังโพละ ๒-๓ ที  ตายสนิท แล้วมันก็เดินออกไปขี่มอเตอร์ไซค์ที่จอดซุ่มไว้ข้างทาง"

 

"ตำรวจเค้าสงสัยใครคะพ่อ " ข้าพเจ้าถาม

 

                    ในใจก็ให้นึกถึงชายที่เห็นในบ้านของลุงเขย ซึ่งมีสองคนเท่ามือปืนเสียด้วย แต่ใครเล่าจะสงสัยลุงได้ลงคอ คนอายุจะ ๘๐ ปี เจ็บป่วยออดแอดอยู่แต่กับบ้าน ไปไหนก็ไม่ไหว ใครสงสัยได้ก็ใจร้ายเกินไป

"ตำรวจจับมือปืนไม่ได้นี่ลูก เค้าก็เดาสุ่มจับผิด..ไป " บิดาของข้าพเจ้าออกชื่อลูกของลุงเขย ซึ่งเคยเป็นคนใกล้ชิดกับลุงผู้ตายของข้าพเจ้า


                  เมื่อข้าพเจ้าซักถามพ่อต่อไป ก็ได้เรื่องราวว่า แม้จับไปได้ ตำรวจก็เอาผิดไม่ได้ เพราะเวลาเกิดเหตุ จำเลยไปช่วยทำงานอยู่ในวัด พระทั้งวัดเป็นพยานให้หมดทุกรูป ฟังพ่อเล่าแล้วข้าพเจ้าก็รู้สึกสงสัยตะหงิดๆ ขึ้นมาในใจ ปกติพี่ทิดคนนี้ก็ไม่ใคร่ไปยุ่งอะไรกับทางวัดนักหนา

                 แต่ก่อนเกิดเหตุไปในวัดได้ทุกคืน ติดต่อกันถึง ๓-๔ คืน  เอาผิดไม่ได้ ตำรวจก็มาจับหลานอีกคนหนึ่งไป เป็นเด็กวัยรุ่น ซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย ที่สุดต้องหาพยานไปยืนยันต่อทางศาลว่าในเวลาเกิดเหตุดูโทรทัศน์กันอยู่ในที่อีกแห่งหนึ่ง

              ฟังพ่อเล่าเรื่องแล้ว ข้าพเจ้าสลดหดหู่ใจพูดไม่ถูก ตัณหาความทะยานอยากได้ในทรัพย์ของผู้อื่น 

พี่ทิด..นั่นอยากได้ทรัพย์ของลุง

นางทวีก็อยากได้ นางทวีทำสำเร็จ ..

แต่นางทวีไม่รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว กลับบีบคั้นผู้อื่นให้กลายเป็นความแค้นเคือง 

ฝ่ายนั้นอาจมีตัณหาอยากกำจัด 

มือปืนมีตัณหาในเงินค่าจ้างอยู่แล้วก็รับจ้างฆ่าทันที 

นางทวีก็ตาย..

เรื่องมรดกก็ถูกฝ่ายพี่น้องของนางทวีฟ้องแย่งกันเอง 

ระหว่างพี่สาวแท้ๆกับคนที่เลี้ยงนางทวีมาและเอามาขายให้ลุงเศรษฐีของข้าพเจ้า เป็นความกันอยู่หลายปี 

ขณะเดียวกันก็มีการจ้างมือปืนจะล้างแค้นกันกับคนที่สงสัยคนอื่นๆ ลูกหลานของลุงบางรายต้องย้ายไปอยู่จังหวัดไกลๆชั่วคราว 

พี่ทิด..คนนั้นแม้จะรอดจากมือกฎหมาย แต่ไม่มีทางรอดจากความสงสัยของชาวบ้าน ผู้คนเคยให้ความเคารพนับถือว่าเป็นคนดี เป็นทั้งผู้หลักและผู้ใหญ่ อยากจะตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านเป็นกำนัน ก็ไม่มีใครนิยมอีกต่อไป อยู่อย่างเป็นทุกข์กันทั้งครอบครัว 

ในที่สุดลุงเขยของข้าพเจ้าก็ล้มเจ็บหนักและตายไป

ตัณหาพาฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายเสียชื่อเสียง..

 

                  ทรัพย์สมบัติเป็นกามชนิดหนึ่ง ตัณหาในทรัพย์เป็นรูปตัณหา ย่อมพาทุกข์มาให้สมดังคำตรัสสอนของพระบรมศาสดาว่า

นัตถิ กามา ปะรัง ทุกขัง   ทุกข์อื่นยิ่งกว่าทุกข์เพราะกามไม่มี

กาเมหิ โลกัมหิ นะ อัตถิ ติตติ   ความอิ่มด้วยกามทั้งหลายไม่มีในโลก

นะ กะหาปะณะวัสเสนะ ติตติ กาเมสุ วิชชะติ   ความอิ่มในกามทั้งหลาย ย่อมไม่มี เพราะฝนคือกหาปนะ (หมายถึงว่า ต่อให้ฝนตกลงมาเป็นเงินเป็นทอง คนเราก็ไม่รู้จักพอ) 

 

แม้เราจะรู้ดีว่า ตัณหาเป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมเลิกมีตัณหา

 

อิจฉา โลกัสะมิ ทุชชะหา    ความอยากละได้ยากในโลก

อิจฉา หิ อะนันตะโคจะรา    ความอยากมีอารมณ์หาที่สุดมิได้เลย  (หมายถึงอยากอย่างโน้นแล้วก็อยากอย่างนั้น อยากอย่างนี้เรื่อยไปไม่รู้จบ)

จากพุทธภาษิต
  

Cr.อุบาสิกาถวิล วัติรางกูล

จากความทรงจำ เล่ม๔

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0012127995491028 Mins