จักรวาล

วันที่ 16 สค. พ.ศ.2565

16-8-65-3-bbr.jpg

บทที่ ๒ จักรวาล

            ดังได้กล่าวแล้วว่า ผู้ฝึกฝนจิตจนมีคุณภาพยอดเยี่ยม ย่อมสามารถพบความรู้ที่แท้จริงทุกชนิด ได้ที่ศูนย์กลางกาย ซึ่งความรู้เหล่านี้เป็นความรู้เฉพาะตน เมื่อใดต้องการให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นให้ทั้งหมด คงให้เฉพาะที่จำเป็น เฉพาะที่เป็นประโยชน์โดยแท้เท่านั้น เช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในยุคของเราคือพระสมณโคดม พระองค์ตรัสรู้ คือมีความรู้ถึงที่สุด ในทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เมื่อทรงสั่งสอนมนุษย์ ก็ทรงใช้เพียงเรื่อง อริยสัจ ๔ เป็นหลัก

            ผู้ใดปฏิบัติตามคำสอนเพียงเท่านี้ ก็ถือว่าได้ประโยชน์สูงสุด เลิกเวียนว่ายตายเกิดโดยสิ้นเชิงแล้ว ความรู้อื่นๆ ที่นอกเหนือมากมาย ไม่ใช่สิ่งจำเป็น ไม่ต้องรู้ให้เสียเวลา

           เหมือนเด็กเล็กๆ ที่หิวอาหาร มารดาบอกให้ทราบแต่เพียงว่า อาหารของเด็กอยู่ในจานที่วางให้นี้พอแล้ว เด็กตักอาหารใส่ปากเคี้ยว กินแล้วก็อิ่มหายหิว เป็นที่พอใจของตนเองและคนเลี้ยง เด็กไม่จำเป็นต้องรู้ว่า มารดาซื้อของนั้นมาจากที่ไหน คนขายไปนำของเหล่านั้นมาขายได้อย่างไร รู้ไปจนกระทั่งของเหล่านั้นเกิดขึ้นจากอะไร ซึ่งเป็นเรื่องไม่เป็นประโยชน์โดยตรงต่อทั้งแม่และเด็ก

           เช่นเดียวกับคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เมื่อดูจากคำสอนของพระองค์เท่าที่มีเหลืออยู่ในปัจจุบัน คัมภีร์สำคัญๆ เช่นพระไตรปิฎก เมื่อศึกษาให้ถี่ถ้วนจะพบว่า เป็นคำสอนสำหรับใช้ในชีวิตของทุกคน เพื่อให้ได้บรรลุเป้าหมายเท่านั้น ไม่มีคำสอนเหลือเฟือหรือที่เป็นส่วนเกินความจำเป็นแต่ประการใด

          ตัวอย่างเช่น มนุษย์เราอยู่ในโลก พระบรมศาสดาจะทรงสอนแต่ว่า โลกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล จักรวาลเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และพินาศอย่างไร เราสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในจักรวาลด้วยวิธีใด ไม่ทรงสอนถึงขนาดว่า จักรวาลแรกใครสร้างมนุษย์คนแรกคือใคร มาจากไหน ทั้งที่พระองค์ทรงทราบถี่ถ้วนทุกประการ

           ในปัจจุบันนี้ เมื่อฝึกจิตตามวิธีที่กล่าวแล้ว คือหยุดลงไปในศูนย์กลางกาย เมื่อหยุดได้สนิทเต็มที่ ความรู้ที่เกินความจำเป็นเหล่านั้นก็เกิดให้รู้เห็นได้หมดทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ต้องการรู้ ดังนั้นใครก็ตามต้องการความรู้อื่นๆ เกินกว่าที่พระบรมศาสดาประทานไว้ ก็สามารถค้นคว้าต่อเอาเองได้ โดยปฏิบัติให้กายและจิตเดินอยู่ทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทาเรื่อยไป เมื่อญาณทัสสนะเกิดก็จะสิ้นความสงสัยในทุกเรื่องที่ต้องการทราบ

            ต่อจากนี้ จะเล่าไว้เฉพาะเรื่องที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนไว้เท่าที่พระองค์ ทรงเห็นว่าเพียงพอต่อความจําเป็น ที่มนุษย์ควรทราบคือ

๑. เรื่องของจักรวาล อันเป็นกรงขังใหญ่ของบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย

๒. คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ปฏิบัติตามแล้ว สามารถหลุดออกจากกรงขังได้

๓. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันมีความเป็นมาอย่างไร และ

๔. อดีตชาติบางชาติที่ควรทราบของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมณโคดม

เรื่องของจักรวาล อันเป็นกรงขังใหญ่ของบรรดาสรรพสัตว์

            เมื่อยานอวกาศของมนุษย์เดินทางออกไปนอกโลก ถ่ายภาพโลกของเรากลับลงมาให้เห็น ภาพของโลกก็คือดาวดวงหนึ่งในจักรวาลอันกว้างใหญ่ มีลักษณะกลมรอบตัว เหมือนดวงดาวอื่นๆ รวมทั้งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ที่รู้จักกันดี

             ในห้วงอวกาศนั้น มีจักรวาลหรือจะเรียกอีกชื่อว่าโลกธาตุอยู่มากมายจำนวนนับไม่ถ้วน เท่าที่นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ค้นคว้าได้ขณะนี้ยังไม่พบดาวดวงอื่น นอกจากโลกของเราที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ แต่ในความรู้อันไม่มีขอบเขตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ และด้วยญาณทัสสนะอันบริสุทธิ์ ทรงพบว่าในแต่ละจักรวาล มีโลกมนุษย์อยู่อย่างเราๆ นี้ ๔ โลก

            มีโลกที่มีความสุขในเรื่องกามคุณ ๕ คือ มีรูปดีๆ ให้ดู มีเสียงเพราะๆ ให้ฟัง มีกลิ่นหอมๆ ให้ดม มีอาหารรสเลิศให้ลิ้ม มีสัมผัสที่นุ่มนวลไม่เย็นไม่ร้อนให้ใช้ อยู่ ๖ โลก เรียกว่า เทวโลก

            มีโลกที่มีความเป็นอยู่ประณีตไม่ยุ่งเกี่ยวกับกามคุณมีอารมณ์ทางจิตอยู่อย่างเดียว ตลอดเวลาอีก ๒๐ โลก เรียกว่า พรหมโลก

ส่วนโลกที่มีความเป็นอยู่เดือดร้อน มีอยู่ ๔ แห่ง คือ โลกนรก โลกเปรต อสุรกาย และ ดิรัจฉาน

             รวมทั้งหมดเป็น ๓๑ โลก ที่เรียกกันว่า ๓๑ ภูมิ หรือเรียกย่อว่า ไตรภูมิ

Capture16-8-65-01.JPG

 

Capture16-8-65-03r.JPG

 

Capture16-8-65-02.JPG

             สรรพสัตว์ที่เกิดในภูมิต่างๆ ทั้ง ๓๑ ภูมินี้ สายตาของมนุษย์มองเห็นได้เพียง ๒ ภูมิ คือ สัตว์ที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน และสัตว์ดิรัจฉานบางจำพวก ส่วนสรรพชีวิตในภูมิอื่นๆ สายตาของมนุษย์มองไม่เห็น จะเห็นได้เฉพาะผู้ฝึกจิตไว้ดีดังที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้น มีอยู่บ้างนานๆ ครั้งที่เครื่องมือของมนุษย์ เช่น กล้องถ่ายรูป ถ่ายภาพสัตว์ที่เป็นเปรต หรืออสุรกายได้บ้าง แต่ไม่ชัดเจนนัก

             ความจริงในบรรดาดวงดาวทั้งหลายที่นักดาราศาสตร์ค้นพบว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เพราะเข้าใจเอาว่าสิ่งมีชีวิตมีเพียงมนุษย์และสัตว์ ถ้านักดาราศาสตร์หรือนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นสามารถฝึกจิตให้มีคุณภาพพิเศษดังกล่าวไว้ได้ ก็ย่อมจะเห็นสิ่งมีชีวิตมากมาย อยู่ในดวงดาวเหล่านั้น เพียงแต่ร่างกายของสัตว์เหล่านั้นโปร่งใสจนสายตาของมนุษย์มองไม่เห็น เราเรียกกันว่ากายทิพย์ ซึ่งจัดอยู่ในเทวภูมิชั้นที่หนึ่ง

            สัตว์ที่มีกายทิพย์เหล่านี้ มีที่อยู่บนดวงดาวต่างออกไปอีกมิติหนึ่ง ที่อยู่เหล่านั้น สุขสบายจนเรียกกันว่าเป็นสมบัติทิพย์ โดยไม่เกี่ยวกับเนื้อดินหรือหินที่เห็นได้ด้วยตามนุษย์ในดวงดาวนั้นๆ เป็นมิติละเอียดที่ซ่อนอยู่ในของหยาบ

             ในจักรวาลหนึ่งๆ มีดวงดาวชนิดต่างๆ นับไม่ถ้วน ดวงดาวเหล่านี้ไม่มีดวงใดว่างเปล่าไร้สิ่งมีชีวิตเลยแม้แต่ดวงเดียว ไม่ว่าดาวดวงนั้นจะลุกโพลงเป็นเปลวไฟอยู่หรือเต็มไปด้วยน้ำแข็งเย็นเฉียบ มิติหยาบกับมิติละเอียดไม่มีสิ่งใดสัมพันธ์กัน จะเกี่ยวข้องก็เพียงมีสถานที่ตั้งเป็นที่แห่งเดียวกันเท่านั้นเอง ความร้อนเย็นมีอากาศหรือไม่มีของมิติหยาบไม่กระทบกระเทือนมิติละเอียด

             นักดาราศาสตร์อาจจะแบ่งดวงดาวออกเป็นกาแล็กซี เป็นหมวดหมู่ตามที่เห็นว่าเหมาะสม เท่าที่ค้นพบขึ้นมาจากเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ แต่ทางญาณทัสสนะของจิตแบ่งขอบเขตของห้วงอวกาศเป็นจักรวาล แต่ละจักรวาลมีส่วนประกอบอย่างเดียวกันหมด คือประกอบด้วย ๓๑ ภูมิ ที่ตั้งของภูมิเรียกว่า ภพ มีลักษณะเดียวกันทุกประการ กล่าวโดยย่อคือ

๑. ขอบเขตของจักรวาล มีรูปร่างเหมือนทรงกระบอก มีภูเขาล้อมรอบ

๒. ตรงกลางมีภูเขาเป็นแกน รูปร่างเหมือนกลอง ตรงฐานภูเขามีภูเขา ๓ ลูก เป็นเส้ารองรับ ภูเขาที่เป็นแกนจักรวาลนี้มีชื่อเรียกว่า “เขาสิเนรุ” หรือ “เขาพระสุเมรุ”

๓. มีภูเขารอบเขาสิเนรุอีก ๗ รอบ ระหว่างรอบมีน้ำทะเลคั่นอยู่ทุกรอบ

๔. พ้นจากภูเขาทั้ง ๗ รอบ เป็นทะเลใหญ่ เป็นที่ตั้งของโลกมนุษย์ ทิศละ ๑ แห่ง รอบเขาสิเนรุ

๕. มีดวงอาทิตย์ ๑ ดวง และดวงจันทร์ ๑ ดวง ลอยอยู่ระดับกึ่งกลางระหว่างระดับพื้นทะเลกับยอดเขาสิเนรุ

๖. ฐานล่างที่รองรับจักรวาลไว้ ชั้นแรกเป็นพื้นดิน ถัดจากดินเป็นน้ำ ถัดจากนํ้าจึงเป็นลม ต่อจากลมเป็นความว่างเปล่า มีแต่ความมืด

ภูมิต่างๆ ตั้งอยู่ดังนี้

๑. มนุสสภูมิ อยู่ตรงกับไหล่เขาสิเนรุ ทิศละ ๑ แห่ง เรียกว่า ทวีป

ไหล่เขาซีกตะวันออกเป็นเงิน แสงสีเงินสะท้อนไปยังทวีปซีกนั้นชื่อ ปุพพวิเทหทวีป

ไหล่เขาซีกทิศใต้เป็นมรกต แสงสีเขียวสะท้อนไปยังทวีปซีกนั้นชื่อ ชมพูทวีป คือ โลกที่เรากำลังอาศัยอยู่ขณะนี้

ไหล่เขา กทิศตะวันตกเป็นแก้วผลึก สีใสๆ สะท้อนไปยังทวีปซีกนั้นชื่อ อปรโคยานทวีป

ส่วนไหล่เขา กทิศเหนือเป็นทองคำ แสงสีทองสะท้อนไปยังทวีป ซีกนั้นชื่ออุตตรกุรุทวีป

๒. ใต้ภูเขาสามเส้าที่รองรับเขาสิเนรุ เป็นอุโมงค์ใหญ่ มีที่อยู่สุขสบายเป็น อสูรพิภพ ใต้อสูรพิภพลงไปเป็นที่ตั้งของนรกใหญ่ทั้ง ๔ ขุม (ภาคปฏิบัติ : ภาคปริยัติกล่าวว่า มหานรกอยู่ใต้แผ่นดิน ตรงกับชมพูทวีป)

๓. ที่อยู่ของพวกเปรต อสุรกาย และดิรัจฉานส่วนใหญ่ อยู่ที่ชมพูทวีป ดิรัจฉาน ชั้นดีอยู่ที่ป่าหิมพานต์ (แถบภูเขาหิมาลัย ในประเทศอินเดีย) เป็นพวกกายละเอียดไม่เห็นด้วยตามนุษย์

๔. รอบเขาสิเนรุ เป็นที่อยู่ของเทวดาชั้นที่ ๑ ชื่อ จาตุมหาราชิกา มีหลายประเภท มีทั้งที่อยู่บนพื้นดิน อยู่บนต้นไม้ และอยู่ในอากาศ บางพวกก็อยู่ปนกับที่อยู่ของมนุษย์ในชมพูทวีป พวกที่อยู่ตามดวงดาวทั้งหลายเป็นอากาศเทวดา จัดอยู่ในชั้นที่ ๑ เหมือนกัน

๕. บนหน้าตัดของเขาสิเนรุ เป็นที่ตั้งของเทวดาชั้นที่ ๒ ดาวดึงส์ (พวกอสูรที่ใต้เขาสิเนรุ จัดอยู่ในเทวดาประเภทนี้)


๖. เทวดาชั้นที่ ๓ ขึ้นไปจนถึงชั้นที่ 5 อยู่เหนือดาวดึงส์ขึ้นไปทั้งหมดตามลำดับล้วนแต่มีวิมานลอยอยู่ในอากาศไม่ตั้งอยู่ตามดวงดาว เพราะเป็นที่สูงกว่าที่อยู่ของดวงดาวต่างๆ มาก

๗. พรหมโลก อยู่เลยเทวดาชั้นที่ ๖ ขึ้นไป

              ภพต่างๆ อันเป็นที่ตั้งของภูมิเหล่านี้ เกิดขึ้นเองตามความจำเป็น เปรียบเหมือนการสร้างบ้านเรือน เมื่อต้องการรับประทานอาหาร เราก็ต้องมีห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร เมื่อต้องขับถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เราก็ต้องมีห้องส้วม ต้องรักษาร่างกายให้สะอาด ก็ต้องมีห้องอาบน้ำ ต้องการพักผ่อนก็ต้องมีห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือแม้กระทั่งห้องรับแขกตามฐานะของเจ้าของบ้าน ฉันใด

             ภพก็เกิดขึ้นตามความจำเป็นของสรรพสัตว์ เพราะเมื่อสัตว์ถูกกิเลสบีบคั้นใจ สัตว์ ก็จะลงมือกระทำกรรมชนิดต่างๆ ตามความบีบคั้นนั้น (กรรม แปลว่า การกระทำทางกาย วาจา และใจ)

            เมื่อทำกรรมสําเร็จลง จะเป็นกรรมดีก็ตาม กรรมชั่วก็ตาม หรือไม่ดีไม่ชั่วก็ตามผลของกรรมจะเกิดตามมา ภพเป็นที่รองรับสรรพชีวิตตามภูมิ (หมายถึงสภาวะทางวิญญาณ) ตามผลกรรมเหล่านั้น

            ทำกรรมชั่ว ย่อมมีอบายภูมิ (สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน) เป็นที่รองรับให้เกิดที่นั่น

            ทำกรรมดี มีเทวภูมิ พรหมภูมิ เป็นที่รองรับ ตามลำดับความประณีตของกรรมดี

             มนุสสภูมิเป็นสถานที่กลางๆ ต้องการทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ ภูมิและภพเกิดตามผลของกรรมดังนี้ ฉันนั้น

            ถ้าจะเปรียบให้ง่ายเข้า โลกมนุษย์เหมือนสถานที่แสวงหา ใครแสวงหาและ กระทำแต่ความดี จะได้กำไรเป็นบุญตายแล้วไปสู่สุคติ ถ้าความดีนั้นถึงที่สุดดังที่เล่าไว้ ก็จะพ้นจากภูมิทั้ง ๓๑ เลิกเวียนว่ายตายเกิด เข้าพระนิพพาน ใครพอใจอยู่ใต้อำนาจของกิเลส สร้างสมแต่กรรมชั่ว จะได้รับแต่ความขาดทุน คือได้แต่บาปอกุศลติดตัวไป

             เมื่อจิตใจสั่งสมบาปไว้ ตายไปเกิดในภพภูมิใหม่ ผลบาปนั้นเองช่วยสร้างรูปกาย และความเป็นอยู่ ดังนั้นสัตว์ประเภทนี้จึงมีร่างกายเลวทราม ไม่น่าดูน่าชม มีความเป็นอยู่ทุกข์ยาก

             ตรงข้ามกับสัตว์ที่สร้างความดีงามเป็นกุศลกรรมเสมอๆ ย่อมได้รับสิ่งตรงกันข้าม

             แต่มีข้อน่าสังเกตอย่างยิ่ง ตรงที่ในอบายภูมิและสุคติภูมิตั้งแต่เทวดาชั้นต้นขึ้นไปจนพรหมโลก ไม่มีโอกาสสร้างบุญบาปใหม่เพิ่มได้มากนัก เป็นเพียงสถานที่รับผลเท่านั้น

             ภพที่ดีที่สุดจึงเป็นภพมนุษย์ เราสามารถเลือกทำกรรมใดก็ได้ตลอดเวลา

อุบาสิกาถวิล (บุญทรง) วัติรางกูล

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.013225714365641 Mins