อาศัยกัลยาณมิตรพิชิตความประมาท

วันที่ 27 พค. พ.ศ.2557

 

อาศัยกัลยาณมิตรพิชิตความประมาท


          ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระสารีบุตรเถระพาพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เที่ยวจาริกไปยังทักขิณาคิรีชนบท
และพักอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายวัน วันหนึ่ง มีภิกษุหนุ่มเดินทางมาจากกรุงราชคฤห์ เข้ามานมัสการ พระสารีบุตรหลังจากทักทาย สนทนาปราศรัยกันครู่หนึ่งแล้ว พระเถระได้ไต่ถามถึงข่าวคราวทางเมืองราชคฤห์ว่าพระบรมศาสดา และหมู่ภิกษุสงฆ์ สบายดีหรือ ภิกษุหนุ่มกราบเรียนว่า ทั้งพระบรมศาสดา และภิกษุสงฆ์อยู่สำราญดี

            จากนั้นพระเถระได้ถามไถ่ถึงพราหมณ์ที่ท่านคุ้นเคยชื่อธนัญชานิ ภิกษุหนุ่มนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงกราบเรียนท่านว่า "ธนัญชานิพราหมณ์อยู่สุขสบายดี แต่ว่าบัดนี้ไม่เหมือนก่อนเสียแล้ว จากที่เคยเป็นผู้มีศีลเป็นผู้ประพฤติธรรม ก็กลายมาเป็นคนประมาทในชีวิต อาศัยอำนาจหน้าที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรมส่วนภรรยาซึ่งเป็นคนดีเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา บัดนี้นางได้เสียชีวิตเสียแล้ว เขาได้มีภรรยาใหม่ แต่ว่าภรรยาใหม่ของพรามหณ์ เป็นหญิงทุศีล ไม่ประพฤติธรรมเลย"

          พระสารีบุตรฟังแล้ว พลันเกิดมหากรุณาต่อพราหมณ์ผู้หลงผิด ท่านจึงได้พาภิกษุสงฆ์ออกจาก
ทักขิณาคิรีชนบทเดินทางมุ่งหน้ามายังนครราชคฤห์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นยามรุ่งอรุณ ขณะที่พระสารีบุตรกำลังเดินบิณฑบาตโปรดสัตว์ตาม สมณวิสัย ธนัญชานิพราหมณ์เห็นพระเถระ ผู้กำลังเดินมาแต่ไกลพอดี พราหมณ์นี้มีความรักเคารพนับถือพระมหาเถระเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงรีบเข้าไปกล่าวทักทายด้วยความยินดีปรีดา เสมือนหนึ่งญาติผู้จากไปไกลกลับมาที่บ้าน พระเถระเองเห็นเป็นโอกาเหมาะจึงชักชวนพราหมณ์ให้นั่งพักที่โคนร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แล้วถามถึงความไม่ประมาทในการประพฤติธรรมของพราหมณ์

           พราหมณ์เมื่อได้รับคำถามเช่นนั้นก็รู้สึกละอายใจ กราบเรียนพระเถระตามความเป็นจริงว่า ที่
ผ่านมาตนเองมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน มุ่งหน้าแต่ในการแสวงหาทรัพย์ จึงทำให้ย่อหย่อนในการ
ประพฤติธรรม ประมาทในการดำเนินชีวิต เพราะว่าการครองเรือนเต็มไปด้วยเครื่องกังวลใจ มีกิจธุระมากมายต้องเลี้ยงดูบิดามารดา บุตรภรรยา ต้องเลี้ยงพวกทา กรรมกร ต้องฝนใจทำบาปทั้งๆ ที่มีความละอายต่อบาปอย่างยิ่ง

           พระเถระมองดูพราหมณ์ด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยเมตตา ต้องการจะเตือนพราหมณ์ให้ได้ สติ จะได้กลับตัวกลับใจมาตั้งมั่นในการทำความดีเหมือนเดิม จึงกล่าวกับพราหมณ์ว่า "ท่านพราหมณ์ อาตมาเข้าใจความรู้สึกของท่านดี แต่อาตมามีปัญหาอยากจะถามท่าน ให้ท่านช่วยตอบสักหน่อย พราหมณ์ มีบุคคลผู้หนึ่ง ประกอบอกุศลกรรม ประพฤติทุจริตเพียงเพื่อประสงค์จะเลี้ยงดูบิดามารดา เลี้ยงดูบุตรภรรยา ต้องการทำ สงเคราะห์ให้แก่ญาติสายโลหิต ต่อมาเมื่อเขาตายแล้ว ถูกนายนิรยบาลฉุดคร่าโยนลงไปยังมหานรกอันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง เขาจึงอ้อนวอนต่อนายนิรยบาลว่า

            การที่ข้าพเจ้ามีความประมาท ประพฤติอกุศลธรรม ประกอบทุจริตกรรม ก็เพราะข้าพเจ้ามี
ความต้องการจะได้ทรัพย์มาบำรุงเลี้ยงบิดามารดา เลี้ยงดูบุตรภรรยา ต้องสงเคราะห์ให้แก่ญาติสายโลหิตต้องทำบุญส่งไปให้แก่บุรพเปตชน ต้องบวง สรวงแก่เทวดา ต้องทำกิจให้แก่องค์พระราชาธิบดี ฉะนั้นขอท่านนายนิรยบาล ได้โปรดเมตตากรุณาต่อข้าพเจ้าด้วยเถิด อย่าได้ฉุดคร่าข้าพเจ้าไปลงในมหานรกเลย หรือบิดามารดาของเขาผู้นั้น เมื่อเห็นว่าบุตรสุดที่รักกำลังจะถูกนำไปไต่ สวนในยมโลก แล้วต้องเสวยวิบากกรรมในมหานรก จะพึงเข้าไปอ้อนวอนต่อนายนิรยบาลว่า ขอท่านนายนิรยบาลได้โปรดเมตตาบุตรของข้าพเจ้าด้วยเถิด อย่าได้ฉุดคร่าเขาลงไปในมหานรกเลย

            ดูก่อนพราหมณ์ นายนิรยบาลจะเกิดจิตเมตตายินยอมตามคำอ้อนวอนขอร้องนั้นหรือ หาเป็น
เช่นนั้นไม่ แต่นายนิรยบาลก็ยังคงทำตามหน้าที่ของตน ถึงแม้บุคคลทั้ง สองฝ่ายนั้น จะได้ร้องไห้
คร่ำครวญจนน้ำตาไหลเป็นสายเลือด แต่นายนิรยบาลก็ไม่ยินยอม และย่อมจะฉุดคร่าเขาโยนลงไปใน
มหานรกตามเดิม เขาย่อมได้เสวยวิบากกรรมอันทุกข์ทรมานที่ตนได้กระทำไว้สิ้นกาลนาน"

           ครั้นพราหมณ์ได้ฟังพระเถระผู้เป็นยอดกัลยาณมิตร ก็ได้ สติหันมาปฏิญญาตั้งมั่นอยู่ในการ
ทำความดีอีกครั้ง และท่านธนัญชานิพราหมณ์ผู้นี้เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลของพราหมณ์ ซึ่งจะมี
ความเชื่อว่า ตนเองสืบเชื้อสายมาจากพระพรหม เพราะฉะนั้นท่านจึงได้รับการปลูกฝังให้มีความเลื่อมใสในพระพรหม และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ในการที่จะได้ไปบังเกิดในพรหมโลก พระเถระทราบจริตอัธยาศัยของพวกพราหมณ์เป็นอย่างดี เพราะตัวท่านเองก็เป็นพราหมณ์มาก่อน จึงกล่าว สอนปฏิปทาข้อปฏิบัติให้ถึงพรหมโลกแก่พราหมณ์

           หลังจากที่พราหมณ์กลับกลายมาเป็นผู้ไม่ประมาทอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้ตั้งใจสั่งสมคุณงามความดีเรื่อยมาเมื่อวันเวลาล่วงเลยไปหลายปี ธนัญชานิพราหมณ์ จากที่เป็นพราหมณ์หนุ่มก็กลายมาเป็นพราหมณ์แก่ชราและกำลังนอนอยู่บนเตียง เป็นที่พักครั้งสุดท้ายของคนไข้ที่กำลังป่วยหนัก ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสแต่ก็ยังมีสติอยากจะฟังธรรมิกถาจากพระสารีบุตร เพื่อจิตของตนจะได้ผ่องใสมีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า จึงสั่งคนรับใช้ให้ไปบอกพระเถระให้ทราบว่า บัดนี้ตนเองป่วยหนัก ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสถ้าพระคุณเจ้าสะดวกขอให้มาโปรดหน่อยเถิด

           พระเถระรับการอาราธนาด้วยอาการดุษณีภาพ และเมื่อคนรับใช้นั้นกราบลากลับไปแล้ว ท่านก็
ห่มจีวรแล้วมุ่งหน้าไปที่บ้านของท่านพราหมณ์ พอไปถึงก็นั่งบนอาสนะที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ ใกล้ๆ กับเตียงนอนของพราหณ์ ที่กำลังป่วยหนัก พระเถระได้ถามถึงอาการเจ็บป่วยของพราหมณ์ว่า "ท่านพราหมณ์ ท่านยังพอทนได้ไหม พอจะยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ ทุกขเวทนาของท่านทุเลาลงบ้างไหม อาการเจ็บป่วยของท่านปรากฏค่อยคลายไปไม่ทวีขึ้นมิใช่หรือ"

            ธนัญชานิพราหมณ์ตื้นตันใจ ประนมมือไหว้พระธรรมเสนาบดี กล่าวกับท่านด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า"พระคุณเจ้าผู้เปี่ยมด้วยมหากรุณาได้มาเยือนกระผมในยามนี้ ทุกขเวทนาแสนสาหัสปรากฏอยู่ในร่างกายของกระผม ลมชนิดหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ในท้องมันมีฤทธิ์เหลือประมาณ นอกจากนี้ยังมีอาการเจ็บปวดไปทั่วร่างกายกระผมแทบจะทนไม่ไหว คงจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน อายุขัยของผมจะถึงที่สุดแล้ว เพราะทุกขเวทนาแรงกล้านักอาการนี้ได้หนักทวีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ถอยเลย ขอรับกระผม" พราหมณ์กราบเรียนอาการเจ็บป่วยให้ทราบแล้วก็นอนนิ่งเฉยน้ำตาคลอ อยู่ด้วยอาการแห่งคนที่รู้ตัวว่าตนจักต้องตาย

             พระเถระได้มองดูพราหมณ์ด้วยสายตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความกรุณา ท่านทราบว่าธนัญชานิ
พราหมณ์ผู้ได้สั่งสมคุณงามความดีไว้มาก บัดนี้ สมรณภัยได้มาปรากฏอยู่เบื้องหน้า ในยามนี้สิ่งที่มีค่ามากที่สุดคือธรรมโอสถเท่านั้น อันจะเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง ฉะนั้นท่านจึงได้แสดงธรรมิกถาว่าด้วยความประเสริฐกว่ากันของภพภูมิชั้นต่างๆ ตั้งแต่นรกกับกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน ไล่เรื่อยมาตามลำดับ กระทั่งถึงความประเสริฐประณีตกว่ากันของสวรรค์ในแต่ละชั้น พราหมณ์ปล่อยใจตามไปเรื่อยๆ มีความรู้สึกว่าตนเองจะได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นนั้นๆ

            เมื่อพระสารีบุตรกล่าวถึงพรหมโลกซึ่งประเสริฐว่า สวรรค์ทุกชั้น พราหมณ์ครั้นได้ฟังคำว่าพรหมโลกเท่านั้นแหละ ดวงตาก็เปล่งประกายสุกใสยิ้มแย้ม สดชื่นด้วยความปีติยินดีเป็นยิ่งนัก เพราะพราหมณ์มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพรหมมาก มีความปรารถนาจะไปบังเกิดในพรหมโลกอยู่แล้ว เมื่อพระเถระแสดงธรรมถึงพรหมโลก เห็นพราหมณ์มีใจเบิกบานมากขึ้น จึงมีความดำริ ที่จะแสดงปฏิปทาทางไปพรหม
โลกแก่พราหมณ์ จึงกล่าวเตือนสติพราหมณ์ว่า

      "ท่านพราหมณ์ อาตมาจะแสดงปฏิปทาทางไปสู่พรหมโลกเพื่อความเป็น สหายกับเหล่าพรหมให้ฟังขอท่านจงตั้งใจเงี่ยโสตสดับเถิด ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีใจประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาแผ่ไปสู่ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องขวา ทั้งในทิศเบื้องบน เบื้องล่าง และเบื้องขวางแผ่ไปตลอดโลกธาตุตลอดจนเหล่า สรรพสัตว์ทั้งปวง ในที่ทุกสถานตลอดกาลทุกเมื่อ ด้วยใจที่ประกอบด้วยเมตตาเป็นต้น ทำจนเป็นมหัคคตารมณ์อันหาประมาณมิได้ เป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีภัย และไม่มีความเบียดเบียนข้อนี้แล ก็เป็นปฏิปทาเพื่อความบังเกิดเป็น สหายกับพระพรหม"

          เมื่อพระเถระแสดงปฏิปทาทางไปสู่พรหมโลก ด้วยการเจริญพรหมวิหารธรรม พราหมณ์ผู้มี
ความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไปบังเกิดในพรหมโลก ก็เจริญพรหมวิหารธรรมจนได้บรรลุปฐมฌาน มีความสุขอันเกิดจากการเข้าปฐมฌาน ดับทุกขเวทนากล้าอันเกิดจากพยาธิภัยได้หมด มีใบหน้า สดชื่นแจ่มใสเหมือนไม่ใช่คนป่วย เมื่อเกิดปีติซาบซ่านอันเกิดจากความสุขในการเข้าฌานแล้ว พราหมณ์ได้ฝากพระเถระให้ไปทูลลาพระบรมศาสดา เพราะเกรงว่าตนจะไม่มีโอกาสได้ไปถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกต่อไป

          เมื่อพระเถระเห็นว่าพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ได้อำลาพราหมณ์กลับ ในขณะที่พระเถระเดินทาง
กลับยังไม่ทันถึงพระเวฬุวันมหาวิหารนั้น พราหมณ์ก็ได้ดับชีพลง ด้วยอำนาจแห่งฌานกุศลที่ตนได้บรรลุ กำลังฌานส่งผลให้ได้ไปอุบัติเป็นพรหมผู้มีรูปงาม มีรัศมีกายรุ่งเรืองสว่างไสว ประดิษฐานอยู่ในพรหมวิมานเสวยพรหมสมบัติอยู่ในพรหมโลกชั้นปาริสัชชาภูมิ

    สรุป


เราจะเห็นว่าชีวิตของผู้ที่ได้คบหา สมาคมกับกัลยาณมิตร นับว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐ เพราะ
เมื่ออาศัยกัลยาณมิตรแล้วชีวิตที่เคยผิดพลาดก็เริ่มต้นใหม่ได้ ชีวิตที่กำลังเดินอยู่บนหนทางไปสู่ทุคติก็
เปลี่ยนเส้นทางไปสู่สุคติสวรรค์และพรหมโลกได้ "ชีวิตที่เคยทำพลาดทำผิดกัลยาณมิตรช่วยได้" การคบหากัลยาณมิตรจึงเป็นสิ่งที่นักศึกษาต้องให้ความสำคัญ และตัวนักศึกษาก็ต้องทำตนเป็นกัลยาณมิตรที่ดีทั้งแก่
ตนเองและคนอื่น ในขณะเดียวกัน จากเรื่องนี้เราจะเห็นว่า เราทุกคนนั้น เหมือนมีระเบิดเวลาติดตัวมา
พร้อมจะระเบิดทุกเมื่อ เวลาที่อยู่ในโลกนี้ก็มีอยู่อย่างจำกัด ฉะนั้นเราจำเป็นต้องชิงช่วงเวลาที่เหลืออยู่ทำความดีประกอบความเพียรกันให้เต็มที่ ก่อนที่จะถูกพญามัจจุราชช่วงชิงชีวิตของเราไป ขณะนี้เรายังมีสุขภาพแข็งแรงมีกำลังใจที่แข็งแกร่ง ถ้าไม่ประมาทในการปฏิบัติธรรมเราก็จะเข้าถึงธรรมได้ไม่ยาก แต่ตอนนี้ถ้าเรามัวประมาทอยู่ เราก็อาจจะได้เห็นก่อนตาย เหมือนอย่างท่านธนัญชานิพราหมณ์ ซึ่งกำลังถูกทุกขเวทนารุมเร้าอย่างหนัก อีกทั้งพญามัจจุราชก็กำลังคุกคามที่จะช่วงชิงเอาชีวิตไป แต่เพราะได้ยอดกัลยาณมิตรอย่างท่านพระสารีบุตร จึงทำให้พราหมณ์สามารถเอาตัวรอดได้ มีที่พึ่งเข้าถึงปฐมฌานไปบังเกิดในพรหมโลกได้เหมือนกัน แต่ที่โชคดีได้กัลยาณมิตรอย่างนี้ก็มีไม่มาก

          ดังนั้น ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนิดในมนุษยโลกนี้ แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ก็มีความหมายสำหรับ
การสร้างบารมีของเรามาก เราจะไปแสวงหาบุญหรือสร้างบารมีในภพภูมิอื่นนั้น ไม่ได้หรอก มนุสสภูมิซึ่งก็คือภพภูมิที่เราอาศัยอยู่นั้นแหละเป็นที่สร้างบารมีของเรา มีกำลังมีเรี่ยวแรงเท่าไร ให้สร้างบารมีให้เต็มที่อย่าได้ประมาทในการประพฤติปฏิบัติธรรม ให้หมั่นสั่งสมบุญ และฝึกฝนใจให้บริสุทธิ์หยุดนิ่งกันตลอดเวลา

 

 

จากหนังสือ DOU

วิชา DF 101 การทำหน้าที่กัลยาณมิตรเบื้องต้น

กลุ่มวิชาการทำหน้าที่กัลยาณมิตร

 
 
 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0067805488904317 Mins