
เรามาฟังฝันในฝันกัน
หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะุ เอามาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากัน ฟังพอเพลินๆ
ถ้ามีคติบ้างก็เอาติดขาติดแข้งเอาไว้ ไม่ต้องใส่บ่าแบกหามให้มันหนัีกนะจ๊ะ
เรื่องราวอันน่าอัศจรรย์นี้เกิดขึ้นในวันมหาปวารณา
ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ หรือตรงกับวัน ออกพรรษาของประเทศลาว ซึ่งวันออกพรรษาของลาวจะถึงก่อนวันออกพรรษาของไทยหนึ่งวัน
แต่บางปีก็มาพ้องตรงกัน ในวันนี้มีข่าวอึกทึกครึกโครมที่น่าตื่นเต้นสำหรับชาวพุทธกระจายไป
ทั่วโลก คลื่นมหาชนจำนวนมากหลั่งไหลไปที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง อำเภอโพนพิสัย
จังหวัดหนองคาย มีการจับจองที่พักเต็มไปหมดไม่ว่าจะเป็นโรงแรม วัด หรือแม้กระทั่งโรงพยาบาลก็ไม่ได้เต็มไปด้วยคนไข้
แต่เต็มไปด้วยคนที่ไปพักเพื่อรอดูดวงไฟที่ลอยขึ้นมาจากกลางลำน้ำโขง ดวงไฟที่ลอยขึ้นไปสวยงามมาก
หากมองจากริมฝั่งโขงจะเห็นเป็นดวงไฟเล็กๆ แต่รวมรัศมีของแสงก็ขนาดลูกบาสเกตบอล
บ้างก็เห็นลอยขึ้นไปสูงกว่าพื้นน้ำไม่กี่สิบเมตร
บ้างก็ว่าบางลูกสูงถึง ๑๐๐ เมตรก็มี บ้างก็บอกว่า สูงถึงต้นตาล บ้างก็ว่าเลยไปกว่านั้น
บ้างก็เห็นแค่ไม่กี่ลูก บ้างก็บอกว่าจำนวนเยอะ บ้างก็บอกว่า บางปีรวมกันเป็นพันลูก
บางปีก็มีวันเดียว บางปีก็มี ๒ วัน คือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ กับวันแรม ๑ ค่ำ
บางปีก็ขึ้นที่เดียวที่อำเภอโพนพิสัย บางปีก็มีหลายที่ แต่เดี๋ยวนี้มีเพิ่มขึ้นตามห้วย
หนอง คลอง บึงต่างๆ แสดงว่าเรื่องนี้ต้องมีเหตุ ผู้เฒ่าผู้แก่ของพี่น้องชาวไทยลาวทั้ง
๒ ฝั่ง
เขาเล่าสืบต่อกันมาว่า
เป็นบั้งไฟพญานาค ที่ท่านบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยจิตที่เลื่อมใส
แต่พอตกมาถึงยุคนี้เข้าก็มีผู้ที่อยากจะรู้ว่า ดวงไฟที่เกิดขึ้นนี้จริงๆ
แล้วมันคืออะไรกันแน่ บ้างก็บอกว่า มนุษย์สร้างขึ้น บ้างก็บอกว่าไม่ใช่ฝีมือมนุษย์
เพราะว่าทำยากเนื่องจากน้ำตรงนั้นลึกมากถึงร้อยเมตร บ้างบอกว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
แต่เกิดขึ้นอย่างไรไม่ทราบ ก็กลับไปพิสูจน์กันด้วยหลายๆ วิธีแล้ววิธีล่าสุดก็คือ
เอาเครื่องมือไฮเทคทางวิทยาศาสตร์ไปจับกัน ก็สรุปกันไปต่างๆ นานา
บ้างก็บอกว่าเป็นแก๊สธรรมชาติ
แต่ก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมต้องเกิดในวันนั้น ตรงกันทุกปี แต่บางท่านก็บอกว่าที่เกิดมาวันนั้นเพราะมันประจวบเหมาะครบวงโคจรระหว่าง
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก มันก็เลยประจวบเหมาะกันเกิดขึ้น ก็มีนานาทรรศนะแต่ข้อสรุปสุดท้ายบอกว่าเกิดจากธรรมชาติ
ในฐานะที่เราเป็นโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา เราก็น่าจะมีทรรศนะของเราบ้าง
ถ้าหากว่าบังเอิญไม่ไปตรงอะไรกับใคร หรือบางทีอาจพ้องบ้างก็ต้องถือว่า
ให้ฟังเป็นนิทานฟังเพลินๆ อย่าถือเป็นจริงเป็นจัง เหมือนกับเขาว่าอย่างนั้น
เขาว่าอย่างนี้ ครูไม่ใหญ่ก็ว่าอย่างโน้น ทำนองนี้ไง ถ้าหากพอจะรับฟังกันได้บ้าง
ก็รู้ไว้ใช่ว่าติดขาติดแข้งกันไป ไม่ต้องถึงกับใส่บ่าแบกหาม
เรื่องก็มีอยู่ว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อหลายพันปีก่อนสมัยพุทธกาล บนผืนแผ่นดิน อันสะอาดบริสุทธิ์ของประเทศลาวในปัจจุบัน
ชาวเมืองเป็นผู้มีศีลมีธรรม มีจิตใจที่งดงาม เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่กัน มีความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่
ผู้เฒ่าผู้แก่ ดูแลมารดาบิดากันเป็นปกติ พระราชาผู้ปกครอง บ้านเมืองทรงมีธรรมราชา
ปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรม คือข้อปฏิบัติสำหรับผู้ปกครองครบถ้วน
๑๐ ประการ แล้วก็มีปุโรหิตท่านหนึ่ง เป็นคนจิตใจงาม เป็นผู้มีปัญญามาก
เวลาจะตัดสินคดีความอะไรก็บริสุทธิ์ยุติธรรม ท่านชำนาญในไตรเพท มีหน้าที่ประกอบพิธีกรรม
บวงสรวงพญานาค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล เพราะมีความเชื่อว่า
นาคเป็นผู้ให้น้ำ ท่านก็ประกอบพิธีอย่างนี้ทุกปีๆ จนกระทั่งหมดอายุขัย
ด้วยใจที่ผูกพันกับพญานาคมาก
กอปรกับบุญกุศลที่ท่านทำในระดับที่ดีของชาวโลก ในยุคที่พระพุทธศาสนายังไม่บังเกิดขึ้น
เป็นยุคแห่งความเจริญของไตรเพท เพราะฉะนั้นเมื่อละโลกแล้วท่านจึงไปเกิดเป็น
พญานาค มีกายสีทอง สวยงาม เป็นหัวหน้าปกครองชุมชนนาคในระดับล่าง อยู่ใต้ลำน้ำโขง
ซึ่งจะเป็นภพซ้อนภพ มีอายุยืนมาก นาคมีอยู่ ๓ ระดับ ระดับล่าง ระดับกลาง
ระดับสูง ระดับสูงก็อยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ระดับกลางๆ ก็ลดหย่อนลงมา
ระดับล่างก็อยู่ในระดับพื้นมนุษย์ มีบ้านเมืองที่สวยสดงดงามพอสมควร ท่านก็เป็นผู้ปกครองชุมชนนาคใน
ละแวกนั้น ซึ่งกว้างขวางมาก
พญานาคท่านนี้
เมื่ออยู่ในเมืองนาค ท่านจะแปลงกายเป็นกายทิพย์ที่คล้ายๆ มนุษย์ มีเครื่องประดับงดงาม
แล้วท่านปรารถนาพุทธภูมิมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนก่อนเป็นปุโรหิต แม้มาเป็นปุโรหิต
ก็มีความรู้สึกเช่นนี้อยู่ลึกๆ ในใจ พอจะออกพรรษา เหล่าเทวดาก็โจษกันมาเลยว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จลงจากดาวดึงส์แล้ว เพราะเทวดาเข้าไปฟังธรรมที่ดาวดึงส์
สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกากับชั้นดาวดึงส์มีความวิเศษอยู่
๒ ชั้นตรงนี้ คือ สามารถไปถึงกันได้ เสียงอื้ออึงโจษขานดังไปทั่ว พร้อมๆ
กับเสียงดนตรีสวรรค์ ดังไปถึงนาคพิภพ ทำให้อาสนะของท่านที่เคยอ่อนนิ่มแข็งกระด้างขึ้นมา
เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้น พญานาคและบริวารทนไม่ไหว อยู่ไม่ได้ ออกมาจากนาคพิภพเลย
มาแล้วก็ลอยตัวอยู่บนผิวน้ำแม่น้ำโขง ในวันเทโวโรหณะออกพรรษา สายตาก็มองไปบนท้องฟ้า
ตอนนั้นเมฆบนท้องฟ้าก็ยังฟูฟ่องล่องลอยอยู่เยอะแยะ แต่สักพักหนึ่งเมฆก็แวบหายไป
ท้องฟ้าเริ่มเปิดออก มีลำแสงฉัพพรรณรังสีพุ่งออกมา ท้องฟ้ากลวงเข้าไปเลย
เหมือนไม่มีท้องฟ้าบริเวณนั้น คือท้องฟ้าเปิดจนมองเห็นสวรรค์
มองเลยไปถึงดาวดึงส์
ในลำแสงนั้นก็จะเห็นเหล่าทวยเทพทั้งหลายในภพ ๓ เต็มไปหมดเลย ยกเว้นอรูปพรหม
๔ ชั้น อสัญญีสัตตาพรหม พรหมรูปฟักไม่ได้มา นอกนั้นมาหมดเลย ท้าวมหาราชทั้ง
๔ คอยอารักขา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ โดยเฉพาะคนธรรพ์จะร้องรำทำเพลง ประโคมดนตรีตลอดเวลา
พลุสวรรค์หลากสี พลุสวรรค์ไม่ได้ดังตุ้มๆ เหมือนในเมืองมนุษย์ แต่ดังเป็นเสียงดนตรีสวรรค์แล้วก็เข้ากับเพลงดนตรีสวรรค์
ดอกไม้ทิพย์สวยสดงดงาม หอมฟุ้ง ตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ สองข้างทางก็เต็มไปด้วยทวยเทพทุกชั้น
ผู้ปกครอง แต่ละภพทั้ง ๖ ชั้น เทพอัปสรเรียงกันลงมาเป็นกระบวน ถัดจากนางเทพอัปสรก็จะมีเหล่าเทวดายืนเรียงรายกันเต็มไปหมดเลย
มีบันไดทองคำใส บันไดแก้วเพชร บันไดเงิน ทอดลงมาจากดาวดึงส์ถึงพื้นโลกมนุษย์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอยู่ตรงกลางบันไดแก้วเพชรที่มีหลากสี
สเปกตรัม ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง แล้วตามด้วยปัญจสิขเทวบุตร
ผู้มีความคุ้นเคยกับพระองค์ตั้งแต่สมัยก่อนตรัสรู้ เดินกรุยกรายดีดพิณรูปดอกบัวประดับด้วยเพชรหลากสี
ตามมาก็มาตุลีสารถีคนโปรดของพระอินทร์ถือพานดอกไม้บันไดทองคำใสก็เป็นของเทวดา
ผู้มีศักดิ์ใหญ่ ท้าวสุยามา ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นยามาถือพัดวีชนี ท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์
ถือปาริฉัตกะ ถัดมาก็ท้าวสันตดุสิต ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดุสิต ท้าวนิมมานรมิต
ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนิมมานรดี แล้วก็ท้าวปรนิมมิต ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
และตามด้วยเหล่าเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ทั้งหลาย บันไดเงินก็เป็นมหาพรหม ซึ่งล้วนแต่งชุดขาว
มหาพรหมในที่นี้ หมายถึงพรหมผู้มีศักดิ์ใหญ่ มีอานุภาพมาก ทั้ง ๑๖ ชั้น
ผู้มีศักดิ์ใหญ่มากที่สุดก็อยู่ข้างหน้า เสด็จมาทางบันไดที่ดูคล้ายๆ เงินยวง
ไม่ใช่เงินดำๆ แบบเมืองมนุษย์ แล้วก็เนรมิตรฉัตรสีขาว ๙ ชั้นลอยอยู่เบื้องบน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปล่งฉัพพรรณรังสี สว่างไสว เนรมิตพระวรกายให้ใหญ่กว่าเทวดาและพรหม
ในระดับที่มนุษย์อยู่ไกลก็เห็นใกล้ แต่อยู่ใกล้ๆ จะเห็นพอดี พอดี คือ จะใกล้หรือไกลก็เห็นเท่ากันด้วยพุทธานุภาพ
พญานาคเห็นแล้วก็เกิดความปลื้มปีติใจมาก ได้เปล่งวาจาตั้งความปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซ้ำหนักเข้าไปอีกว่า
ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
พญานาคท่านนี้ก็ตั้งจิตเลยว่า เมื่อถึงฤดูกาลเข้าพรรษาของทุกปี จะออกมาจากนาคพิภพ
ตั้งใจประพฤติธรรมรักษาศีลใต้ลำน้ำโขง เพราะว่าขืนอยู่ในเมืองนาคซึ่งเกลื่อนกล่นไปด้วยนางนาคมาณวิกาจำนวนมาก
และล้วนสวยสดงดงามทั้งนั้น การจะประพฤติพรหมจรรย์นั้นยาก ก็เลยมาจำศีลอยู่บนพื้นโลกมนุษย์ใต้ลำน้ำโขง
ซึ่งท่านปรารถนาจะให้ใครเห็นหรือไม่เห็นก็ได้ด้วยอานุภาพของท่าน
พญานาคนี่เมื่อไปเป็นผู้ปกครอง
ย่อมได้รับการบำรุงบำเรอ เอาอกเอาใจอย่างดีจากนางนาค การที่ตัดใจออกมาถือศีลได้
ต้องถือว่าแรงดึงดูดจากความเลื่อมใสพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เห็นในวันนั้นมีอานุภาพมาก
เมื่อระลึกนึกถึงวันนั้น ใจจึงหลุดจากนิวรณ์ หลุดจากกามฉันทะชั่วคราว แม้นางนาคมาณวิกาจะงดงามแค่ไหน
จะบำรุง บำเรออย่างไรก็เฉย เปลี่ยนอารมณ์จากเรื่องเพศ มานึกถึงพระ นึกถึงพระพุทธเจ้าพระบรมศาสดาที่ท่านเสด็จมาวันนั้น
พอหวนระลึกนึกถึงวันนั้นทีไรปลื้มมาก โอ้ ไม่เคยเห็นใคร มีอานุภาพขนาดนั้น
ที่เสด็จลงมาจากสวรรค์นั้น แล้วเห็นทั่วถึงกันหมดทั้งมนุษย์เทวดาและภูมิของอบาย
และการเห็นนั้นก็แปลกทีเดียว ไกลเหมือนใกล้ เหมือนเปิดท้องฟ้าออกไป แล้วมีจอฟ้า
จอยักษ์เกิดขึ้น มองทะลุเห็นสวรรค์ชั้นต่างๆ เรียงรายกันมาถึงโลกมนุษย์มองทะลุลง
ไปเห็นภูมิของอบายถึงมหานรกขุมต่างๆ แล้วพอมองไปทางไหน ก็จะเห็นภาพดูดเข้ามาในระยะใกล้ที่สบายตาและชัดเจน
เหมือนตาเราติดกล้องส่องทางไกลที่ปรับเลนส์อย่างดี ไกลแค่ไหนก็เหมือนใกล้ด้วยพุทธานุภาพอันเป็นอจินไตยที่เกิดจากการสั่งสมบุญบารมีของพระองค์มายาวนาน
การเปิดโลกให้เห็นทั่วถึงพร้อมกันหมดทั้งนรก
สวรรค์และอบายเป็นพุทธานุภาพ เมื่อพระองค์หมดกิเลสบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
ทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นมา จะมีอยู่เพียงครั้งเดียวในชีวิตของการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์
แล้ววันนั้นไม่ใช่มนุษย์ทั่วโลกเห็นกันหมดนะ เห็นเฉพาะผู้มีบุญที่สังกัสสะนคร
ซึ่งอยู่ในเมืองสาวัตถี ในรัศมีแค่ ๓๖ โยชน์เท่านั้น แล้วมนุษย์ที่เห็นวันนั้นก็มีหลายประเภท
คือ ผู้ที่เลื่อมใสก็มี เฉยๆ ก็มี ไม่เลื่อมใสก็มี ที่เลื่อมใสมากก็เห็นมาก
ที่เฉยๆ ก็เห็นหย่อนลงมา ที่ไม่เลื่อมใสก็เห็นมั่งไม่เห็นมั่ง
แต่พวกมีตาทิพย์กายละเอียดเขามองเห็น
เพราะฉะนั้นมนุษย์เห็นเฉพาะจุดตรงนั้นแล้ว ณ ตรงนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ใดบังเกิดขึ้น ก็จะเสด็จลงมาที่สังกัสสะนครนี่แหละ เพราะเป็นเมืองที่เป็นเนิน
สามารถเห็นได้รอบทิศ มีจารึกของ ภิกษุฟาเหียน ตอนท่านไปค้นหาพระคัมภีร์สืบคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อินเดีย
ในนั้นกล่าวว่า เห็นตำแหน่งที่บันได ทอดมาถึงมนุษย์ ณ ตำแหน่งนั้นพระเจ้าอโศกท่านทำหลักเอาไว้แล้วก็ทำสถูปครอบเอาไว้ด้วย
แต่ว่าที่ในคัมภีร์นั้นบอกว่าบันไดทอดมาถึงพื้นมนุษย์ เสียบลงไปอีกเพราะเป็นบันไดทิพย์
เพราะฉะนั้นมนุษย์ก็เห็น เทวดาก็เห็น แล้วนาคก็เห็น ท่านจึงเกิดกุศลศรัทธามาก
เมื่อถึงวันเข้าพรรษา
พญานาคก็จะออกมาจากนาคพิภพ มาจำศีลภาวนาใต้ลำน้ำโขง ระหว่างในพรรษาใจของพญานาคระลึกถึงแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นึกถึงวันนั้นไม่มีวันลืมเลือนจากใจเลย พรรษาหนึ่งนี่ ถ้าเทียบเวลาของนาคมันนิดเดียว
แต่ของโลกมนุษย์ ๓ เดือน แต่ก็ถือเอาพรรษา ๓ เดือนในเมืองมนุษย์นี่แหละ
พอเข้าพรรษาท่านก็มาทันทีเลย
ตอนแรกก็ตามลำพังตนเดียว
ต่อมาลูกน้องบริวารเกิดศรัทธาขึ้นมาตามมาเป็นแถวเลย พอวันออกพรรษา ด้วยจิตที่เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ข้าพระองค์ขอบูชาพระองค์ด้วยประทีปที่กลั่นจากใจที่ใสๆ ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์
๑ พรรษา และด้วยอานิสงส์นี้ ขอให้ ข้าพระองค์ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต
การพ่นไฟของนาคมีหลายลักษณะ ถ้าพ่นเพราะความโกรธจะพ่นอย่างร้อนแรง โดนที่ไหนก็พังที่นั่น
แต่ก็พ่นไม่ได้ทุกตัวนะ ปริมาณก็ไม่เท่ากัน แล้วแต่ฤทธิ์ของใคร ใครมีบุญมาก
มีฤทธิ์มากก็พ่นได้มาก เหมือนมนุษย์มีฤทธิ์ไม่เท่ากัน มีบุญมากก็เป็นนายก
ลดลงมาก็รองนายก
ไล่เรื่อยกันลงมา
อีกแบบหนึ่งที่เราได้ยินบ่อยๆ
ในพระไตรปิฏกว่า "บังหวนควัน" คือ จะพ่นควันที่มีไอร้อนออกมา
แต่พ่นไฟเป็นประทีปบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นอีกแบบ การที่พญานาคจะพ่นไฟถวายเป็นพุทธบูชาได้
ต้องประพฤติพรหมจรรย์ไม่เสพเมถุน ๑ พรรษา แล้วจะมีฤทธิ์ที่จะพ่นออกมาเป็นไฟอย่างนั้นได้
เมื่อถึงวันนั้นท่านจะนึกถึงบุญที่เกิด จากการจำศีลตลอด ๑ พรรษานี้ แล้วก็ระลึกนึกถึง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันเทโวโรหณะที่เสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ด้วยใจที่ปลื้มปีติแล้วพ่นออกมาอย่างนั้น
ซึ่งจะแตกต่างจากนาคที่พ่นด้วยความโกรธ แล้วก็พ่นลอยขึ้นไปในอากาศ เมื่อเป็นฟองอยู่ใต้น้ำก็กลมๆ
แล้วก็ลอยขึ้นมา เนื่องจากเป็นกึ่งหยาบ กึ่งละเอียด ผิวน้ำจึงปกติไม่กระเพื่อมเหมือน
ผ่านอากาศมาแล้วลอยขึ้นไป สว่างวาบบนท้องฟ้า แต่เดิมท่านทำลำพังตนเดียว
ต่อมานาคบริวาร เกิดกุศลศรัทธาก็มารักษาศีลด้วยแล้วบอกต่อๆ กันไปในหมู่ญาติของนาค
ชุมชนของนาค เกิดกุศลศรัทธาก็เอาบ้าง
เพราะฉะนั้นจึงเกิดแสงสว่างขึ้นบนท้องฟ้า ช่วงสั้นบ้าง ยาวบ้าง ดวงโตบ้าง
ดวงเล็กบ้าง แล้วแต่อานุภาพของแต่ละท่าน ใครกำลังบารมีอ่อนก็พ่นได้จำนวน
ไม่กี่ดวง
แล้วสูงไม่มาก
แต่ของพญานาคจะสูงทีเดียว
เพราะฉะนั้น บั้งไฟพญานาคจึงเกิดขึ้นในวันออกพรรษาทุกปี และเริ่มมีมากขึ้นตามห้วย
หนองคลองบึงต่างๆ จนเกิดนานาทรรศนะเกิดขึ้น แล้วก็พยายามที่จะพิสูจน์กันตามหลักวิชา
ที่ได้เรียนรู้มา แต่ก็สรุปได้ว่า "ไม่มีข้อสรุป"
และเนื่องจากว่าเราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เปนนักเรียนอนุบาลโรงเรียนฝันในฝันวิทยา
มีสิทธิเสรีภาพในการที่จะเสนอทรรศนะได้เหมือนกัน ก็เลยเสนอทรรศนะฝนในฝนอันนี้ขึ้นมา
ดังที่ได้กล่าวมา เพราะฉะนั้นบั้งไฟพญานาคจึงเกิดขึ้น ลอยขึ้นไป สิ่งนี้เป็นอจินไตย
ที่เหนือกว่า ความนึกคิดมนุษย์ที่ใช้ดวงปัญญาในระดับจินตมยปัญญาซึ่งมันมีขอบเขตจำกัด
ถึงกว้างมันก็ ยังอยู่ในวงกลม แม้วงกลมนั้นจะขยายออกไป ก็ยังอยู่ในวงจำกัดของความคิด
ที่คิดแล้วไปไม่ถึง
แต่จะไปถึงตรงนั้นได้โดยไม่ต้องคิดเขาเรียกว่า ภาวนามยปัญญา ต้องตัดเส้นรอบวงออกไป
จึงจะ ไปถึงตรงนั้นเขาเรียกว่า อจินไตย คือ มันเหนือวิสัย
ดังนั้นนี่คือสิ่งที่เป็นอจินไตยที่เกิดขึ้นจริงด้วยจิตที่เลื่อมใสของพญานาค
พญานาคท่านก็รู้จิตใจของมนุษย์ทุกคน ในทุกยุคที่ผ่านมาสองพันห้าร้อยกว่าปี
ว่ามนุษย์คิดกันอย่างไร ยุคต้นๆ มนุษย์คิดเลื่อมใสพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เชื่อมั่น
มนุษย์ในยุคนี้เชื่อมั่งก็มี เชื่อมากก็มี เชื่อมั่งไม่เชื่อมั่งก็มี ไม่เชื่อเลยก็มี
แต่พญานาคท่านไม่สนใจ เพราะเอาใจไปสนอยู่กับพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
ปลื้มปีติ ไม่สนใจเสียงระเบิดเถิดเทิงเสียงการละเล่นต่างๆ ของมนุษย์ทั้งสองฝั่งริมน้ำโขง
ท่านไม่ได้สนใจเลย ใครจะคิดอะไรอย่างไร หรือจะเมามายหรือตำหนิติเตียนหรือจะลบหลู่
ท่านก็เฉยๆ ไม่สนใจ ใจปลื้มอยู่ในบุญ เพราะท่านรู้ว่ามนุษย์ไม่เห็นวันนั้น
จะให้มาปลื้มอย่างท่านคงยาก เพราะฉะนั้นเมื่อถึงวันมหาปวารณาของไทยหรือวันออกพรรษาของลาว
เราจะเห็นดวงไฟลอยขึ้นมาจากลำน้ำโขงเป็นประจำทุกปี ปีละครั้ง และมีที่นี่ที่เดียวในโลก
เพราะฉะนั้น ณ จุดตรงนี้ ถ้าหากว่าผู้มีบุญทั้งหลายได้ไปดู แล้วทำจิตให้เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างพญานาคก็จะเป็นทางมาแห่งบุญ
แล้วก็ทางไปสู่สวรรค์ อานิสงส์แห่งการเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมบัติใหญ่จะไหลมาเทมา
เราจะมีดวงปัญญาอันเลิศ มีรัศมีสว่าง ผิวพรรณผ่องใส ตอนเป็นมนุษย์ ก็จะรูปหล่อ
จะสวยทีเดียว
อย่างไรก็ตามในวันนั้น เราน่าจะเปลี่ยนวิธีการใหม่ แทนที่จะไปเถิดเทิงกลองยาวหรือ
อะไรต่างๆ ที่ผ่านมาแล้วให้ลืมไปเสียให้หมด แล้วมาเริ่มใหม่ เริ่มกันตั้งแต่เช้ากันเลย
นิมนต์พระมาจากทั่วประเทศ มีกี่หมื่นองค์นิมนต์มาเลย ทั้งสองฝั่งไทยลาวมาใส่บาตรกันในตอนเช้า
แล้ว บำเพ็ญบุญกุศล ทาน ศีล ภาวนา กันตลอดทั้งวัน แล้วตรงนั้นอย่าให้มีเหล้า
สุราเมรัย บุหรี่ หรือสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ไม่ให้มีเลย ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาดสะอ้าน
ถนนหนทางให้สะอาดทีเดียว แล้วทำกาย วาจา ใจ ของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส
พูดปิยวาจา กล่าวแต่สิ่งที่ดีงามมีสิริมงคล ด้วยถ้อยคำที่ทำให้มีความปีติเบิกบานระลึกถึงกันทั้งสองฝั่งเลย
เชื่อไหมว่า ชาวโลกเขาอยากจะมาเห็นภาพอย่างนี้นะ เพราะเป็นภาพที่เขาขาดแคลน