พระพุทธเจ้าทั้ง ๓ ประเภทนั้น จะต้องใช้ระยะเวลาในการสร้างบารมีที่ยาวนานมาก อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๒๐ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป จนกระทั่งในพระชาติสุดท้ายของพระพุทธองค์ จึงได้รับพระนามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ต้องมีบารมีเต็มเปี่ยม ถึงจะเป็นผู้นำในการหลุดพ้นจากภพนี้ไปได้ ดังนั้นกว่าจะมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เดิมพระองค์ก็เป็นปุถุชนธรรมดาเหมือนอย่างพวกเรา แต่ความคิดนั้นไม่เหมือนกัน ความคิดของพระองค์ใหญ่กว่ายิ่งใหญ่คนทั่วๆ ไปคิดแค่ยิ่งใหญ่ แต่ของพระองค์คิดใหญ่ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
|
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จอุบัติขึ้นบนโลกนี้คราวใด ในกาลนั้นย่อมเรียกว่า อสุญญกัป แปลว่า มหากัปที่ไม่ว่างเปล่าจากมรรคผลนิพพาน |
ทีนี้มีสิ่งที่น่าศึกษาว่า พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์จะไม่เสด็จอุบัติในภพภูมิอื่น หรือในทวีปอื่น แต่จะเสด็จอุบัติขึ้นเป็นมนุษย์ที่ชมพูทวีปเท่านั้น ทวีปในที่นี้หมายถึง ทวีปหรือโลกที่อยู่รอบๆ เขาพระสุเมรุในทิศทั้ง ๔ ได้แก่ ชมพูทวีป อุตตรกุรุทวีป อปรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีป
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลกคราวใด ในกาลนั้นเรียกว่า อสุญญกัป แปลว่า มหากัปที่ไม่ว่างเปล่าจากมรรคผลนิพพาน
|
|
ใน ๑ มหากัป มีระยะเวลาที่ยาวนานมาก แต่ก็ไม่แน่ว่า พระพุทธเจ้าจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้ทุกมหากัปเสมอไป
ซึ่งบางมหากัปก็ไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น |
การที่บุคคลผู้ทรงคุณวิเศษเป็นนิยตโพธิสัตว์ จะเสด็จมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้นเป็นการยากมาก
แต่เมื่อนิยตโพธิสัตว์ได้เสด็จมาอุบัติขึ้นบนโลกนี้ เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในมหากัปใด มหากัปนั้นย่อมไม่ว่างเปล่าจากคุณวิเศษอันยิ่งใหญ่ คือมรรคผลนิพพาน |
ใน ๑ มหากัป มีระยะเวลาที่ยาวนานมาก แต่ไม่แน่ว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้ทุกมหากัปเสมอไป บางมหากัปไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น เพราะฉะนั้นการที่บุคคลผู้ทรงคุณวิเศษเป็นนิยตโพธิสัตว์จะเสด็จมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้นจึงเป็นการยากมาก
มหากัปจำแนกออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ
๑. สุญญกัป หมายถึง มหากัปที่ว่างเปล่าจากมรรคผลนิพพาน คือ ไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก แม้เพียงพระองค์เดียว แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระเจ้าจักรพรรดิก็ไม่บังเกิดขึ้น
ในสุญญกัปนี้ย่อมว่างเปล่าจากบุคคลผู้ทรง คุณวิเศษ และไม่มีมรรคผลนิพพานปรากฏขึ้น
๒. อสุญญกัป หมายถึง มหากัปที่ไม่ว่างเปล่าจากมรรคผลนิพพาน คือ มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในโลก ถึงแม้มีเพียงพระองค์หนึ่งก็ถือว่าเป็น อสุญญกัป
อสุญญกัปนี้ ยังมีชื่อเรียกตามจำนวนของพระพุทธเจ้าที่เสด็จอุบัติขึ้นอีก มี ๕ ประเภท คือ
|
|
มหากัป จำเเนกออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ
คือ ๑. สุญญกัป ๒. อสุญญกัป |
๑. สุญญกัป หมายถึง มหากัปที่ว่างเปล่าจากมรรคผลนิพพาน คือไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก แม้เพียงพระองค์เดียว |
|
|
อสุญญกัป หมายถึง มหากัปที่ไม่ว่างเปล่า จากมรรคผลนิพพาน คือมีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ถึงแม้มีเพียงหนึ่งพระองค์ ในมหากัปก็ถือว่าเป็น อสุญญกัป
ในอสุญญกัป ยังมีชื่อเรียกตามจำนวนของ พระพุทธเจ้าที่เสด็จอุบัติขึ้น ๕ ประเภท คือ
|
สารกัป หมายถึง มหากัปที่มีแก่นสาร เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๑ พระองค์ |
๑. สารกัป หมายถึง มหากัปที่มีแก่นสาร เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติขึ้น ๑ พระองค์
๒. มัณฑกัป หมายถึง มหากัปที่มีความผ่องใส เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๒ พระองค์
๓. วรกัป หมายถึง มหากัปที่ประเสริฐ เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๓ พระองค์
๔. สารมัณฑกัป หมายถึง มหากัปที่ประเสริฐกว่า และมีแก่นสารมากกว่ากัปก่อนๆ
เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๔ พระองค์
๕. ภัทรกัป หมายถึง มหากัปที่เจริญที่สุด และเกิดขึ้นได้ยากที่สุด เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๕ พระองค์ ซึ่งถือว่ามีจำนวนมากที่สุด และจะไม่มีมากกว่าในภัทรกัปนี้อีกแล้ว
|
|
มัณฑกัป หมายถึง มหากัปที่มีความผ่องใส เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๒ พระองค์ |
วรกัป หมายถึง มหากัปที่ประเสริฐ เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๓ พระองค์ |
|
|
สารมัณฑกัป หมายถึง มหากัปที่ประเสริฐกว่าและมีแก่นสารมากกว่ากัปก่อนๆ เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๔ พระองค์ |
ภัทรกัป หมายถึง มหากัปที่เจริญที่สุด และเกิดขึ้นได้ยากที่สุด เป็นมหากัปที่มีพระพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้น ๕ พระองค์ ซึ่งถือว่า มีจำนวนมากที่สุด และจะไม่มีมากกว่าในภัทรกัปนี้อีกแล้ว ในมหากัปปัจจุบันที่เราอยู่นี้ เป็นภัทรกัป ซึ่งถือว่า เป็นมหากัปที่เจริญที่สุด เพราะมีพระพุทธเจ้าเสด็จ อุบัติขึ้นมากที่สุดถึง ๕ พระองค์ |
ในมหากัปปัจจุบันที่เราอยู่นี้มีชื่อว่า ภัทรกัป ซึ่งถือว่าเป็นมหากัปที่เจริญที่สุด เพราะมีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมากที่สุดถึง ๕ พระองค์
พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ ได้แก่ ๑. พระกกุสันธพุทธเจ้า ๒.พระโกนาคมนพุทธเจ้า ๓.พระกัสสปพุทธเจ้า ๔.พระสมณโคดมพุทธเจ้า ๕.พระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า
ปัจจุบันนี้เรากำลังอยู่ในยุคของพระสมณโคดมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระองค์ที่ ๔ ในภัทรกัปนี้ ในยุคหน้าจะเป็นสมัยของพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า
|
|
พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ ได้แก่ ๑.พระกกุสันธพุทธเจ้า ๒.พระโกนาคมนพุทธเจ้า ๓.พระกัสสปพุทธเจ้า ๔.พระสมณโคดมพุทธเจ้า ๕.พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า
ปัจจุบันนี้เรากำลังอยู่ในยุคของพระสมณโคดมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระองค์ที่ ๔ ในภัทรกัปนี้ |
ในยุคหน้าเป็นสมัยของพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า |
พระพุทธเจ้าจักเสด็จอุบัติขึ้นมาครั้งละ ๑ พระองค์ บางอุปมากล่าวว่า เหมือนกับเรือลำหนึ่งที่สามารถนั่งได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น แต่ถ้ามีอีกคนหนึ่งมานั่งบนเรือลำเดียวกัน เรือก็ต้องล่มจมลงในแม่นํ้าอย่างเเน่นอน นั่นเป็นอุปมา ของพวกมีบาปมาเกิด ถ้าผู้มีบุญมาเกิดพร้อมกัน มีแต่ยิ่งนั่งเรือยิ่งลอยขึ้นไป
|
|
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจักเสด็จอุบัติขึ้นมา ครั้งละ ๑ พระองค์
เมื่อพระพุทธองค์เสด็จอุบัติขึ้นมา ย่อมยังสรรพสัตว์ ให้พ้นจากการเป็นบ่าว เป็นทาสของพญามาร ดังนั้นพญามารจึงพยายามกีดกัน ไม่ให้เสด็จอุบัติขึ้นมาพร้อมกันหลายพระองค์ |
อุปมาดัง มหานาวา เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมนำสรรพสัตว์ให้พ้นจากห้วงนํ้าและปลาร้าย เมื่อมีมากลำก็ยิ่งนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้พ้นจากทุกข์ได้มากเท่านั้น |
หรือบางอุปมากล่าวว่า ถ้ามาตรัสรู้พร้อมกัน ๒ พระองค์ บริษัททั้ง ๔ จะทะเลาะกันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้เก่งกว่าอีกพระองค์หนึ่ง นั่นเป็นอุปมาของมนุษย์มีกิเลสคิด แต่ในยุคที่พระพุทธเจ้าทรงบังเกิดขึ้นพร้อมกัน ๒ พระองค์ แสดงว่าเป็นยุคของผู้มีบุญมาเกิด บุคคลเหล่านี้เขามีความคิดสอนตนเองได้ เขาจะไม่คิดเอาอาจารย์ของตัวไปข่มอาจารย์อีกองค์หนึ่ง มีแต่จะชื่นชม แล้วพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็จะสอนว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าแต่ละพระองค์นั้นเสมอกันทั้งคุณธรรมและคุณวิเศษ แต่ต่างกันที่ระยะเวลาที่สร้างบารมีเท่านั้น พระองค์จะกล่าว ยกย่องซึ่งกันและกันว่า พระคุณของพระตถาคตแต่ละพระองค์นี่ แม้แต่พระตถาคตผู้มีดวงปัญญามาก มีพระสัพพัญญุตญาณ ก็ยังไม่อาจจะกล่าวได้ครบถ้วน เพราะฉะนั้นจะมาคิดเองว่า ถ้ามาเกิดพร้อมกัน เดี๋ยวเถียงกัน ทะเลาะกัน นั่นเป็นความเห็นของมนุษย์ผู้มีกิเลส
|
ดังนั้นพญามารจึงพยายามกีดกัน ทำให้พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นทีละพระองค์เท่านั้น |
เพราะฉะนั้น อุปมานี้ในทรรศนะของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา มีความเห็นว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมา ย่อมยังสรรพสัตว์ให้พ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร ดังนั้นพญามารจึงพยายามกีดกันไม่ให้เสด็จอุบัติขึ้นมาพร้อมกันหลายพระองค์ ลองคิดดูว่าถ้าองค์หนึ่งสอนกลางคืน องค์หนึ่งสอนกลางวัน เพราะว่ากายมนุษย์ก็ยังมีข้อจำกัด ต้องพักผ่อน ก็จะโปรดสรรพสัตว์ได้มาก
อุปมาดัง มหานาวา เมื่อบังเกิดขึ้นย่อมนำสรรพสัตว์ให้พ้นจากห้วงน้ำและปลาร้าย เมื่อมีมากลำก็ยิ่งนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้พ้นจากทุกข์ได้มากยิ่งขึ้น