การสร้างบารมีเพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้นั้น จะต้องอาศัยกำลังใจอันมหาศาลและใช้ระยะเวลาในการสร้างบารมีที่ยาวนาน
จนกว่าจะได้มาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง พระพุทธเจ้าจึงแบ่งได้เป็น
๓ ประเภท ตามพระบารมีที่ได้สั่งสมอบรมมา คือ
|
|
๙.
เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นเพศหญิง หรือเป็นบัณเฑาะว์
หรือเป็นกะเทย หรือเป็นบุคคลมี ๒ เพศ (อุภโตพยัญชนก) |
๑๐. เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์
ย่อมไม่ทำ อนันตริยกรรม คือ กรรมหนัก ๕ อย่างคือ |
|
|
(๑)
ไม่ฆ่าพ่อของตนเอง
|
(๒)
ไม่ฆ่าแม่ของตนเอง |
๑.พระปัญญาธิกพุทธเจ้า คือ
พระพุทธเจ้าที่ทรงสร้างบารมีประเภทมีปัญญาแก่กล้า มีปัญญาบารมีมาก
คือรีบจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็จะมีพุทธบริษัท ๔ อยู่จำนวนหนึ่งที่จะพาเข้านิพพาน
ใช้ระยะเวลาในการสร้างบารมี
๒๐ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป เริ่มตั้งแต่ทรงดำริในพระทัยว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลา
๗ อสงไขย เมื่อสั่งสมกุศลธรรมแล้ว เปล่งวาจาว่าอยากจะเป็น พระพุทธเจ้าใช้เวลาอีก
๙ อสงไขย แล้วหลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้าใช้เวลาอีก
๔ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป รวมแล้วใช้เวลาสร้างบารมีทั้งหมด ๒๐ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป
|
|
|
(๓)
ไม่ฆ่าพระอรหันต์ |
(๔)
ไม่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงห้อพระโลหิต |
(๕)
ไม่ทำให้สงฆ์แตกแยกกัน |
|
|
|
๑๑.
เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เป็นคนโรคเรื้อน โรคร้ายแรง |
๑๒.
เมื่อกำเนิดในสัตว์ดิรัจฉาน ย่อมเป็นสัตว์อยู่ในประเภท ที่มีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ
และไม่ใหญ่กว่าช้าง |
๑๓.
ไม่เกิดในขุปปิปาสิกเปรต (เปรตผู้หิวกระหาย) และ นิชฌามตัณหิกเปรต
(เปรตผู้ถูกความอยากเผาผลาญ) และกาลกัญชิกาสูร (เปรตชนิดหนึ่งที่ตัวสูงใหญ่มาก) |
|
|
|
๑๔.
ไม่เกิดในอเวจีมหานรก และโลกันตนรก |
๑๕.
เมื่อเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ ชั้นกามาวจร ก็ไม่เป็นเทวดาผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ
และไม่เป็นเทวบุตรมาร |
๑๖.
ไม่เกิดเป็นอสัญญีพรหม ซึ่งเป็นพรหมที่มีแต่รูปร่าง ไม่มีความรู้สึกนึกคิด
และไม่เกิดเป็นสุทธาวาสพรหม เพราะว่า สุทธาวาสพรหมจะต้องบรรลุเป็นพระอรหันต
์ในไม่ช้า |
๒.พระสัทธาธิกพุทธเจ้า
คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงสร้างบารมีประเภทมีศรัทธาแก่กล้า
คือมีศรัทธามาก ยืดเวลาไปอีกอยู่ในระดับกลาง ยังไม่รีบเข้านิพพาน
จะขอรวบรวมพุทธบริษัท ๔ ให้ได้มากๆ แล้วจะได้พาเข้านิพพานทีละมากๆ
ใช้ระยะเวลาในการสร้างบารมี
๔๐ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป เริ่มตั้งแต่ทรงดำริในพระทัยว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลา
๑๔ อสงไขย เมื่อสั่งสมกุศลธรรมแล้วเปล่งวาจาว่าอยากจะเป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลาอีก
๑๘ อสงไขย และหลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลา
๘ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป รวมแล้วใช้เวลาสร้างบารมีทั้งหมด ๔๐ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป
|
|
๑๗.
ไม่เกิดในอรูปภพ เพราะเป็นอรูปพรหมที่ทำ ฌานที่ไม่มีรูปมากำหนดเป็นอารมณ์
จักมีอายุยืน ยาวมาก |
๑๘.
ไม่ไปเกิดในจักรวาลอื่น |
๓.พระวิริยาธิกพุทธเจ้า
คือ พระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงสร้างบารมีประเภทมีความเพียร แก่กล้า
เรียกว่า ปรารถนาจะนำพาพุทธบริษัท ๔ เข้านิพพานไปให้ได้มากๆ จะใช้เวลานานแค่ไหนก็ยอม
เหมือนอย่างพระศรีอาริย ์
ใช้ระยะเวลาในการสร้างบารมี
๘๐ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป อีกหนึ่งเท่าของประเภท สัทธาธิกพุทธเจ้า
เริ่มตั้งแต่ทรงดำริในพระทัยว่าอยากจะเป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลา ๒๘
อสงไขย เมื่อสั่งสมกุศลธรรมแล้ว เปล่งวาจาว่าอยากเป็นพระพุทธเจ้าอีก
๓๖ อสงไขย และหลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลาอีก
๑๖ อสงไขยแสนมหากัป รวมแล้ว ๘๐ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป
|
|
|
พระพุทธเจ้าแบ่งได้
๓ ประเภท ตามพระบารมีที่ได้สั่งสมอบรมมา |
(๑)
พระปัญญาธิกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงสร้างบารมี ประเภทมีปัญญาแก่กล้า
มีปัญญามาก ระยะเวลาการสร้างบารมี ๒๐ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป |
เริ่มตั้งแต่ทรงดำริในพระทัยว่า
จะเป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลา ๗ อสงไขย เมื่อสั่งสมกุศลธรรมแล้ว
เปล่งวาจาว่าอยากจะเป็น พระพุทธเจ้าใช้เวลาอีก ๙ อสงไขย
แล้วหลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า ใช้เวลาอีก ๔ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป
รวมแล้วใช้เวลาสร้างบารมีทั้งหมด ๒๐ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป |
|
|
|
(๒)
พระสัทธาธิกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงสร้างบารมี ประเภทมีศรัทธาแก่กล้า
คือมีศรัทธามาก ระยะเวลาการสร้างบารมี
๔๐ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป |
เริ่มตั้งแต่ทรงดำริในพระทัยว่า
จะเป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลา ๑๔ อสงไขย เมื่อสั่งสมกุศลธรรม
แล้วเปล่งวาจาว่า อยากจะเป็นพระพุทธเจ้า ใช้เวลาอีก ๑๘ อสงไขย
และหลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้า
ใช้เวลา ๘ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป รวมแล้วใช้เวลาสร้างบารมีทั้งหมด
๔๐ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป |
(๓)
พระวิริยาธิกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงสร้างบารมี
ประเภทมีความเพียร แก่กล้า ระยะเวลาการสร้างบารมี
๘๐ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป |
พระพุทธเจ้าทั้ง
๓ ประเภท เมื่อจะได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกนั้น
ถ้าหากพระโพธิสัตว์เปลี่ยนใจไม่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า แต่มีความประสงค์ที่จะเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันตสาวกได้ทันที คือมีกำลังบารมีมากถึงขนาดนั้น
แต่ว่าถ้าตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วมักจะไม่ค่อยเปลี่ยนใจ ที่เปลี่ยนใจก็มีมากเหมือนกัน
ไม่เปลี่ยนใจก็มาก มากกว่า เมล็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง ๔ นั่นแหละ
|
|
|
เริ่มตั้งแต่ทรงดำริในพระทัยว่า
อยากจะเป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลา ๒๘ อสงไขย เมื่อสั่งสมกุศลธรรมแล้ว
เปล่งวาจาว่า อยากเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๓๖ อสงไขย และหลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกว่า
จะได้เป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลาอีก ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป รวมแล้ว
๘๐ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป |
การสร้างบารมีเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าได้นั้น
จะต้องอาศัยกำลังใจอันมหาศาล กับระยะเวลาในการสร้างบารมีที่ยาวนาน
จนกว่าจะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า |
พระพุทธเจ้าทั้ง
๓ ประเภท เมื่อจะได้รับคำพยากรณ์ จากพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกนั้น
ถ้าหากพระโพธิสัตว์เปลี่ยนใจ ไม่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า
แต่มีความประสงค์ที่จะเป็นพระสาวก ของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันตสาวกได้ทันที |
อันที่จริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้
พระองค์ปรารถนาจะมีอายุยืนถึง ๑ กัป ได้ทรงให้นัยกับพระอานนท์ถึง
๑๖ ครั้งว่า ตถาคตเจ้ารู้วิธีการที่จะทำให้อายุยืนถึง ๑ กัป ไม่ใช่กัปแค่
๑๒๐ ปี อย่างที่เขาเขียนกันในตำรับตำรานะ ๑ กัปนี่ยาวเลยนะ ยาวนานมาก
พระองค์ทรงรู้วิธีการ คือเข้าอนิมิตเจโตสมาธิ โดยมีอิทธิบาท ๔
คือ มีฉันทะปรารถนาจะอายุยืนๆ อย่างนั้น มีวิริยะ คือ ความเพียรที่จะให้อายุยืนๆ
มีจิตตะ คือ มีใจจดจ่อที่จะทำให้อายุยืนให้ได้เลย และมีวิมังสาคือดูว่า
ทำอย่างไรอายุจะยืน แล้วเข้า อนิมิตเจโตสมาธิโดยอาศัยธรรมกายอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งทำได้เฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว