Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน โปริสาท ตอนที่ 06
มีวาทะของพระเจ้าโปริสาทที่ปรากฏในมหาสุตโสมชาดกว่า
ลูกชายของกุฎุมพีชื่อสุชาติ ไม่ได้กินลูกชมพู่ เขายอมตายเพราะไม่ได้กินลูกชมพู่ฉันใด
ดูก่อนท่านกาละ แม้ตัวเราก็ฉันนั้น เคยบริโภคอาหารมีรสอันสูงสุดแล้ว เมื่อไม่ได้เนื้อมนุษย์ก็เห็นจะไม่มีชีวิตอยู่ได้เป็นแน่
เรื่องเล่านี้มีมูลเหตุมาจากการที่พระเจ้าพรหมทัตชื่นชอบในการเสวยเนื้อมนุษย์ เมื่อเสนาบดีกราบทูลขอร้องให้เลิกพฤติกรรมนั้นโดยเล่าเรื่องผลร้ายที่จะเกิดขึ้นตามมามากมาย แต่พระองค์ทรงแย้งว่า ตัวเรานี้ยอมตาย แต่ไม่ยอมเลิกเด็ดขาด ทรงนำเรื่องลูกชายของกุฎุมพีชื่อสุชาติ ผู้ยอมตายหากไม่ได้กินผลชมพู่มาเล่าให้ท่านเสนาบดีและมหาชนฟัง เพื่อเป็นการตอกย้ำความตั้งใจของพระองค์ว่า แม้ต้องตายก็จะไม่ยอมเลิกเสวยเนื้อมนุษย์เด็ดขาด
ในอดีตกาลกุฎุมพีชื่อว่าสุชาติในพระนครพาราณสี เห็นฤๅษี ๕๐๐ ตน ออกมาจากป่าหิมพานต์เพื่อต้องการเสพรสเค็ม รสเปรี้ยว ด้วยความเลื่อมใส จึงนิมนต์หมู่ฤๅษีให้พำนักอยู่ในสวนหลังบ้านของตน ได้คอยอุปฐากบำรุงอย่างดี ทุกเช้าจะมีการจัดภัตราหาร ๕๐๐ สำรับเพื่อต้อนรับหมู่ฤๅษี ที่เข้ามาเป็นเนื้อนาบุญในบ้าน
พออยู่มานานเข้าหมู่ฤๅษีก็หาโอกาสไปเที่ยวหาภิกษาด้วยตัวเองเพื่อโปรดสัตว์ตามหมู่บ้าน ตำบน หรือชนบทต่างๆ ฤๅษีบางตนเหาะไปป่าหิมพานต์และนำผลชมพู่ใหญ่ติดมือมาแบ่งปันหมู่ฤๅษีด้วยกัน ขณะเดียวกันก็นำมาฝากลูกชายของกุฎุมพีด้วย ลูกชายของกุฎุมพีเคี้ยวกินลูกชมพู่ซึ่งมีรสหอมหวานมากก็เกิดติดใจ ทุกๆวันจึงมารอขอลูกชมพู่กับท่านฤๅษี เหล่าฤๅษีก็เอ็นดูเพราะเห็นว่าเป็นเด็กและเป็นลูกของท่านกุฎุมพี จึงไม่ลืมที่จะนำลูกชมพู่ติดไม้ติดมือมาฝากเสมอ
ต่อมาหมู่ฤๅษีเห็นว่าได้พำนักอยู่นานพอสมควรแล้วจึงอำลาท่านกุฎุมพีกลับเข้าป่าหิมพานต์เหมือนเดิม ฝ่ายลูกน้อยของท่านกุฎุมพีไม่รู้ว่าหมู่ฤๅษีลาจากไปแล้ว คิดเพียงแค่ว่าสงสัยท่านจะลาไปวันสองวันก็คงจะกลับมา ขณะเดียวกันก็ได้แต่รบเร้าขอกินลูกชมพู่จากพ่อ เมื่อไม่ได้ก็ร้องห่มร้องไห้ แม้ว่ากุฎุมพีจะนำผลชมพู่ที่มีรสชาติใกล้เคียงกันมาให้ ลูกชาวเคี้ยวกินละก็คายทิ้งทันที เพราะไม่ใช่ผลไม้ที่ต้องการ เมื่อไม่ได้กินลูกชมพู่ ลูกชายจึงอดอาหารอยู่ถึง 7 วัน ในที่สุดก็ป่วยตายเพราะชมพู่เป็นเหตุ
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตทรงเล่าเรื่องนี้จบลง จึงตรัสบอกเสนาบดีว่า “ท่านกาฬ เราไม่ได้เนื้อมนุษย์ เห็นจะต้องตาย เหมือนลูกชายของสุชาติเป็นแน่” แต่เสนาบดีและเหล่าข้าราชบริพารก็ยังไม่ปรารถนาให้พระราชาสวรรคต จึงพยายามพูดและเกลี้ยกล่อมทุกวิถีทางที่จะทำให้พระราชาทรงกลับพระทัยเสียใหม่ แต่พระราชาก็ยังทรงยืนยันที่จะสละราชสมบัติ หรือหากไม่ได้เสวยเนื้อมนุษย์จะยอมอดตาย ทรงนำเรื่องลูกเศรษฐียอมตาย เพราะไม่ได้นางเทพอัปสรมาเล่าให้ฟัง
เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยก่อนมีหมู่ฤๅษี ๕๐๐ ตน ได้ออกจากป่าหิมพานต์มาอาศัยอยู่ในบ้านของเศรษฐีผู้มีฐานะดีในนครพาราณสี ฤๅษีเหล่านี้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีตบะธรรมที่แก่กล้า สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ทุกๆคืนเวลาที่หัวหน้าฤๅษีแสดงธรรมให้ท่านเศรษฐีและเหล่าสาธุชนได้รับฟังกัน จะมีพระอินทร์พร้อมด้วยเหล่าเทพอัปสรลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อร่วมรับฟังธรรมด้วย
มีอยู่คืนหนึ่งลูกชายของเศรษฐีนอนอยู่ในบ้านตื่นขึ้นมากลางดึก มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเหล่าเทพธิดามากมายกำลังนั่งแวดล้อมพระอินทร์จึงเกิดความกำหนัดอยากได้เทพอัปสรเหล่านี้มาเป็นภรรยาครั้นพระอินทร์สดับธรรมกถาเสร็จแล้วก็นำเหล่าเทพอัปสรเสด็จกลับสวรรค์เหมือนเดิม ลูกชายเศรษฐีเป็นเหมือนคนนอนฝันหวาน พอรุ่งเช้าได้เข้าไปถามหมู่ฤๅษีว่าผู้ที่มาไหว้พวกท่านเมื่อคืนนี้ เป็นใครกันหนอ เมื่อทราบว่าภาพที่ตนเองได้เห็นเมื่อคืนนั้นไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นเทพอัปสรที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อมาฟังธรรม
พอลูกชายเศรษฐีกลับบ้านก็ได้แต่เฝ้าหวังว่าเทพอัปสรผู้งดงามจะลงมาที่สวนหลังบ้านอีก แต่เนื่องจากฤๅษีทั้ง ๕๐๐ ตนได้กลับเข้าป่าหิมพานต์แล้ว ทำให้พระอินทร์และเหล่าเทพอัปสรไม่ได้ลงมาบนโลกมนุษย์อีก ลูกชายเศรษฐีก็ได้แต่พร่ำเพ้อ ฝันถึงนางเทพอัปสรแต่เพียงผู้เดียวจนไม่เป็นอันกินอันนอน
ฝ่ายเศรษฐีเห็นลูกชายมีอาการผิดปกตินึกว่ามีผีสิงจึงปลอบใจลูกจะหาสาวๆสวยๆมาให้ลูก อย่าได้พร่ำเพ้อไปเลย แต่ลูกชายก็ไม่สนใจในคำปลอบโยนของพ่อ ได้แต่นั่งพร่ำเพ้อถึงพวกนางอย่างลืมวันลืมคืนเศรษฐีและหมู่ญาติได้รีบจัดหาสาวสวยมาเป็นภรรยา ขณะเดียวกันก็หาหญิงเต้นรำมาแสดงให้ชมจะได้รู้สึกสบายใจขึ้น
แต่ลูกชายกลับไม่สนใจหญิงงามเหล่านั้นเลย กลับบอกพ่อแม่ว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่เทพอัปสรที่ตนต้องการ แต่เป็นนางยักษิณีต่างหาก จากนั้นก็เอาแต่เพ้อถึงนางเทพอัปสรไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ แม่พ่อแม่และหมู่ญาติสุดวิสัยที่จะช่วยเหลือได้ ในที่สุดเขาก็ตรอมใจตายเพราะความอาลัยในนางเทพอัปสร
เมื่อพระราชาเล่าจบจึงตรัสบอกกาฬหัตถีเสนาบดีว่า ลูกเศรษฐีอยากได้นางอัปสรจนไม่ยอมกินไม่ยอมดื่ม เท่ากับเอาน้ำที่มีนิดเดียว เหมือนติดอยู่ที่ปลายหญ้าคา มาเทียบกับน้ำในมหาสมุทร ส่วนเราปรารถนากินเนื้อมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มองเห็นเป็นรูปธรรม ตราบใดที่ยังมีเนื้อมนุษย์ให้กิน แม้จะต้องถูกเนรเทศออกจากราชบัลลังก์เราก็ยินดี แต่ถ้าหากอยู่อย่างไมได้กินเนื้อมนุษย์ก็จะขอยอมตายเสียดีกว่า ทางด้านเสนาบดีก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะสรรหาโทษของการเสวยเนื้อมนุษย์มาเกลี้ยกล่อมพระทัยของพระราชาเพื่อให้สำนึกในการเป็นผู้นำประเทศชาติ
แต่ชาวเมืองได้ลุกฮือขึ้นร้องตะโกนว่า ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมอีกต่อไปแล้ว พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ขอให้เนรเทศออกจากแว่นแคว้นไปเดี๋ยวนี้เถิด เสนาบดีจึงกราบทูลเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทอดพระเนตรสิริราชสมบัติเหล่านี้เถิด พระองค์อย่าได้ทรงพินาศเพราะต้องพลัดพลาดจากสิ่งเหล่านี้เลย ขอจงงดการเสวยเนื้อมนุษย์เสียเถิด พวงข้าพระบาทและพสกนิกรพร้อมจะให้อภัยเสมอพระเจ้าค่ะ”
ความเสพคุ้นเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ยากมาก เหมือนเสือคุ้นป่า ปลาคุ้นน้ำ จะให้ปลาขึ้นมาบนบกหรือเสือเข้ามาอยู่ในกลางเมืองนั้น มันจะรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันทีและมันจะดิ้นรนกลับไปที่เดิม ผู้ที่เสพคุ้นกับอะไรนานๆจะให้มาเปลี่ยนแปลงนิสัยใหม่เป็นเรื่องที่ยากเช่นกัน ฉะนั้นเราต้องห่างไกลจากสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายเราจะได้ไม่ไปมัวเมาลุ่มหลง เพราะถ้าไปติดมันเสียแล้วจะกลับตัวยาก ต้องมีกระบวนการบำบัดรักษามากมาย จึงจะตัดใจเลิกได้ พระเจ้าพรหมทัตผู้ติดใจในเนื้อมนุษย์ก็เช่นกัน จะให้พระองค์เลิกง่ายๆก็คงเป็นไปได้ยาก ซึ่งพระองค์จะเลือกเอาระหว่างสิริราชสมบัติหรือเนื้อมนุษย์ก็ให้ติดตามได้ในตอนต่อไป