ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : อย่าเอาแต่อ้อนวอน


ธรรมะเพื่อประชาชน : อย่าเอาแต่อ้อนวอน

Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน 

Dhamma%20235_01.jpg

อย่าเอาแต่อ้อนวอน

(อานิสงส์สมาทานศีล ๕) 

          ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา และจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกๆ คน เพราะหากกายและใจไม่มีความสุขแล้ว ไม่ว่าจะทำภารกิจการงานใด  ก็ยากจะประสบความสำเร็จได้  ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะแสวงหาความสุขที่แท้จริงให้ตัวเอง  ในเมื่อร่างกายยังต้องชำระล้างให้สะอาดทุกวัน จิตใจก็จำเป็นต้องมีการชำระให้สะอาด และบริสุทธิ์ผ่องใสทุกวันเช่นกัน  ใจที่ผ่องใสย่อมนำความสุขมาให้  และยังเป็นทางมาแห่งมหากุศล เป็นเครื่องนำพาสัตว์โลกไปสู่สุคติภูมิ และนำทุกชีวิตไปสู่เป้าหมายอันสูงสุดคืออายตนนิพพาน  ดังนั้น เราต้องหมั่นเจริญสมาธิภาวนา หมั่นฝึกฝนอบรมใจของเราให้หยุดนิ่ง ให้บริสุทธิ์ผ่องใส เพื่อจะได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง และเข้าถึงเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตกันทุกคน
 
 
     มีวาระพระบาลีใน อิฏฐสูตร ความว่า
 
          “ดูก่อนคฤหบดี  ธรรม ๕ ประการที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ  หาได้โดยยากในโลก  ๕ ประการเป็นไฉน  คือ อายุ วรรณะ สุข ยศและสวรรค์  ดูก่อนคฤหบดี  ธรรม ๕ ประการนี้แล น่าใคร่ น่าพอใจ หาได้โดยยากในโลก  เรามิได้กล่าวว่าจะพึงได้ เพราะเหตุแห่งความอ้อนวอน หรือเพราะเหตุแห่งความปรารถนา  ถ้าธรรม ๕ ประการนี้  น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจหาได้โดยยากในโลก  จักได้เพราะเหตุแห่งความอ้อนวอน หรือเพราะเหตุแห่งความปราถนาแล้วไซร้ ในโลกนี้ใครจะพึงเสื่อมจากอะไร”
 
 
          ความสำเร็จสมปรารถนาในชีวิต ไม่ได้เกิดจากการสวดอ้อนวอน  แต่ต้องประกอบเหตุคือการสั่งสมบุญ แล้วตั้งความปรารถนาอธิษฐานจิต  การอธิษฐานจิตเป็นการวางผังความสำเร็จให้กับชีวิต หากปรารถนนาให้แรงอธิษฐานเกิดผลโดยพลัน ต้องหมั่นสั่งสมบุญไว้มากๆ  บุญที่เราสั่งสมจะกลายเป็นดวงบุญดวงบารมีที่สุกใสสว่างมีอานุภาพ คอยส่งฤทธิ์ส่งเดชให้เราสมปรารถนาในทุกสิ่ง
 
 
Dhamma%20235_02.jpg
          การอธิษฐานที่ถูกวิธี ไม่ใช่ไปอธิษฐานกับภูเขา ต้นไม้ เจ้าทรง ผีสิง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ การทำเช่นนั้นเป็นการอ้อนวอนที่ไม่เกิดผลดีกับตัวเรา  มีแต่จะทำให้กลายเป็นคนเลื่อนลอย  หวังพึ่งแต่สิ่งภายนอกเท่านั้น  หากเราระลึกนึกถึงบุญกุศล และความบริสุทธิ์ที่เราได้สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน รวมทั้งอานุภาพของพระรัตนตรัยที่ไม่มีประมาณ  นึกถึงสิ่งประเสริฐเหล่านี้ แล้วอธิษฐานจิต ตั้งความปรารถนาในสิ่งที่ดีงาม  ในที่สุดเราจะสมปรารถนาข้ามพ้นอุปสรรคทุกอย่าง และประสบความสำเร็จอย่างเป็นอัศจรรย์ ดังเช่นพระบรมศาสดาครั้งที่ยังเป็นสุเมธดาบส ซึ่งเมื่อได้รับพุทธพยากรณ์จากสมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้าแล้ว  ท่านนึกถึงอธิษฐานบารมีทันทีว่า "ภูเขาหินศิลาแท่งทึบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่สะเทือนด้วยลมและแดด ย่อมตั้งอยู่ในที่เดิมฉันใด  ท่านต้องไม่หวั่นไหวในความตั้งใจจริงตลอดกาลทุกเมื่อ ฉันนั้น"
 
 
          การอธิษฐานเป็นการตั้งความปรารถนาที่เกิดจากฉันทะ ด้วยจิตที่บริสุทธิ์  โดยการอ้างถึงความดีที่ได้ทำมาแล้ว เพื่อเป็นเหตุหนุนนำให้เกิดความสำเร็จ เป็นการอ้างสิ่งที่มีอยู่จริงมาช่วยตนให้สำเร็จ เปรียบง่ายๆ คือการอ้อนวอนเสมือนขอให้คนอื่นมาช่วย ซึ่งอาจช่วยได้บ้างหรือไม่ได้บ้างตามแต่อารมณ์และความสามารถของคนที่จะมาช่วยเรา แต่การอธิษฐานเป็นการทำด้วยตนเอง  พึ่งตนเองให้เป็นไปตามที่เราต้องการ
 
 
          การอ้อนวอน คือ การอยากได้โดยไม่ประกอบเหตุ  และไม่ประกอบความเพียรในทางที่ชอบที่ถูกต้อง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากความอยากนมีมากๆ ก็จะกลายเป็นความโลภซึ่งมีกิเลส คือ ตัณหาเป็นเครื่องหนุน สำหรับบุคคลที่มีคุณงามความดี เขาย่อมไม่กลัวหรือกังวลต่อภัยใดๆ  เพราะมั่นใจในผลแห่งความดีที่ได้ทำมา  หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้น  บุญหรือคุณความดีที่ทำมา ย่อมช่วยให้เขาพ้นจากภัยต่างๆ ได้ หรือถ้าเป็นภัยร้ายแรงถึงชีวิต  เขาย่อมไม่กลัว และไม่สะทกสะท้านต่อมรณภัย  เพราะคุณความดีเปรียบเสมือนนาวาธรรมย่อมนำเขาไปสู่สุคติอย่างแน่นอน  ดังเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต
 
 
Dhamma%20235_03.jpg
          * สมัยหนึ่ง ผู้คนเป็นจำนวนมาก ต่างค้าขายทางทะเลโดยใช้เรือลำใหญ่  ครั้งหนึ่งขณะที่เรือออกทะเลไปได้ ๗ วัน เกิดพายุใหญ่ได้ชัดคลื่นใส่เรือ ทำให้เรืออับปาง ทุกคนในเรือต่างพากันนึกถึงเทวดาของตน ได้แต่ร้องให้คร่ำครวญอ้อนวอนต่างๆนาๆ  ขณะนั้นนั่นเอง บุรุษคนหนึ่งคิดได้ว่า เรามาประสบภัยร้ายแรงเช่นนี้ ไม่มีสิ่งใดช่วยเราได้แน่ นอกจากความดีที่ทำมา เขาจึงรีบนึกถึงความดี อีกทั้งนึกถึงสรณะและศีลอันบริสุทธิ์ที่ตนรักษามา  ไม่หวาดกลัวต่อพญามัจจุราชอีกต่อไป ด้วยรู้ว่าความดีของตนเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งแก่ตนและจะพาไปสู่สุคติได้  จึงนั่งขัดสมาธิประดุจพระฤๅษี
 
 
 Dhamma%20235_05.jpg
          มหาชนเห็นอาการของบุรุษนั้นต่างถามว่า “ทำไมไม่กลัว”  ท่านตอบว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย  เราไม่กลัวภัยนี้  เพราะในวันที่ขึ้นเรือ  เราได้ถวายทานแด่หมู่ภิกษุสงฆ์ อีกทั้งได้รับสรณะและศีล  เราจึงไม่กลัวตาย”  มหาชนจึงถามว่า “ข้าแต่นาย ก็สรณะและศีลสมควรแก่พวกข้าพเจ้าหรือไม่”  ท่านตอบว่า “สมควรอย่างยิ่ง ธรรมเหล่านี้ย่อมสมควรแก่พวกท่าน”  มหาชนจึงขอสรณะและศีลกับมหาบุรุษนั้น
 
 
          เนื่องจากคนบนเรือเป็นจำนวนมาก  มหาบุรุษจึงแบ่งคนเป็นกลุ่มๆ ละร้อยคน  รวม ๗ กลุ่ม  ต่อจากนั้นก็ให้สมาทานศีล ๕  มหาชนกลุ่มแรกได้ยืนรับสรณะและศีลขณะน้ำท่วมถึงข้อเท้า กลุ่มที่ ๒ ยืนอยู่ในน้ำที่ท้วมถึงเข่า กลุ่มที่ ๓ ยืนอยู่ในน้ำที่ท้วมถึงสะเอว  กลุ่มที่ ๔ ยืนในนํ้าที่ท้วมถึงสะดือ กลุ่มที่ ๕ ยืนอยู่ในนํ้าในระดับหน้าอก กลุ่มที่ ๖ ยืนอยู่ในน้ำที่ท้วมถึงคอ  และกลุ่มที่ ๗ เป็นกลุ่มสุดท้ายที่ได้รับศีลในขณะที่น้ำกำลังไหลเข้าปาก  เมื่อมหาบุรุษให้ทุกคนรับศีล ๕ แล้ว ก็ประกาศว่า “สิ่งอื่นที่จะเป็นที่พึ่งของพวกเราไม่มี ขอพวกเราทั้งหลายจงรักษาศีลให้บริบูรณ์เถิด”
 
Dhamma%20235_06.jpg
 
          เมื่อคนเหล่านั้นละโลก ก็ได้ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์ เพราะอาศัยศีลที่ตนรับไว้ก่อนตาย วิมานของเทวดาเหล่านั้น บังเกิดขึ้นเป็นหมู่เป็นคณะเดียวกัน  มีวิมานทองของมหาบุรุษผู้เป็นอาจารย์มีประมาณร้อยโยชน์อยู่ในท่ามกลางวิมานทั้งหมด  เทพที่เหลือเป็นบริวารของเทพบัณฑิตอาจารย์นั้น  ผู้คนทั้งหมดรอดจากอบายภูมิ ก็ด้วยอานุภาพแห่งบุญที่เกิดจากการสมาทานศีลนั่นคือ เกิดจากอำนาจบุญ ไม่ได้เกิดจากการอ้อนวอนแต่อย่างใด
 
 
 Dhamma%20235_04.jpg
          พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้อ้อนวอน  แต่สอนให้พึ่งตนเอง โดยนึกถึงคุณความดีที่ตน ทำไว้ดีแล้วและตั้งจิตอธิษฐานจิต ประพฤติมั่นในทางแห่งความดีนั้น  ทั้งนี้ต้องประกอบเหตุ คือ มีบุญกุศลเป็นต้นทุนก่อน  พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้พุทธบริษัทระลึกว่า  ผู้มีศรัทธา พึงอ้อนวอนโดยชอบอย่างนี้ว่า  ขอเราจงเป็นเช่นพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเถิด เพราะท่านเสมือนเป็นตราชู เป็นมาตรฐานของภิกษุสาวก  ถ้าเป็นหญิงผู้มีศรัทธา ก็พึงอ้อนวอนขอให้เป็นเช่นภิกษุณีเขมาและอุบลวรรณาเถรี และถ้าเป็นอุบาสกก็ขอให้เป็นเช่นจิตตคฤหบดี หรืออุบาสิกาก็ขอให้เป็นเช่นอุบาสิกาขุตชุตตรา เป็นต้น
 
 
          พวกเราเป็นนักสร้างบารมี ควรจะทำอย่างบัณฑิตผู้รู้ทั้งหลาย  ที่ท่านได้ทำไว้เป็นแบบอย่าง ยามประสบทุกข์ภัยในชีวิต ก็ให้นึกถึงความดีที่เราได้ทำไว้ดีแล้ว ทุกครั้งที่มีโอกาสทำความดีก็ให้อธิษฐานจิตกำกับเสมอ  อธิษฐานบารมีของเราจะได้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เราได้ทำความดีสร้างสิ่งที่ดีงามมากมายให้เกิดขึ้นแก่โลก เราควรหมั่นระลึกถึงความดีเหล่านั้น  บุญกุศลจะได้เกิดขึ้นกับเราตลอดเวลา  เมื่อใจเป็นบุญกุศล  นึกคิดปรารถนาสิ่งใดก็จะสมปรารถนา ฉะนั้นให้ตั้งใจทำความดีให้เต็มที่  แล้วเราจะสมปรารถนากันทุกๆ คน

พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
* มก. เล่ม ๒๔ หน้า ๑๕๑
 
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล