ชาดก 500ชาติ

อรรถกถาอัพภันตร ชาดกว่าด้วยผลไม้ทิพย์

อรรถกถา อัพภันตรชาดก

ว่าด้วย ผลไม้ทิพย์

 

              ณ พระวิหารเชตวัน สถานที่ ที่พระศาสดาประทับอยู่ ทรงเอ่ยเรื่องที่พระสารีบุตรเถระถวายรสมะม่วงแก่พระพิมพาเถรี 


               พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระธรรมจักรอันควร แล้วประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาในเมืองเวสาลี พระนางมหาปชาบดีโคตมีพานางสากิยานีจำนวน ๕๐๐ นางไปขอบรรพชาแล้ว ได้บรรพชาและอุปสมบท ในกาลต่อมา ภิกษุณี ๕๐๐ รูปเหล่านั้นได้ฟังโอวาทของพระนันทกะได้บรรลุพระอรหันต์


              ครั้นพระศาสดาเสด็จไปอาศัยประทับอยู่ในเมืองสาวัตถี แม่ของพระราหุลเอ่ยว่า "พระสวามีของเราบวชได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว แม้โอรสของเราก็บวชอยู่ในสำนักของพระสวามี  เราจะกระทำอะไรอยู่ในท่ามกลางเรือน แม้เราบวชแล้วไปอยู่ในเมืองสาวัตถี จะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระโอรสอยู่ " จึงเสด็จเข้าไปยังสำนักของนางภิกษุณี บวชแล้วได้ไปยังเมืองสาวัตถีพร้อมกับอุปัชฌาย์อาจารย์ เห็นพระศาสดาและบุตรผู้เป็นที่รัก สำเร็จการอยู่ในสำนักภิกษุณีแห่งหนึ่ง ราหุลสามเณรได้มาเยี่ยมพระชนนี


             ในวันหนึ่ง ลมในท้องของพระเถรีกำเริบ เมื่อพระโอรสเสด็จมาเพื่อจะเยี่ยมเยียน พระเถรีนั้นไม่สามารถจะออกมาพบได้ ภิกษุณีอื่นๆ จึงมาบอกว่า พระเถรีไม่สบาย ราหุลสามเณรนั้นจึงไปยังสำนักของพระมารดา แล้วทูลถามว่า "ท่านแม่ควรจะได้ยาอะไร?" "แม่ดื่มรสมะม่วงที่ปรุงด้วยน้ำตาลกรวด แต่ตอนนี้ พวกเราเที่ยวบิณฑบาตเลี้ยงชีพ จะได้รสมะม่วงนั้นมาจากไหน"


               ราหุลสามเณรทูลว่า เมื่อหม่อมฉันได้ จะนำมาให้ท่านแม่ ก่อนจะออกไปแล้วกลับไปยังสำนักของตน ใบหน้าที่เศร้า ปรากฎขึ้นชัดเจนจนกระทั่ง พระเถระกล่าวกับราหุลสามเณรว่า  พระอุทร " โรคลมในท้องแห่งพระเถรีผู้เป็นมารดาของกระผม กำเริบขึ้น""แล้วอย่างนี้จะรักษาอย่างไร" "พระมารดาเล่าให้ฟังว่า มีความผาสุกได้ด้วยรสมะม่วงที่ปรุงประกอบด้วยน้ำตาลกรวด" เมื่อสามเณรราหุลเอ่ยจบพระเถระได้ตอบว่า "ไม่ต้องกังวลไปเดี๋ยวสิ่งที่ท่านอยากได้ ก็จะได้เอง"

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%8702.png


               
               ในวันรุ่งขึ้น พระเถระพาราหุลสามเณรนั้นเข้าไปในเมืองสาวัตถี ให้สามเณรนั่งที่โรงฉันแล้วเดินไปยังประตูพระราชวัง พระเจ้าโกศลเห็นพระเถระ จึงนิมนต์ให้นั่ง ในขณะนั้นเอง บ่าวรับใช้นำเอามะม่วงหวานที่สุกทั้งพวง จำนวนห่อหนึ่งมาถวาย พระราชาทรงปอกเปลือกมะม่วงแล้วใส่น้ำตาลกรวดลงไป ขยำด้วยพระองค์เอง แล้วได้ถวายพระเถระจนเต็มบาตร


               จากนั้นพระเถระออกจากพระราชนิเวศน์ ไปยังโรงฉัน แล้วได้ให้แก่สามเณร โดยกล่าวว่า "เธอจงนำรสมะม่วงนั้นไปให้มารดาของเธอ"

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%872.5.png


               ราหุลสามเณรนั้นได้นำไปถวายแล้ว พอพระเถรีบริโภคแล้วเท่านั้น โรคลมในท้องก็สงบลง


               ฝ่ายพระราชาทรงส่งคนไปด้วยดำรัสสั่งว่า พระเถระไม่นั่งฉันรสมะม่วง "เธอจงไปดูให้รู้ว่า พระเถระให้ใคร" ราชบุรุษคนนั้นจึงไปพร้อมกับพระเถระ ทราบเหตุนั้นแล้วจึงมากราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ ตั้งแต่นั้น พระเจ้าโกศลรับสั่งให้ถวายรสมะม่วงแก่พระเถรีเป็นประจำ


               ความที่พระสารีบุตรเถระถวายรสมะม่วงแก่พระพิมพาเถรี เกิดปรากฏในหมู่ภิกษุสงฆ์อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ได้ยินว่า" พระสารีบุตรเถระได้กระทำพระพิมพาเถรีให้อิ่มหนำด้วยรสมะม่วง" พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า


            "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรให้มารดาของราหุลอิ่มหนำด้วยรสมะม่วง ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน สารีบุตรนี้ก็ได้ให้มารดาของราหุลนี้อิ่มหนำมาแล้วเหมือนกัน" แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้


                 ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดขึ้นเกิดในตระกูลพราหมณ์ในหมู่บ้านแคว้นกาสี พอเจริญวัยแล้วก็ไปเรียนสรรพศิลปศาสตร์ในเมืองตักกสิลา แล้วดำรงฆราวาสอยู่ ต่อมาบิดามารดาล่วงลับไป จึงบวชเป็นฤาษี ทำอภิญญาและสมาบัติให้เกิดในหิมวันตประเทศ อันคณะฤาษีห้อมล้อมเป็นครูของคณะ ต่อเมื่อระยะกาลอันยาวนานล่วงไป เพื่อต้องการจะเสพรสเค็มและเปรี้ยว จึงลงจากเชิงเขาเที่ยวจาริกไปจนถึงเมืองพาราณสี จึงอาศัยอยู่ในพระราชอุทยาน

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%874.png

 


               ในขณะเดียวกัน ภพของท้าวสักกะเทวราชก็ปรากฏ เสียง "ครื้นนน" ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว จนเจ้าตัวถึงกับประหลาดใจ "นี่มันเกิดอะไรขึ้น" พระองค์ได้พิจารณาจนกระทั่งพบว่า เป็นเพราะเป็นเพราะเดชแห่งศีลของคณะฤาษี ท้าวสักกะจึงพยายามหาทางให้ดาบสถูกทำลาย เพื่อให้วิมานของตนดำรงอยู่ได้ จนกระทั้งคิดแผนที่จะสามารถไล่คณะดาบสออกจากอุทยาน

 

            %E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%875.png                       
               ในเวลาต่อมา ณ ห้องนอนของพระราชินี ท้าวสักกะเข้าไปในห้องแล้วประทับยืน แสดงตนให้รู้ว่าเป็นท้าวเทวราช แล้วเอ่ยกับพระอัครมเหสีว่า "ผลของต้นไม้ชื่ออัพภันตระเป็นผลไม้ทิพย์ นารีผู้แพ้ท้องได้เสวยผลไม้ทิพย์นั้นแล้ว จะประสูติพระโอรสเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ" "จริงหรือเจ้าคะ" พระมเหสีถามอย่างสงสัย "ใช่ อย่าลืมนะท่าน แจ้งพระราชาให้ทรงทราบเรื่องนี้" เมื่อพระมเหสีได้ยินดังนั้น ก็ทรงตอบตกลงทันที
              
   
               จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น พระนางมีอาการแพ้ท้อง จึงยังคงนอนอยู่ในห้อง ส่วนเหล่านางสนม ต่างพาลงไปข้างล่าง ครั้นเมื่อพระราชา เสร็จมาถึงพระที่นั่ง ก็มองไปที่เหล่านางสนม แต่แปลกที่วันนี้ไม่เห็นพระมเหสีสุดที่รักของตน จึงถามเหล่าบริวารว่า "พระเทวีไปไหน?" "พระนางทรงพระประชวร พระเจ้าข้า"

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%876.png


             
                เมื่อได้ยินคำตอบจากเหล่าบ่าวรับใช้แล้ว พระราชาจึงเสด็จไปยังสำนักของพระเทวีทันที พร้อมกับประทับนั่งบนข้างพระที่บรรทมแล้ว ทรงลูบไปที่หลัง ตรัสถามว่า "น้องหญิงเธอเป็นอะไรหรือ?" "ท่านพี่ น้องนั้นไม่ได้ป่วยเป็นอะไรแต่แพ้ท้องเท่านั้น" "แล้วเจ้าอยากกินอะไรเล่า" "ตัวน้องนั้นอยากกินผลมะม่วงชื่ออัพภันตระพระเจ้าข้า" "แล้วมะม่วงชื่ออัพภันตระมีอยู่ที่ไหน?" "น้องก็ไม่รู้เหมือนกัน" "ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวพี่จะลองถามท่านอำมาตย์ ดูก่อนแล้วกัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พี่จะหามาให้เจ้าได้อย่างแน่นอน" หลังจากที่พระราชาปลอบใจผู้เป็นภรรยาเรียบร้อยแล้ว ก็ลุกออกจากห้องนอนไป

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%877.png


               จากนั้นพระราชา เสด็จประทับนั่งบนราชบัลลังก์ รับสั่งให้เรียกอำมาตย์ แล้วตรัสถามว่า พระเทวีเกิดการแพ้พระครรภ์ "อยากจะเสวยมะม่วงชื่อว่าอัพภันตระ ควรจะทำอย่างไร?"


               อำมาตย์กราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ มะม่วงที่ตั้งอยู่ระหว่างกลางมะม่วง ๒ ต้น ชื่อว่ามะม่วงอัพภันตระ พวกข้าพระพุทธเจ้าจะส่งคนไปยังพระราชอุทยาน ให้นำผลจากมะม่วงที่ตั้งอยู่ในระหว่างต้นมะม่วงทั้งสองต้นมาให้ประทานแก่พระเทวีเอง" "ดีมาก พวกท่านจงนำเอาผลมะม่วงนั่นมา" จากนั้นก็ส่งทหารไปยังพระราชอุทยาน


               ด้านท้าวสักกะได้บันดาลให้ผลมะม่วงทั้งหลายในพระราชอุทยานอันตรธานไป ไม่เหลือไว้แม้แต่ลูกเดียว ส่งผลให้เมื่อเหล่าทหารเมื่อเดินทางไปถึง กลับไม่สามารถหาสิ่งที่ตนต้องการได้ เหล่าทหารทั้งหมด กลับมามือเปล่า

 

               พระราชาทรงตรัสถามว่า "ใครกันกินมะม่วงหมด" "คณะดาบสพระเจ้าข้า" "ทำไมถึงคิดเช่นนั้นละ" "ก็เพราะว่าในขณะที่หม่อมฉันเดินทางไปถึง มีเหล่าฤๅษีอาศัยอยู่" เมื่อพระราชาได้ฟังคำตอบเหล่านั้น ก็เกิดความเกรี้ยวกราดขึ้น จึงสั่งให้ทหาร เฆี่ยน โบยตีและไล่เหล่านักบวชนั้นออกจากเมืองไป  เป็นอันว่าแผนของท้าวสักกะบรรลุประสงค์
             
               พระเทวีก็ยังทรงบรรทมอยู่ในห้องนอน โดยผูกพระทัยว่าตนนั้นจะต้องกินมะม่วงให้ได้ เมื่อพระราชาไม่ทรงเห็นลู่ทาง จึงสั่งให้อำมาตย์และพราหมณ์ทั้งหลายประชุมกัน แล้วตรัสถามว่า "ท่านทั้งหลายทราบกันไหมว่ามะม่วงอัพภันตระมีอยู่ที่ไหน?"


              " ขอเดชะ ชื่อว่ามะม่วงอัพภันตระเป็นเครื่องบริโภคของเทวดา อยู่ภายในถ้ำทองป่าหิมพานต์ พวกข้าพระพุทธเจ้าได้ยินสืบๆ กันมาประมาณนี้"  "ถ้าอย่างนั้นจะมีใครเล่าสามารถนำเอามะม่วงจากป่าหิมพานต์มาได้?" "สุวโปดกลูกนกแขกเต้าที่พระองค์เลี้ยงไว้น่าจะได้" เมื่อองค์กษัตริย์ได้ยินดังนั้น ตบเข่าดังฉาด "ท่านนี่ความคิดดีจริงๆ"


               จากนั้นพระราชาจึงให้นำสุวโปดกนั้นมาแล้วตรัสว่า "ดูก่อนพ่อสุวโปดก  เรามีเรื่องที่จะของให้ช่วยได้ไหม" "ท่านมีเรื่องอันใดหรือ" "พระเทวีเกิดแพ้ท้อง อยากจะเสวยมะม่วงอัพภันตระ ซึ่งต้นมะม่วงนั้นอยู่ระหว่างกาญจนบรรพต ในป่าหิมพานต์  มนุษย์ไม่สามารถเข้าไปได้ ครั้งนี้เลยต้องพึ่งเจ้า ช่วยนำผลออกมาให้หน่อยได้ไหม" ลูกนกรับคำทันที "กระหม่อมจะนำมะม่วงมาถวายพระองค์จนได้"


                พระราชาให้สุวโปดกนั้นกินข้าวตอกเคล้าน้ำผึ้งในจานทอง ให้ดื่มน้ำเจือน้ำตาลกรวด ทาระหว่างปีกของสุวโปดกนั้นด้วยน้ำมันสุกได้ร้อยครั้ง แล้วอุ้มปล่อยไปในอากาศ

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%878.png     

        
               ฝ่ายสุวโปดกนั้นแสดงการเคารพต่อพระราชาแล้วบินไปในอากาศ  จนกระทั่งถึงฝูงของนกแขกเต้า สอบถามถึงมะม่วงชื่ออัพภันตระ ในหิมวันตประเทศ  แต่ก็ไม่ได้คำตอบใดๆ  สุวโปดกยังคงบินไปเรื่อยๆ จนผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า ฝูงนกแขกเต้ามากมายแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ ใดๆ จนกระทั้งมาถึงภูเขาที่เจ็ด สุวโปดกเข้าไปหาฝูงนกแขกเต้าอีกครั้ง  เพื่อถามหามะม่วง


            "สหาย มะม่วงอัพภันตระนั้น เป็นเครื่องบริโภคของท้าวเวสวัณมหาราช ใครๆ ไม่อาจเข้าไปใกล้ ต้นไม้ทั้งสิ้นล้อมด้วยตาข่ายเหล็ก ๗ ชั้น ตั้งแต่ราก มีกุมภัณฑ์และยักษ์จำนวนพันรักษาอยู่ ถ้าเจ้าพวกนั้นเห็นเข้า ท่านจะไม่มีชีวิตรอด สถานที่นั้นเหมือนอเวจีมหานรก ประดุจไฟลุกอยู่ตลอดกัป ท่านอย่าได้ไปเลย"

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%879.png


              "ถ้าอย่างนั้นท่านช่วยบอกได้ไหม ว่าทางนั้นไปเช่นไร"  นกแขกเต้าฝูงนั้นก็อธิบายทางให้ฟัง สุวโปดกจำหนทางได้แม่นยำ ตามที่นกแขกเต้าเหล่านั้นบอก จึงบินไปยังที่นั้นในเวลากลางคืนเพื่อพรางตัวจากยักษ์ที่ทำหน้าที่เฝ้าต้นมะม่วง ในคืนหนึ่งซึ่งเป็นเวลาที่พวกยักษ์กำลังนอนหลับ จึงเข้าไปใกล้ต้นมะม่วงอัพภันตระค่อยๆ ปีนขึ้นทางระหว่างโคนต้นหนึ่ง ขณะนั้นตาข่ายเหล็กก็กระทบกันเสียงดังกริ๊กๆ


               พวกยักษ์เหล่านั้นตื่นขึ้นเห็นสุวโปดกอยู่ข้างใน จึงจับเอาไว้โดยหาว่าเป็นโจรขโมยมะม่วง คิดหาวิธีลงโทษผู้บุกรุก "เราจะใส่ปากกลืน" "ไม่ๆแบบข้าดีกว่าต้องขยี้ด้วยมือทั้งสองแบบนี้" ขณะที่พูดก็แสดงท่าทางออกมา เหล่ายักษ์ที่ยืนดูต่างแสดงความคิดเห็นต่างๆ


               สุวโปดกนั้น แม้จะได้ยินการลงโทษ ก็ไม่ได้หวาดเสียวเลย เรียกพวกยักษ์เหล่านั้นมาแล้วกล่าวว่า "ท่านยักษ์ผู้เจริญ พวกท่านเป็นราชบุรุษของใคร" "เราเป็นราชบุรุษของท้าวเวสวัณมหาราช"


               สุวโปดกกล่าวว่า "แม้พวกท่านก็เป็นราชบุรุษของพระราชาองค์หนึ่ง แม้เราก็เป็นราชบุรุษของพระราชาผู้เป็นมนุษย์เหมือนกัน พระเจ้าพาราณสีทรงส่งเรามาเพื่อต้องการผลมะม่วงอัพภันตระ เรานั้นได้สละชีวิตเพื่อพระราชาของเราในเมืองพาราณสีนั้นนั่นแลจึงได้มา ก็บุคคลใดสละชีวิตเพื่อประโยชน์แก่บิดามารดาและเจ้านายของตน บุคคลนั้นย่อมบังเกิดในเทวโลกเที่ยงแท้ เพราะฉะนั้น แม้เราพ้นจากกำเนิดดิรัจฉานนี้แล้ว จักบังเกิดในเทวโลกเท่านั้น"
               
           "บุคคลผู้กล้าหาญเห็นปานนี้นั้นย่อมได้ฐานะอันใด จะเป็นเทวสมบัติหรือมนุษย์สมบัติก็ตาม แม้เราก็จะเป็นผู้ได้ฐานะอันนั้น เพราะฉะนั้น เราจึงมีแต่ความร่าเริงเท่านั้น ไม่มีความสะดุ้งในเรื่องนี้ ก็ท่านทั้งหลายจะทำเราให้สะดุ้งหวาดเสียวได้อย่างไร"


               สุวโปดกนั้นแสดงธรรมแก่พวกยักษ์เหล่านั้น เมื่อฟังธรรมของสุวโปดกนั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใสกล่าวว่า สุวโปดกนี้เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม "ใครๆ ไม่อาจฆ่าให้ตาย พวกเราจงปล่อยสุวโปดกนั้นเสียเถิด ว่าแล้วก็ปล่อยสุวโปดกพลางกล่าวว่า ดูก่อนสุวโปดกผู้เจริญ ท่านเป็นผู้พ้นภัยแล้ว ท่านจงไปจากมือของพวกเราโดยความสวัสดีเถิด" "สุวโปดกกล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้กระทำการมาของข้าพเจ้าให้เปล่าประโยชน์เลย จงให้ผลมะม่วงแก่ข้าพเจ้าสักผลหนึ่ง"


               ยักษ์ทั้งหลายกล่าวว่า "ท่านสุวโปดก พวกเราคงให้ท่านไม่ได้หรอก เพราะท้าวเวสวัณมานับไว้หมดแล้ว ถ้าขาดหายไปสักลูกเดียว  ชีวิตของพวกเราก็คงจะหาไม่ แต่พวกเราสามารถบอกสถานที่ ที่พอจะหาได้นะ"


               "แล้วสถานที่นั่นคือที่ไหน" "สถานที่นั้น อยู่ในระหว่างตาข่ายแห่งกาญจนบรรพตนี้ มีดาบสชื่อโชติรส ท่านบูชาไฟอยู่ในบรรณศาลาชื่อว่ากาญจนปันตี ท่านเป็นกุลุปกะคือนักบวชประจำตระกูลของท้าวเวสวัณ และท้าวเวสวัณส่งผลมะม่วงไปถวายเป็นประจำวันละ ๔ ผล ท่านจงไปยังสำนักของพระดาบสนั้นเถิด"

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%8712.png
              

                 สุวโปดกรับคำแล้วบินไปยังสำนักของดาบสนั้น  ลำดับนั้น ดาบสจึงถามสุวโปดกนั้นว่า "เธอมาจากไหน?" "มาจากสำนักของพระเจ้าพาราณสี พระคุณเจ้า" "มาเพื่อต้องการอะไร?" สุวโปดกเรียนว่า "พระเทวีของพระราชาแห่งกระผมเกิดความแพ้พระครรภ์ อยากเสวยมะม่วงสุก กระผมจึงมาเพื่อต้องการมะม่วงชื่ออัพภันตระนั้น แต่พวกยักษ์ให้มะม่วงแก่ผมไม่ได้ จึงส่งมายังสำนักของพระคุณเจ้า" พระดาบสกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้น เธอจงนั่งคอยก่อน"


               ลำดับนั้น ท้าวเวสวัณส่งผลมะม่วง ๔ ผลมาถวายพระดาบส พระดาบสฉันไป ๒ ผล ได้ให้สุวโปดกกินผลหนึ่ง เมื่อสุวโปดกนั้นกินมะม่วงผลนั้นแล้ว พระดาบสจึงเอามะม่วงอีกผลหนึ่งใส่สาแหรกคล้องคอสุวโปดก แล้วกล่าว "เธอจงไปในบัดเดี๋ยวนี้ แล้วก็ปล่อยสุวโปดกนั้นไป"


               สุวโปดกนั้นได้นำผลมะม่วงนั้นมาถวายพระเทวี พระเทวีเสวยผลมะม่วงนั้นแล้วก็ยังความแพ้พระครรภ์ให้สงบระงับลงได้ พระราชาทรงชื่นชมโสมนัสอันมีการได้มะม่วงอัพภันตระนั้นมาเป็นเหตุ แต่พระราชเทวีนั้นมิได้มีพระราชโอรส



               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
               พระเทวีในกาลนั้นได้เป็น 
ราหุลมารดา ในบัดนี้
               สุวโปดกในกาลนั้น ได้เป็น 
ราหุล
               พระราชาในกาลนั้นได้เป็น พระอานนท์
               ดาบสผู้ให้มะม่วงสุกในกาลนั้น ได้เป็น พระสารีบุตร
               ส่วนดาบสผู้อยู่ในพระราชอุทยานในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * ชาดก 500 ชาติ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล