ชาดก 500 ชาติ
ปานียชาดก-ชาดกว่าด้วยการทำบาปแล้วรังเกียจบาปที่ทำ
ในสมัยหนึ่งคฤหัสถ์ผู้เป็นสหายกับชาวกรุงสาวัตถีประมาณ ๕๐๐ คน ฟังพระธรรมเทศนาของพระตถาคตแล้วเกิดความเลื่อมใสตัดสินใจบรรพชาถึงอุปสมบทพร้อมกันทั้ง ๕๐๐ รูป “ ความสุขทางธรรมนั่นแหละคือสิ่งที่เราปรารถนาหนทางพ้นทุกข์อยู่ไม่ไกลจากเราแล้ว ”
ครั้งนั้นภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปพากันอยู่ภายในโกฏฐิสัณฐาคาร ถึงเวลาเที่ยงคืนต่างก็ตรึกถึงการวิตก ครั้นท่านพระอานนท์ให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกัน โดยอานัทของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระศาสดาประทับนั่งเหนืออาสนะที่จัดถวายทรงกระทำมิให้เป็นการเจาะจงตรัสด้วยความสามารถเป็นพระดำรัสสงเคราะห์แก่ภิกษุทั้งปวง
“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่ากิเลสเป็นของเล็กน้อยไม่มีเลย ธรรมดาว่าภิกษุต้องข่มกิเลสที่เกิดแล้วแล้วเสีย บัณฑิตครั้งก่อนเมื่อพระพุทธเจ้า ยังไม่เสด็จอุบัติต่างก็ข่มกิเลสทั้งหลายเสียได้บรรลุปัจเจกพุทธญาณ ” ดังนี้แล้วจึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัส ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี สหายสองคนในบ้านน้อยตำบลหนึ่งในแคว้นกาสี พากันถือกระออมน้ำดื่มไปสู่ไร่ในป่าวางไว้ใต้ร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
แล้วลงมือฟันต้นไม้น้อยใหญ่เพื่อทำเป็นไร่ ในเวลากระหายน้ำก็พากันมาดื่มน้ำ ในคนสองคนนั้น คนหนึ่งเมื่อมาดื่มน้ำก็เก็บน้ำดื่มของตนไว้เสียดื่มน้ำจากกระออมของเพื่อนแทน “ วันนี้แดดร้อนนักน้ำที่เอามาคงไม่พอดื่มกินเก็บของเราไว้กินทีหลังดีกว่า ”
ตอนเย็นออกจากป่าแล้วชายผู้นั้นยืนอาบน้ำแล้วก็นิ่งคิดสำรวจดูสิ่งที่ตัวเองได้กระทำไปในวันนี้ “ วันนี้เราได้ทำในสิ่งที่เป็นบาปไปนี่ช่างน่าเศร้าใจนัก เราได้ขโมยน้ำของเพื่อนดื่มกินตัณหานี้เมื่อเจริญคงโยนเราเข้าไปในอบายทั้งหลายเป็นแน่แท้ เราจักข่มกิเลสอันนี้เสียให้ได้ ” ชายตัดไม้กระทำการขโมยน้ำของเพื่อนกันดื่มนั้นให้เป็นอารมณ์ เจริญวิปัสสนาทำปัจเจกพุทธญาณให้บังเกิดได้แล้ว ยืนนึกถึงคุณที่ตนได้รับอยู่
“ ทำอะไรอยู่ละสหายอาบน้ำเสร็จหรือยัง ไปกลับบ้านกันเถอะ ” “ แกไปเถิด ฉันไม่มีจิตคิดถึงบ้านเรือนอีกแล้ว เราเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ” “ ฮะ ฮา ฮ่า ว่าไปนั้น อันว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายไม่เป็นอย่างท่านหรอก ” “ แล้วเจ้าคิดว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นเช่นไรเล่า ”
“ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายมีผมเพียงสององคุลีครองผ้าน้ำย้อมฝาดพากันอยู่ ณ เงื้อมเขานันทมูลกะในป่าหิมพานต์ตอนเหนือโน่น ” ทันใดนั่นเองเมื่อชายตัดไม้ผู้ละจากกามลูบศีรษะเพศคฤหัสถ์ของเขาก็อันตรทานหายไปกลับกลายเป็นครองผ้าสองชั้นที่ย้อมแล้วคาดรัดประคดเช่นกับสายฟ้า มีจีวรเฉวียงบ่ามีสีทองดั่งแผ่นครั่งห่มเฉวียงบ่าไว้ข้างหนึ่ง มีผ้าบังสุกุลจีวรสีเมฆพาดอยู่บนบ่าเบื้องขวา มีบาตรดินสีเหมือนแมลงภู่คล้องอยู่ที่บ่าเบื้องซ้ายสถิตอยู่ในอากาศแสดงธรรม แล้วเหาะไปลงยังเงื้อมเขานันทมูลกะทันที
ในสมัยเดียวกันนั่นเองยังมีกุฎุมพีคนหนึ่งในกาสิกคามนั่งอยู่ที่ตลาดเห็นชายผู้หนึ่งพาภริยาของตนเดินไปทำลายอินทรีย์เสีย มองดูหญิงผู้เลอโฉมนั้น “ หญิงงามนางนั้นช่างน่าพิสมัยนักรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นหากเราได้มาครองก็คงจะเป็นสุขยิ่งนัก ” ยังไม่ทันที่ความคิดของเขา
จะเพ้อไปมากกว่านี้เขาก็หวนคิดได้มีใจสลดกับกามของตนแล้วเจริญวิปัสสนาบรรลุปัจเจกพุทธญาณสถิตในอากาศแสดงธรรมเหาะไปเงื้อมเขานันทมูลกะเช่นกัน “ โธ่เอ๋ย ความโลภนี่แหละเมื่อมันเจริญ จะโยนเราเข้าไปในอบายทั้งหลาย ”
ในครั้งนั้นมีบุตรกับบิดาคู่หนึ่งชาวกาสิกคามได้เดินทางไปด้วยกันผ่านป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ในป่าแห่งนั้นมีพวกโจรป่าพากันซุ่มอยู่ที่ปากดง บิดาและบุตรนั้นรู้ว่าพวกโจรซุ่มอยู่ตรงนั้นจึงทำกติกากันไว้ “ ลูกเอ๋ย หากเราทั้งสองโชคร้ายโดนเจ้าโจรจับตัวไปเจ้าอย่าเรียกพ่อว่าพ่อนะ ถึงพ่อก็จะไม่เรียกเจ้าว่าลูกเช่นกัน เชื่อพ่อเถิดแล้วเจ้าจะปลอดภัย ” ขณะเดียวกันนั้นพวกโจรได้จับบิดากับบุตรได้ยึดบุตรไว้ปล่อยบิดาไป จับพี่น้องสองคนได้ก็ยึดน้องชายเอาไว้ปล่อยพี่ชายไป
จับอาจารย์กับอันเตวสิกะได้ยึดเกาอาจารย์ไว้ปล่อยอันเตวาสิกะไป “ เจ้าจงฟังให้ดี เมื่อข้าปล่อยตัวไปแล้วเจ้าจงไปหาทรัพย์มาให้กับข้าเพื่อแลกตัวไอ้พวกนี้ ” เมื่อสองพ่อลูกเดินทางมาได้สักระยะหนึ่งเขาก็ได้พบกับโจรกลุ่มนี้ดังผู้เป็นพ่อได้คาดการณ์ไว้ พวกโจรเหล่านี้จับพ่อลูกคู่นี้ไว้ “ เจ้าสองคนเป็นอะไรกัน ” “ เปล่า เปล่าจ้า เราไม่ได้เป็นอะไรกันแค่เดินทางมาในเส้นทางเดียวกันเท่านั้นเองท่านอย่าทำอะไรฉันเลยนะจ๊ะ ”
กลุ่มโจรนั้นเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแต่อย่างใดใดจะจับตัวไว้ก็เปล่าประโยชน์ จึงปลดทรัพย์ที่ติดตัวพ่อลูกคู่นี้แล้วก็ปล่อยไป เมื่อทั้งคู่ออกพ้นจากดงไปยืนอาบน้ำอยู่ในเวลาเย็น บุตรชายชำระศีลของตนเห็นมุสาวาสนั้นก็คิดได้ “ วันนี้เราได้มุสาวาสเช่นนั้นไป บาปนี้เมื่อเจริญจะโยนเข้าไปในอบายทั้งหลายได้ เราจักข่มกิเลสนี้ให้ได้ ”
ครั้งนั้นเขาได้เจริญวิปัสสนาทำปัจเจกพุทธญาณให้เกิดขึ้น แล้วสถิตอยู่ในอากาศแสดงธรรมแก่บิดาเหาะสู่เงื้อมเขานันทมูลกะเหมือนกัน เรื่องราวของการเกิดพระปัจเจกพุทธเจ้าในครั้งนั้นยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีอีกผู้หนึ่งเป็นนายอำเภอในกาสิกคามเขาบังคับไม่ให้คนฆ่าสัตว์ด้วยเห็นโทษของการทำบาป ครั้นในเวลากระทำพลีกรรมมหาชนประชุมกันกล่าวกับเขา
“ เจ้านายขอรับ อนุญาตให้พวกเราฆ่าเนื้อและสุกรบ้างเถิด เราต้องทำเพื่อกระทำพลีกรรมแก่หมู่ยักษ์ การนี้เป็นการแห่งพลีกรรมนะครับท่าน ” “ เอาเถิดพวกท่านจงกระทำตามแบบอย่างที่กระทำมาในครั้งก่อนนั้นแหละเราจะละกฎของเราทิ้งไป ” เมื่อนายอำเภอยกเลิกกฎการฆ่าสัตว์แล้ว ชาวบ้านต่างทำบาปกรรมกันอย่างมากมาย ฆ่าสัตว์กันอย่างไม่ละอายต่อบาป
นายอำเภอมองเห็นปลาและเนื้อเป็นอันมากก่อให้เกิดความรำคาญใจ “ เฮ้อ ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก มนุษย์พวกนี้ทำกรรมได้อย่างไม่ละอายนี้เป็นเพราะเราอนุญาตพวกเขาสินะ ” เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วนายอำเภอจึงยืนพิงช่องหน้าต่างเจริญวิปัสสนาทำปัจเจกพุทธญาณให้เกิดแล้วสถิตในอากาศแล้วแสดงธรรมเหาะไปเงื้อมเขานันทมูลกะเช่นกัน ยังอีกผู้หนึ่งเป็นนายอำเภอในแคว้นกาสิกะเหมือนกัน
เขาผู้นี้ห้ามการซื้อขายน้ำเมาไว้อย่างกวดขันสร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวบ้านยิ่งนัก “ ท่านนายอำเภอท่านจะออกกฎเช่นนี้ได้อย่างไร เวลานี้เป็นเวลาสุราฉัน พวกเราต่างดื่มสุราในงานมหรสพนี่อย่างสนุกสนาน ในเวลานี้ท่านมาห้ามให้พวกเราไม่ดื่มสุรากันแล้วมหรสพจะเป็นมหรสพได้อย่างไร ” “ เอาเถิดพวกท่านก็ทำมาดังที่เคยทำกันเถอะ กฎใด ๆ ที่เราห้ามไว้ก็จงลืมเสีย ”
ครั้งนั้นพวกมนุษย์พากันกระทำการมหรสพดื่มสุราเมาแล้วทะเลาะกันจนมือเท้าแตกหัก ศีรษะแตก หูฉีกขาด ถูกจองจำด้วยสินไหมเป็นอันมากนายอำเภอเห็นคนพวกนั้นแล้ว คิดว่าเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะตนเองยกเลิกกฎห้ามดื่มสุราเขาทำความรำคาญใจด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ยืนพิงช่องหน้าต่างอยู่เจริญวิปัสสนาบรรลุปัจเจกพุทธยานเหาะไปในอากาศแสดงธรรมแล้วเหาะไปยังเงื้อมเขานันทมูลกะเหมือนกัน “ พวกท่านจงอย่าเป็นผู้ประมาทสุรานั้นเล่าสร้างหายนะให้กับพวกท่านได้ ”
จำเนินกาลนานมาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ต่างเหาะมาลงที่ประตูกรุงพาราณสี เพื่อภิกขาจารล้วนนุ่งห่มผ้าเรียบร้อยเที่ยวโปรดสัตว์ ด้วยอิริยาบทมีการก้าวไปข้างหน้าเป็นต้นอันน่าเลื่อมใสจนไปถึงประตูวัง
ครั้งนั้นพระเจ้ากรุงพาราณสีทรงทอดพระเนตรเห็นพระคุณเจ้าเหล่านั้น ทรงมีจิตเลื่อมใสจึงให้อำมาตย์นิมนต์ให้เข้าไปสู่นิเวศน์“ ท่านจงไปนิมนต์พระคุณเจ้าเหล่านั้นมาที่พระราชวังของเราเถิด เรากระหายใคร่อยากฟังเทศนาธรรมจากพระคุณเจ้าเหล่านั้นยิ่งนัก ”
พระเจ้าพาราณสีทำการต้อนรับพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๕ ด้วยการล้างเท้าทาด้วยน้ำมันหอม อังคาสด้วยขาทนียะและโภชนียะอันประณีตประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง “ พระคุณเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย การบรรพชาในปฐมวัยของพระคุณเจ้าทั้งหลายดูช่างงดงามจริง เมื่อจะบรรพชาในวัยนี้พระคุณเจ้าทั้งหลายต่างเห็นโทษในกามอย่างไรกันนะ อะไรเป็นเป็นอารมณ์ของพระคุณเจ้าเล่า ”
“ อาตมาภาพเป็นมิตรของชายคนหนึ่งได้ดื่มน้ำของมิตรที่เขามิได้ให้เพราะเหตุนั้น ภายหลังอาตมาภาพจึงรังเกียจว่าเราทำบาปนั้นไว้แล้วอย่าได้กระทำบาปต่อไปอีกเลย เพราะเหตุนั้นอาตมาภาพจึงออกบวช ”
“ ความพอใจบังเกิดขึ้นแก่อาตมาภาพเพราะเห็นภรรยาของผู้อื่นเพราะเหตุนั้นภายหลังอาตมาภาพจึงเรียกว่าเราทำบาปนั้น ไว้แล้วอย่าได้กระทำบาปนั้นต่อไปอีกเลย เพราะเหตุนั้นอาตมาภาพจึงออกบวช ”
“ ขอถวายพระพรมหาบพิตรโจรทั้งหลายจับโยมบิดาของอาตมาภาพไว้ในป่า อาตมาภาพถูกโจรเหล่านั้นถามทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าได้แกล้งพูดถึงโยมบิดานั้นเป็นอย่างอื่นไปเพราะเหตุนั้นภายหลังอาตมาภาพจึงรังเกียจว่า เราได้ทำบาปนั้นไว้แล้วอย่าได้ทำบาปนั้นต่อไปอีกเลย เพราะเหตุนั้นอามาภาพจึงออกบวช ”
“ เมื่อพลีกรรมชื่อว่าโสมมยาคะปรากฎแล้วมนุษย์ทั้งหลาย ก็พากันกระทำปานาติบาต อาตมาภาพได้อนุญาตให้แก่พวกเขา เพราะเหตุนั้นภายหลังอาตมาภาพจึงรังเกียจว่าเราได้ทำบาปนั้นไว้แล้ว อย่าได้ทำบาปนั้นต่อไปอีกเลย เพราะเหตุนั้นอาตมาภาพจึงได้ออกบวช ”
“ ในกาลก่อนชนทั้งหลายในหมู่บ้านของอาตมาภาพสำคัญสุราและเมรัยว่าเป็นน้ำหวานจึงได้พากันดื่มน้ำเมา เพื่อความหายนะแก่ชนเป็นอันมาก อาตมาภาพจึงยอมอนุญาตให้พวกเขา เพราะเหตุนั้นภายหลังอาตมาภาพจึงได้รังเกียจว่าเราได้ทำภาพนั้นไว้แล้วอย่าได้ทำบาปนั้นต่อไปอีกเลย เพราะเหตุนั้นอาตมาภาพจึงได้ออกบวช ”
ฝ่ายพระเจ้าพาราณสีทรงสดับ คำพยากรของพระปัจเจกพุทธเจ้าแต่ละองค์แล้วได้ทรงสดุดีพระคุณเจ้าเหล่านั้น “ พระคุณเจ้าผู้เจริญทั้งหลายบรรพชานี้เหมาะแก่พระคุณเจ้าทั้งหลายทีเดียว ” พระเจ้าพาราณสีทรงสดับพระธรรมเทศนาของพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ก็ทรงมีจิตเลื่อมใสทรงถวายผ้าจีวรและเภสัช ทรงส่งพระปัจเจกพุทธเจ้าไปแล้ว แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นกระทำอนุโมทนาแก่พระองค์แล้วพากันไปจากเมืองพาราณสีนั้น
ตั้งแต่นั้นมาพระเจ้าพาราณสีทรงเบื่อหน่ายไม่ยินดีในวัตถุกามทั้งหลาย แม้จะมีพระกระยาหารอันมีรสเลิศดั่งที่เคยโปรด หรือความงดงามของอิสตรีดั่งที่พระองค์เคยมีความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้หรือทอดพระเนตร บัดนี้สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญให้พระองค์ทรงมีจิตเบื่อหน่าย “ พระองค์ไม่ทรงเกษมหรือพระเจ้าค่ะ มีสิ่งใดขัดพระทัยพระองค์หรือ ” “ เราเบื่อหน่ายสิ่งนี้แล้ว เราอยากอยู่คนเดียวแบบสงบ ” พระเจ้าพาราณสีเสด็จเข้าห้องอันทรงสิริประทับนั่งกระทำกสิณบริกรรมพิงข้างฝาอันมีสีขาวทรงทำฌาณให้บังเกิดขึ้นแล้ว พระองค์ทรงบรรลุฌานแล้วก็ทรงติเตียนกามทั้งหลาย “ น่าสังเวชแท้ล้อมรอบตัวเรามีกามเป็นอันมาก มีกลิ่นเหม็น มีเสี้ยนหนามมาก เราซ้องเสพกันอยู่เราไม่ได้รับความสุขเช่นนั้น ” ทางด้านฝ่ายพระอัครมเหสีของพระองค์นั้น
เมื่อทรงเห็นว่าพระเจ้าพาราณสีมีท่าทีเบื่อหน่ายไม่โปรดนางเหมือนเช่นแต่ก่อนจึงคอยตามสังเกตถึงพฤติกรรมของพระองค์ “ ตั้งแต่เสด็จพี่ได้ทรงสดับธรรมกถาจากพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว นับแต่ครั้งนั้นก็ทรงมีท่าทางเบื่อหน่าย มิได้ตรัสกับเราดั่งแต่ก่อนเลย ดีหล่ะเราต้องคอยสังเกตเสด็จพี่เผื่อมีสิ่งใดที่เราพอจะแก้ไขให้เสด็จพี่กลับมาเป็นดังเดิมได้ ” ครั้งนั้นอัครมเหสีได้เสด็จเข้าพระตำหนักอันทรงสิริประทับยืนที่พระทวารทรงสดับพระอุทานของพระราชาผู้กำลังทรงตำหนิกามทั้งหลาย ก็ทรงวิตกเกรงว่าพระเจ้าพาราณสีจะไม่โปรดพระนางเหมือนแต่ก่อนจึงรีบเสด็จเข้าไปหา “ ข้าแต่พระทูลกระหม่อม พระองค์ทรงติเตียนกามความสุขที่เช่นกับกามสุขไม่มีละ หรือกามทั้งหลายมีรสอร่อยมาก สุขอื่นยิ่งกว่าไปกว่ากามไม่มี ชนเหล่าใดซ่องเสพกามทั้งหลาย ชนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงสวรรค์นะเพค่ะ พระองค์ทรงลืมความสุขที่เคยมีกับหม่อมฉันแล้วหรืออย่างไร ”
พระเจ้าพาราณสีเมื่อทรงได้สดับพระเสาวนีเหล่านั้นแล้วก็ทรงติเตียน “ น่าสังเวชยิ่งนักเจ้าพูดอะไร ขึ้นชื่อว่าความสุขในกามทั้งหลายมีที่ไหนกันเล่า เพราะกามเหล่านี้เป็นวิปริณามทุกข์ทั้งนั้นแหละ กามทั้งหลายมีรสอร่อยน้อย ทุกข์อื่นยิ่งไปกว่ากามไม่มี ชนใดเล่าซ่องเสพกามทั้งหลาย ชนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงนรก เหมือนดาบที่ลับคมดีแล้วเชือด เหมือนกระบี่ที่ลับคมดีแล้วแทง เหมือนหอกที่พุ่งไปปักอก กามทั้งหลายเป็นทุกข์ยิ่งไปกว่านั้น หลุมถ่านเพลิงลุกขึ้นโพลงแล้ว ลึกกว่าชั่วบุรุษ ถ่านที่เผาร้อนอยู่ตลอดวัน กามทั้งหลาย เป็นทุกข์ยิ่งไปกว่านั้นเหมือนยาพิษชนิดร้ายแรง น้ำมันที่เดือดพล่าน ทองแดงที่กำลังละลายคว้างกามทั้งหลายเป็นทุกข์ยิ่งไปกว่า ”
พระเจ้าพาราณสีทรงแสดงธรรมแก่พระเทวีแล้วได้ทรงให้พวกอำมาตย์ประชุมกันแล้วสละราชสมบัติทั้งหมดให้กับอำมาตย์ทั้งหลายดูแลต่อ แล้วพระองค์ก็ทรงเสด็จลุกขึ้นไปประทับในอากาศประทานพระโอวาสเสด็จไปสู่ป่าหิมพานต์ตอนเหนือทางอากาศ ทรงให้สร้างอาศรมในประเทศที่น่ารื่นรมย์ผนวชเป็นฤาษีในที่สุดพระชนมายุได้เสด็จไปสู่พรหมโลก
“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายขึ้นชื่อว่ากิเลสที่เป็นของเล็กน้อยไม่มีเลย ถึงจะมีประมาณน้อยบัณฑิตทั้งหลายก็พากันข่มเสียได้ทั้งนั้น ” ดังนี้แล้วจึงทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย เมื่อจบสัจจะภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูป ดำรงอยู่ในพระอรหัตผล
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายในครั้งนั้นปรินิพพานแล้ว
เทวีได้กลับมาเป็นมารดาพระราหุล
พระเจ้าพาราณสีเสวยพระชาติเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า