ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for people

อย่าสำคัญผิด

 Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน

DhammaPP239_01.jpg

อย่าสำคัญผิด


                การขจัดกิเลสอาสวะเป็นจุดมุ่งหมายของผู้ที่แสวงหาทางแห่งความหลุดพ้น เพราะตราบใดที่กิเลสยังครอบงำจิตใจอยู่ ชีวิตก็ต้องระทมทุกข์อยู่ตลอดเวลา ทั้งทุกที่เกิดขึ้นเป็นประจำและทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว หากเรายังหาสาเหตุแห่งทุกข์นั้นไม่เจอ ก็เปรียบเสมือนคนไข้ที่ถูกโรคร้ายรุมเร้าโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่ว่าจะไปอยู่ ณ แห่งหนตำบลใดก็ไม่มีความสุข วิธีที่จะทำให้เราค้นพบสาเหตุแห่งความทุกข์ และสามารถดับทุกข์ได้นั้นก็คือ การประพฤติปฏิบัติธรรม ซึ่งก็จะเป็นหนทางเดียวที่จะสาวไปถึงต้นเหตุแห่งทุกข์ และขจัดกิเลสเครื่องเศร้าหมองให้หมดไปจากใจได้ วิธีนี้เป็นทางดำเนินไปของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย หากผู้ใดดำเนินตามรอยบาทของพระบรมศาสดา ผู้นั้นย่อมสามารถเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งความพ้นทุกข์ได้อย่างแน่นอนนะจ๊ะ

 

 

DhammaPP239_02.jpg


                มีเนื้อความที่ปรากฏใน สันถวชาดก ความว่าสิ่งอื่นที่จะเลวร้ายยิ่งไปกว่าความสนิทสนมเป็นไม่มี ความสนิทสนมกับบุรุษเลวทรามเป็นความเลวร้าย เหมือนไฟนี้ที่เราให้อิ่มหนำแล้วด้วยเนยใสและข้าวปายาสยังไหม้บรรณศาลา ที่เราทำได้ยากให้พินาศไป คนเราถ้าขาดปัญญาในการพิจารณาไตร่ตรองอย่างถ่องแท้แล้ว เมื่อจะไปทำอะไรก็ตามย่อมมีโอกาสผิดพลาดได้ แล้วจะทำให้เข้าใจผิด คิดว่าสิ่งที่ตนได้ประพฤติ ปฎิบัติอยู่นั่นน่ะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สามารถนำพาตนให้ล่วงพ้นจากทุกข์ไปได้ จึงทุ่มเทชีวิตจิตใจทำอย่างเต็มที่ 

 

 

DhammaPP239_04.jpg


                แต่ความเป็นจริงแล้วสิ่งนั้นไม่สามารถจะเป็นที่พึ่งที่ระลึก และทำให้ล่วงพ้นจากความทุกข์ไปได้ แต่มีบางสิ่งบางอย่าง ที่กระทำสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จึงเกิดความเข้าใจผิดคิดว่า สิ่งที่กระทำอยู่นั้นจะต้องเป็นสิ่งที่ดีงาม มิฉะนั้นคงจะไม่ตกทอดมาถึงอนุชนรุ่นหลังอย่างแน่นอน การยึดถือและวิธีการที่ผิดเพี้ยน ย่อมไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ รังแต่จะก่อให้เกิดโทษ ชีวิตจึงไม่มีความเจริญรุ่งเรือง ไม่พบหนทางสว่างและหนทางแห่งความพ้นทุกข์ ซ้ำยังก่อวิบัติให้เกิดขึ้นกับตนเองอีกด้วย ดังเรื่องที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้ เนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไร เรามาติดตามรับฟังกันเลยนะจ๊ะ

 

 

DhammaPP239_%20_03.jpg

                ในครั้งพุทธกาลพวกภิกษุที่วัดพระเชตวันมหาวิหาร ได้เห็นพวกชฎิลกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่หลังวัด ต่างบำเพ็ญเพียรกันอย่างเอาจริงเอาจังตามความเชื่อของพวกตน ที่คิดว่าจะสามารถล่วงพ้นจากความทุกข์ไปได้ ด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่นบางกลุ่มก็ประพฤติวัตร เลียนแบบพวกสุนัข บางกลุ่มก็ทำตัวเหมือนค้างคาว เอาเท้าขึ้นบนท้องฟ้าแล้วเอาหัวห้อยลงเบื้องล่าง บางกลุ่มก็นอนบนเตียงหนาม บางกลุ่มก็บูชาไฟเป็นต้น แล้วแต่ว่าใครจะมีความเชื่ออย่างไร  

 

 

DhammaPP239_05.jpg

                 เมื่อพวกภิกษุได้เห็นวิธีการบำเพ็ญเพียรของพวกชฎิลแล้ว ก็ได้เข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา ทูลถามถึงเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกชฎิลที่อยู่หลังวัดได้ประพฤติวัตรของตนพวกเขา จะมีความเจริญก้าวหน้าตามแนวทาง ที่ปฏิบัตินี้หรือไม่พระเจ้าค่ะพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายพวกชฎิลเหล่านี้จะไม่พบความเจริญ ในหนทางที่พวกเขาปฏิบัติเลยแม้แต่น้อย แม้บัณฑิตในการก่อนก็เคยลองผิดลองถูกมาแล้ว เพราะสำคัญผิดคิดว่าการบูชาไฟจะทำให้ได้พบกับความเจริญรุ่งเรือง จึงหลงผิดกระทำอยู่เป็นเวลายาวนานแต่แล้วกลับไม่ได้อะไรเลย จึงได้เลิกปฏิบัติเสีย 

 

 

DhammaPP239_06.jpg

                เมื่อพวกภิกษุได้ฟังพระดำรัสแล้ว ก็ใคร่อยากจะรู้เรื่องราวในอดีต จึงทูลอาราธนาให้พุทธองค์ตรัสเล่าให้ฟัง พุทธองค์ทรงตรัสเล่าให้ฟังว่า ในอดีตกาลครั้งที่พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในเมืองพาราณสี ชาตินั้นพระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์ มีฐานะร่ำรวยมีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบาย เพรียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ในวันที่พระโพธิสัตว์เกิดนั้น มารดาบิดาของท่านได้ก่อไฟบูชาเอาไว้ให้ ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของพวกพราหมณ์ที่กระทำกันมา

 

 

DhammaPP239_07.jpg

                เมื่อพระโพธิสัตว์เจริญเติบโตอายุได้ ๑๖ ปี มีอยู่วันหนึ่งมารดาบิดาได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์แล้วก็พูดขึ้นว่า ลูกรักลูกจะรับเอาไฟที่พ่อแม่ก่อไว้ให้ในวันที่ลูกเกิด แล้วเอาเข้าไปบูชาในป่าหรือลูกจะศึกษาเล่าเรียนไตรเพท แล้วอยู่ดูแลทรัพย์สมบัติในเรือนนี้ ให้ลูกเลือกเอาตามความปรารถนา แล้วแต่ลูกจะเลือกเอาอย่างไหน เมื่อพระโพธิสัตว์ฟังคำของมารดาบิดาแล้ว ก็พูดตอบท่านทั้งสองไปว่า ลูกไม่ต้องการอยู่ครองเรือน จะออกจากเรือนแล้วเอาไฟไปบูชาอยู่ในป่า เพื่อจะได้ไปบังเกิดยังพรหมโลก จากนั้นพระโพธิสัตว์ก็รับเอาไฟจากมารดาบิดา เมื่อลาท่านทั้งสองแล้วก็ถือเอาไฟเข้าป่าไป 

 

 

DhammaPP239_08.jpg

                พระโพธิสัตว์ได้สร้างบรรณศาลาและบูชาไฟอยู่เนืองนิต ท่านได้กระทำการบูชาไฟอยู่ในป่าเป็นเวลานาน วันหนึ่งได้ไปยังงานเลี้ยงของพวกชาวบ้าน เมื่อเสร็จงานแล้วก็ได้ถือเอาข้าวปายาสและเนยใสติดมือมาด้วย เพราะตั้งใจว่าจะเอาข้าวปายาสนี้ มาถวายท้าวมหาพรหม แล้วมาบูชาไฟตามที่ตนนับถือ  

 

 

DhammaPP239_09.jpg

                เมื่อมาถึงบรรณศาลา พระโพธิสัตว์ก็ได้สาดข้าวปายาสลงไปในกองไฟ ข้าวปายาสที่มียางมาก พอใส่เข้าไปในกองไฟเท่านั้น ก็กลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ลุกโพลงขึ้นไหม้บรรณศาลาทันที เมื่อพระโพธิสัตว์เห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างนั้น จึงรีบหนีออกจากบรรณศาลา เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ได้แต่ยืนมองดูเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ พร้อมกับบ่นพึมพำว่าเราไม่น่าทำความสนิทสนมกับไฟเลย ซึ่งเปรียบเสมือนคนเลวทราม บรรณศาลากว่าจะสร้างเสร็จก็ยากลำบาก บัดนี้ถูกไฟไหม้หมดแล้ว ครั้นพระโพธิสัตว์กล่าวจบก็คิดว่า เราไม่ต้องการสิ่งใดที่ทำลายมิตรอีกต่อไป จึงได้ตักเอาน้ำมาดับไฟแล้วเอากิ่งไม้ฟาดให้ไฟที่ลุกลามดับสนิท

 

 

DhammaPP239_10.jpg

                หลังจากนั้นก็เดินทางเข้าไปยังป่าหิมพานห์ ในระหว่างทางได้พบเห็นแม่เนื้อตัวหนึ่ง กำลังคลอเคลียอยู่กับราชสีห์ เสือโคร่งและเสือดาว พระโพธิสัตว์รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่ตนเห็นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ธรรมดาว่าสัตว์เหล่านี้เป็นศัตรูกันแต่ทำไมถึงมาสนิทกันได้ แต่ปัญญาบารมีที่สั่งสมมาจึงคิดได้ว่า สิ่งอื่นที่จะประเสริฐไปกว่าความสนิทสนมกับสัตบุรุษนั้นไม่มี แม่เนื้อสนิทสนมกับราชสีห์ เสือโคร่งและเสือเหลืองได้ก็เพราะความรักใคร่และอนุเคราะห์ต่อกัน

 

 

DhammaPP239_11.jpg

                หลังจากนั้นพระโพธิสัตว์ก็ได้เดินทางต่อไป พอไปถึงป่าหิมพานต์แล้วก็ได้บำเพ็ญพรตเป็นฤาษี ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจัง

 

 

DhammaPP239_12.jpg

                ต่อมาไม่นานก็สามารถทำอภิญญาและสมาบัติให้เกิดขึ้นได้ ท่านมีความสุขอยู่ด้วยฌานสมาบัติ ครั้นละโลกไปแล้วก็ได้ไปบังเกิดยังพรหมโลก ด้วยอำนาจแห่งฌานสมาบัติที่ท่านได้บำเพ็ญมา

 

 

DhammaPP239_15.jpg

                เราจะเห็นได้ว่าการที่ใครเข้าใจผิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วได้กระทำตามความเข้าใจของตน จนเกิดความยึดมั่นถือมั่นขึ้นว่า สิ่งที่ตนเองได้กระทำอยู่นั้นน่ะถูกต้องแล้ว และเชื่อมั่นว่าเป็นหนทางแห่งความพ้นทุกข์ สามารถเป็นที่พึ่งที่ระลึกได้ แต่ความเป็นจริงแล้วกลับตรงกันข้าม เพราะสิ่งนั้นอาจย้อนกลับมาทำลายตนเอง และทำให้ต้องเดือดร้อนใจในภายหลัง ที่ต้องเดือดร้อนนั้นก็เนื่องจากขาดปัญญาในการพิจารณาไตร่ตรอง และได้แบบอย่างที่ผิดมาตั้งแต่ต้นจึงทำให้ชีวิตล้มเหลวไม่ประสบความสำเร็จ 

 

 

DhammaPP239_14.jpg

 

                เพราะฉะนั้นปัญญาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่จะต้องหมั่นอบรมสั่งสมกันให้มากๆ อย่าเชื่อตามๆ กันมาโดยขาดการพิสูจน์ พวกเราทั้งหลายเป็นผู้ที่โชคดี เพราะได้มาพบหนทางและวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องแล้ว ก็อย่าได้ประมาทกันให้หาโอกาสประพฤติปฏิบัติธรรมกันให้เต็มที่ อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า ถ้าเราขยันหมั่นเพียรแล้วทำอย่างถูกหลักวิชา สักวันหนึ่งเราก็จะเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในตัว แล้วสิ่งนี้ก็จะเป็นที่พึ่งที่ระลึกให้กับเราได้อย่างแท้จริงกันนะจ๊ะ

 

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล