Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
ทำสิ่งแวดล้อมให้เป็นปฏิรูปเทส ตอน 3
การดำรงชีวิตบนโลกมนุษย์ ไม่ได้ยืนยาวอะไรเลย เดี๋ยวก็วันเดี๋ยวก็คืน จากชีวิตในวัยเด็กก็เติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว แล้วก็ย่างเข้าสู่วัยชราที่ต้องนับวันถอยหลัง ในการเดินทางไปสู่สัมปรายภพ แม้จะเป็นระยะเวลาที่แสนสั้น แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าและสำคัญที่สุด ที่เราก็จะได้สั่งสมบุญกุศลสั่งสมเสบียงในการเดินทางไกลในสังสารวัฏให้ได้มากที่สุด ชีวิตหลังความตายก็จะได้ไม่ลำบาก โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกภายใน จะเป็นหลักประกันที่มั่นคง ในการเดินทางสู่สัมปรายภพ เพราะพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันอบอุ่นและปลอดภัยที่สุด ที่จะนำเราไปสู่สุคติทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะหมดกิเลสเข้าสู่นิพพาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในมงคลสูตรว่า
ปฏิรูปเทสสวาโส เอตัมมังคะละมุตตะมัง การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม เป็นอุดมมงคล
ในมงคลทีปนีได้กล่าวถึง ลักษณะของถิ่นที่เหมาะสมเอาไว้ว่า ต้องมีพุทธบริษัทอาศัยอยู่ คือมีภิกษุสามเณรผู้เป็นเนื้อนาบุญ ทำให้เราน่ะมีโอกาสได้สั่งสมบุญซึ่งเป็นหนทางไปสู่สวรรค์นิพพาน นอกจากนี้ท่านยังกล่าวว่า ปฏิรูปเทสต้องเป็นที่ที่คำสอนของพระบรมศาสดา มีองค์ ๙ เจริญรุ่งเรืองอีกด้วย
คำสอนที่ประกอบด้วยองค์ ๙ หมายถึงคำสอนที่เป็นไปเพื่อให้เกิดมรรค ๔ ผล ๔ และก็นิพพาน ๑ รวมทั้งอริยมรรคมีองค์ ๘ หรืออริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นไปเพื่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน มีเพียงในคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงหมายเอารวมๆ ว่าประเทศไหนมีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ทั้งทางปริยัติ ปฏิบัติและก็ปฏิเวธ ประเทศนั้นถือว่าเป็นปฏิรูปเทส ในปัจจุบันนี้ประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศที่มีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองที่สุด ชาวไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ
มีพระสงฆ์ที่สมบูรณ์ทั้งปริยัติและปฏิบัติมากมาย ที่แนะนำพร่ำสอน ให้เราได้เข้าใจในหนทางของพระนิพพาน จึงสมควรที่จะถือโอกาสอันเป็นอุดมมงคลนี้ แสวงหาความรู้ในทางพระพุทธศาสนา และก็สร้างบุญบารมีเพิ่มเติมกุศลราศีแก่ตัวเองให้ได้มากที่สุด เพราะจะหาที่ที่สมบูรณ์ด้วยบุญเขตอย่างนี้น่ะก็ไม่ใช่ง่าย สำหรับในวันนี้เรามารับฟัง เรื่องราวของมหาอุบาสิกาวิสาขากันต่อนะจ๊ะ
ครั้งที่แล้วหลวงพ่อได้เล่าค้างเอาไว้ ถึงตอนที่ท่านมิคารเศรษฐีโมโหลูกสะใภ้ ที่กล่าวหาว่าตัวท่านน่ะกินของเก่า และก็ไม่พอใจในอีกหลายๆ เรื่อง ซึ่งเกิดจากความไม่เข้าใจของท่านเศรษฐี ทำให้ท่านตัดสินใจผิด สั่งให้คนในบ้านช่วยกันขับไล่ลูกสะใภ้ออกจากบ้าน มหาอุบาสิกาวิสาขาได้เรียกกุฎุมพีทั้ง ๘ มาช่วยไต่สวนว่าท่านได้มีความผิดจริงหรือไม่
เมื่อกุฎุมพีทั้ง ๘ ซึ่งทำหน้าที่เหมือนผู้พิพากษา ไต่ถามเรื่องที่ท่านเศรษฐีกล่าวหา ว่ากินของเก่านั่นน่ะหมายถึงอะไร วิสาขาก็ได้กล่าวแก้ว่า ครั้งเมื่อมีพระเถระรูปหนึ่ง บิณฑบาตเดินผ่านหน้าบ้าน ท่านบิดากำลังบริโภคมธุปายาสมีน้ำน้อยอยู่ แต่ทำเป็นไม่สนใจพระเถระท่านเลย ฉะนั้นดิฉันจึงพูดให้บิดาได้สติว่า ไปข้างหน้าก่อนเถอะเจ้าค่ะ บิดาสามีของดิฉันไม่ทำบุญในอัตภาพนี้ เพราะกำลังกินบุญเก่าๆ อยู่ เหตุที่ว่ากินบุญเก่าก็เพราะสมบัติต่างๆ ที่ท่านเศรษฐีได้มานี้ เกิดจากผลบุญในอดีตทั้งสิ้น กุฎุมพีทั้ง ๘ พิจารณาดูแล้วเห็นว่านางวิสาขาพูดความจริง จึงถือว่าไม่ได้มีความผิดอะไรในข้อหานี้
เศรษฐีก็ได้ยกประเด็นอื่น ขึ้นมากล่าวหาลูกสะใภ้ว่า วิสาขาได้แอบไปเที่ยวในเวลากลางคืน แสดงว่านางเนี่ย นอกใจสามีของตัวเอง วิสาขาก็ได้กล่าวแก้ตามความเป็นจริงว่า ไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนเลย แต่ว่ามีอยู่คืนวันหนึ่ง แม่ม้าอัสดรกำลังจะตกลูก เห็นว่าไม่มีใครเอาใจใส่ จึงชักชวนคนใช้ในบ้านออกไปในยามดึกเพื่อสงเคราะห์ลูกม้า กุฎุมพีทั้ง ๘ ได้สืบพยานทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยแล้ว ก็เห็นว่านางวิสาขาพูดเรื่องจริง แล้วก็ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ แก่ท่านเศรษฐีทั้งนั้น คำฟ้องของท่านเศรษฐีจึงเป็นอันตกไป
แต่ท่านเศรษฐีก็ยังไม่ยอมจำนน ได้กล่าวหาลูกสะใภ้ว่า ก่อนที่นางวิสาขาจะเดินทางออกจากบ้าน มาเป็นสะใภ้ของตนที่นี่ ท่านธนัญชัยเศรษฐีได้ให้โอวาท ๑๐ ข้อ แก่ลูกสาวสองต่อสองว่า ไฟในไม่ควรนำออกเป็นต้น ตัวเองเห็นว่าถ้าหากไม่ยอมให้ไฟในบ้าน แก่คนอื่นที่มาขอ เพราะมัวแต่หวงเอาไว้ ต่อไปก็จะไม่มีใครเป็นมิตรด้วย แต่ธนัญชัยเศรษฐีกลับสอนลูกสาวให้ตระหนี่เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเลย
เนื่องจากท่านมิคารเศรษฐีคิดคนละอย่าง มองต่างมุมคือเขาพูดกันในความหมายอีกอย่างหนึ่ง แต่ตัวเองกลับคิดไปอีกอย่างหนึ่ง ทำให้เกิดเป็นปัญหาค้างคาใจเอาไว้ตั้งนานทีเดียว แล้วก็เก็บความไม่พอใจ ที่เกิดความเคลือบแคลง ในโอวาทของธนัญชัยเศรษฐี ที่ให้กับลูกสาว นางวิสาขาได้แก้ข้อสงสัยว่า คุณพ่อบิดาของดิฉันไม่ได้พูดหมายถึงไฟอย่างนั้น ว่าแล้วนางก็อธิบายให้ทุกคนได้ทราบถึงความลึกซึ้งของโอวาท ๑๐ ประการว่า
ไฟในอย่านำออกหมายความว่า ไม่ควรที่จะนำเรื่องราวปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว ไปเปิดเผยแก่คนทั่วไปภายนอก เพราะจะทำให้เขาดูถูกเหยียดหยามเอา เมื่อมีปัญหาก็ให้หาทางแก้ไขเป็นการภายใน ไม่เกี่ยวกับเรื่องการขอไฟที่พ่อสามีกล่าวถึงเลย
ไฟนอกอย่านำเข้า คือไม่นำเรื่องราวปัญหาต่างๆ ภายนอกที่ร้อนใจเข้ามาในบ้าน
ให้แก่ผู้ให้หมายถึง ผู้ใดที่เราให้ความช่วยเหลือให้หยิบยืมสิ่งของแล้ว เมื่อถึงกำหนดก็นำมาส่งคืนตามเวลา เมื่อถึงคราวที่เรามีความจำเป็น ต้องขอความช่วยเหลือบ้าง หากไม่เกินความสามารถของเขา เขาก็ยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มใจ บุคคลเช่นนี้น่ะภายหลังถ้ามาขอความช่วยเหลือเราอีก ก็ให้ช่วยเหลือ
ไม่ให้แก่ผู้ที่ไม่ให้ หมายถึง ผู้ใดที่เราให้ความช่วยเหลือ ให้หยิบยืมสิ่งของแล้ว ไม่ส่งคืนตามกำหนดเวลา เมื่อเรามีเรื่องขอความช่วยเหลือ แม้ไม่เกินความสามารถของเขา แล้วก็เป็นเรื่องถูกศีลธรรม เขาก็ไม่ยอมช่วยเหลือเรา เป็นคนเห็นแก่ตัว คนอย่างนี้ภายหลัง ต้องมาขอความช่วยเหลือเราอีกก็อย่าช่วย ต้องมีอุเบกขาบ้าง
ให้ ไม่ให้ ก็ให้หมายถึง ถ้าญาติพี่น้องเราที่ตกระกำลำบากอยู่ มาขอความช่วยเหลือ แม้บางครั้งไม่ได้เคยสงเคราะห์เราเลย ภายหลังเขามาขอความช่วยเหลือ ก็ให้ช่วยเหลือกันไป เพราะถึงอย่างไรก็เป็นญาติพี่น้องกัน
กินให้เป็นสุขหมายถึงให้จัดการเรื่องอาหารการกินในครอบครัวให้ดีปรนนิบัติพ่อแม่ของสามีในเรื่องอาหารอย่าให้ขาดตกบกพร่องไม่เห็นแก่กิน อย่างนี้ชื่อว่ากินให้เป็นสุข
นั่งให้เป็นสุขหมายถึง รู้จักที่สูงที่ต่ำ เวลานั่นก็ไม่นั่งสูงกว่าพ่อแม่ของสามี จะได้นั่งอย่างมีความสุข ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกตำหนิ ไม่เป็นคนแข็งกระด้างมักใหญ่ใฝ่สูง แต่ให้ใฝ่ดี คือต้องมีสัมมาคารวะ ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ในตระกูล อย่างนี้ท่านเรียกว่านั่งเป็นสุข ผู้ใหญ่เห็นมารยาทที่งดงามก็เอ็นดู
นอนให้เป็นสุขหมายความว่า ดูแลเรื่องที่หลับที่นอนให้ดี และก็ยึดหลักตื่นก่อนนอนทีหลัง ไม่เป็นคนเกียจคร้านเอาแต่เที่ยวสนุกสนานเฮฮา เหมือนหนุ่มสาวทั่วไป ก่อนนอนก็จัดการธุระการงานให้เรียบร้อยเสียก่อน จะได้นอนอย่างมีความสุข
บูชาไฟหมายถึง เวลาที่พ่อแม่ของสามี หรือตัวสามีเองกำลังโกรธ เปรียบเสมือนไฟกำลังลุก ถ้าดุด่าอะไรเราก็ให้นิ่งเสีย อย่าไปต่อล้อต่อเถียงด้วย เพราะในช่วงเวลานั้น ถ้าเราไปเถียงเข้า เรื่องราวก็จะยิ่งรุกรามใหญ่โตไม่มีประโยชน์ ให้คอยหาโอกาส เมื่อท่านหายโกรธแล้วจึงค่อยๆ ชี้แจงเหตุผล ให้ฟังอย่างนุ่มนวลก็จะดีกว่า
ประการสุดท้ายคือ บูชาเทวดา ให้เคารพสามีหรือพ่อแม่ของสามี เหมือนอย่างเทวดา อย่าประพฤตินอกใจหรือประพฤตินอกลู่นอกทาง เพราะเมื่อทำผิดอะไรเอาไว้ สักวันหนึ่งท่านก็จะต้องรู้ หากท่านรู้แล้วก็จะถูกตำหนิ หรือขับไล่ออกจากบ้าน เวลาที่พ่อแม่ของสามีหรือสามีทำความดี ก็ให้มีมุทิตาจิต แล้วส่งเสริมสนับสนุน พูดให้กำลังใจให้ทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
นี่ก็คือโอวาท ๑๐ ประการ ที่มหาอุบาสิกาวิสาขา ได้นำมาอธิบายให้เข้าใจอย่างง่ายๆ ซึ่งลูกบางคนที่ยังต้องอยู่ครองเรือน ควรจะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันกันนะจ๊ะ จะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขเป็นครอบครัวแก้ว ครอบครัวของยอดกัลยาณมิตร อยู่แล้วก็ได้สร้างบุญกุศลเพิ่มมากขึ้น ส่วนว่ามหาอุบาสิกาวิสาขา จะทำให้พ่อของสามี หันมานับถือพระพุทธศาสนา และทำบ้านของพ่อสามีให้เป็นปฏิรูปเทสได้อย่างไร เอาไว้วันพรุ่งนี้ เราก็จะได้มาติดตามรับฟังกันต่อนะจ๊ะ วันนี้ก็ให้ธรรมะใสๆ ใจหยุดนิ่งอยู่กลางดวงธรรม หยุดนิ่งอยู่กลางองค์พระกันทุกคนนะจ๊ะ
พระธรรมเทศนาโดย : พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)