ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : ทิฏฐิไม่มีชีวีสดใส


ธรรมะเพื่อประชาชน : ทิฏฐิไม่มีชีวีสดใส

Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน

 

DhammaPP131_01.jpg

ทิฏฐิไม่มีชีวีสดใส

                   ชีวิตในปรโลกนั้นเป็นอยู่ได้ด้วยบุญ ถ้ามีบุญมากก็มีความสุขมาก ถ้ามีบุญน้อยความสุขก็ลดน้อยลงไปตามส่วน ขึ้นอยู่กับกำลังบุญว่ามีมากหรือน้อย ดวงบุญในตัวเล็กหรือใหญ่ ถ้าดวงบุญในตัวโตใหญ่ นอกจากจะมีความสุขมากแล้ว ระยะเวลาในการเสวยผลบุญ ก็ยาวนานอีกด้วย เวลามีสุขก็สุขนาน แต่ถ้ามีทุกข์เพราะบาปส่งผล ก็ทุกข์กันยาวนานเช่นเดียวกัน และจะเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย กับเวลาที่เราอยู่ในโลกมนุษย์นี้ ซึ่งเวลาสุขก็สุขเพียงชั่วครู่ ทุกข์ก็ทุกข์เพียงชั่วครู่ แต่ในปรโลกนั้น ระยะเวลายาวนานมากทีเดียวนะจ๊ะ ปริมาณก็แตกต่างกันมาก 

                     ฉะนั้นน่ะเมื่อพวกเราทราบกันอย่างนี้แล้ว ก็อย่าได้ประมาทในชีวิต ให้อดทนสร้างบารมีกันไปในชาตินี้ทั้งทาน ศีล ภาวนาอย่าให้ขาดแม้แต่วันเดียว เพราะไม่ช้าเดี๋ยวก็หมดเวลาแล้ว พบชาติต่อๆ ไป เราจะได้มีแต่ความสุขตลอดเส้นทางของการสร้างบารมี จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรมกันนะจ๊ะ 

 

                        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย มหานิทเทส ว่าทิฏฐิที่กำหนดเพื่อเกิดในภพน้อยและภพใหญ่ ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีปัญญา ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆ ในโลก เพราะบุคคลผู้มีปัญญา ละมารยาและมานะได้แล้ว เป็นผู้ไม่มีกิเลสเครื่องเข้าถึง จะพึงไปด้วยกิเลสอะไรเล่า ทิฏฐิมานะความอวดดื้อถือดี ถือเนื้อถือตัวจัด เป็นประดุจกำแพงที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายในใจ คอยกางกั้นคุณธรรมและความดีงามทั้งหลาย ไม่ให้เจริญงอกงามขึ้นในจิตใจ 

 

                         คนที่มากไปด้วยทิฏฐิมานะนั้น มักเป็นผู้ที่ว่ายากสอนยาก เพราะมีความถือตัวจัด คิดว่าตนเองเก่งกว่าผู้อื่น ดีกว่าหรือประเสริฐกว่าผู้อื่น เมื่อความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว การอ่อนน้อมถ่อมตน ที่จะยอมรับฟังคำแนะนำพร่ำสอนจากผู้อื่น จึงเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ความรู้และคุณธรรมภายในก็ไม่เจริญงอกงาม มีแต่จะยิ่งพอกพูน ความเห็นผิดและความถือตัวจัด ให้หนาแน่นมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเราจึงต้องมีสติ คอยสอนตัวเองว่า อย่าเป็นผู้ว่ายากสอนยาก มากไปด้วยทิฏฐิมานะ ใครเป็นอย่างนี้ก็ให้รีบปรับปรุงแก้ไขเสียงนะจ๊ะ

 

                      และสำหรับวันนี้ หลวงพ่อก็มีเรื่องราว ที่เกี่ยวกับการถือทิฏฐิมานะ ในเรื่องชาติตระกูล มาเล่าให้ลูกๆ ได้รับฟังกัน เรื่องก็มีอยู่ว่า สมัยหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงมีพระประสงค์ ที่จะทำการสนิทสนม คุ้นเคยกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงรับสั่งให้ราชบุรุษ ส่งสารก็ยังศากยราชตระกูล เพื่อขอพระธิดามาเป็นมเหสีของพระองค์ แต่พวกเจ้าศักยะราช กลับเกรงว่าราชตระกูลของตน จะไม่บริสุทธิ์เพราะการเจือปนกันระหว่างราชวงศ์ จึงทรงพระนางวาสภขัตติยา พระธิดาของพระเจ้ามหานามะ ซึ่งเกิดจากหญิงรับใช้นางหนึ่งไปให้ ฝ่ายพระเจ้าปเสนทิโกศล เมื่อได้พระธิดามาแล้ว ก็ทรงปลาบปลื้มพระทัยว่า พระองค์จะได้เกี่ยวดองเป็นเครือญาติกับพระผู้มีพระภาคเจ้า และได้สถาปนาพระธิดาไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี 

 

                      ต่อมาไม่นานพระมเหสีก็ได้ให้กำเนิดพระโอรสพระองค์หนึ่ง ก็ยิ่งทำให้พระราชาปีติโสมนัสมากยิ่งขึ้น ทรงรับสั่งให้พระราชทานเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ พร้อมทั้งราชทรัพย์มากมาย ต่อมาภายหลัง เมื่อพระราชาล่วงรู้ความลับว่า พระมเหสีของพระองค์นั้น เป็นลูกของหญิงรับใช้ ในศากยราชตระกูล จึงทำให้พระองค์ทรงกริ้วมาก ถึงกับรับสั่งให้ปลดพระมเหสี ออกจากตำแหน่ง และให้ริบเครื่องราชทุกอย่าง อนุญาตให้เพียงเครื่องนุ่งห่มของหญิงรับใช้ พร้อมกับรับสั่งให้พระนางกับพระโอรส อยู่ในฐานะของคนรับใช้เท่านั้น 

 

           พระบรมศาสดาครั้นทรงทราบเรื่องที่เกิดขึ้น และต้องการจะให้พระราชาทรงเบาพระทัย จึงเสด็จไปหาและตรัสกับพระองค์ว่า มหาบพิตร พระนางวาสภขัตติยานี้ เป็นพระธิดาของพระราชา ทรงเสด็จมาก็เพื่อพระราชา และอาศัยพระองค์ผู้เป็นพระราชานั่นเอง จึงมีพระโอรส ดังนั้นพระโอรสนั้นจึงควรได้เสวยสิริราชสมบัติ อันเป็นของพระบิดา แม้พระราชาในอดีต เมื่อได้โอรสในครรภ์ของหญิงหาฟืน ผู้เป็นเพียงภรรยาชั่วคราว ก็ยังทรงพระราชทานราชสมบัติให้กับพระโอรสเลย 

 

                 จากนั้นยังทรงนำอดีตนิทานมาตรัสเล่าให้ฟังว่า ในอดีตกาล พระเจ้าพรหมทัต ทรงครองราชในนครพาราณสี วันหนึ่งพระองได้เสด็จล่าสัตว์ในป่า ทรงทอดพระเนตรเห็นหญิงเก็บฟืนนางหนึ่ง ซึ่งกำลังกำจัดฟืนไปพลางร้องเพลงไปพลาง เพียงแรกเห็นเท่านั้นก็เกิดจิตปฏิพัทธ์ รักใคร่ขึ้นมาอย่างจับใจ จึงได้ร่วมอภิรมย์กับนาง ขณะนั้นนางได้เกิดบุพนิมิตขึ้น แล้วรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาในท้อง เหมือนกับว่าในท้อง เต็มไปด้วยก้อนเพชรมากมาย จึงเกิดความมั่นใจว่าตนเองจะต้องตั้งครรภ์อย่างแน่นอน จึงได้กราบทูลให้พระราชาทรงทราบ ถึงการเกิดบุพนิมิตนั้น พระราชาจึงมอบแหวนไว้ เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ แล้วตรัสว่า ถ้าหากครอดเป็นลูกหญิง ก็ให้ขายแหวนนี้แล้วนำทรัพย์มาเลี้ยงดู แต่ถ้าหากเป็นลูกชายเจ้าจงนำลูกของเรา ไปยังราชนิเวศน์พร้อมกับแหวนวงนี้ ครั้นตรัสแล้วก็เสด็จจากไป 

 

                   ต่อมาไม่นานนางก็ได้กำเนิดบุตรชาย และให้การเลี้ยงดูเป็นอย่างดี เมื่อลูกชายโตขึ้นพอรู้เดียงสาแล้ว ก็พาไปยังพระราชมณเฑียร เพื่อเฝ้าพระราชาตามสัญญา เมื่อไปถึงก็ไหว้วานราชบุรุษ ให้ช่วยกลาบทูลพระราชาว่า หญิงหาฟืนกับลูกมาขอเข้าเฝ้า พระราชาแม้ทรงทราบอยู่แก่ใจแต่ก็เกรงว่า จะได้รับความอับอาย ฉะนั้นเมื่อหญิงหาบฟืนแสดงโอรสของพระองค์ขึ้นเท่านั้น พระองค์จึงรีบปฏิเสธเป็นการใหญ่ นางจึงแสดงพระธำมรงค์ของพระองค์ พระราชาก็ยังไม่ยอมจำนนก็ยังปฏิเสธว่า ไม่ใช่แหวนของพระองค์อีก ยิ่งสร้างความประหลาดใจ ให้กับข้าราชบริพารเป็นอย่างมาก

 

              เมื่อเหตุการณ์กลับตาลปัตรเช่นนี้ หญิงหาฟืนจึงอธิษฐานจิต พร้อมกับประกาศด้วยเสียงอันดังว่า มหาราชบัดนี้เว้นสัจจะกิริยาเสียแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะเป็นพยานให้กับหม่อมฉันได้ เพราะฉะนั้นหม่อมฉันจะโยนเด็กน้อยนี้ขึ้นไป หากเด็กนี้เป็นลูกของพระองค์ ก็ขอให้รอยอยู่ในอากาศ แต่ถ้าหากไม่ใช่ ก็ให้ตกลงมาที่พื้นดินเถิด ว่าแล้วก็โยนลูกน้อยขึ้นไปในอากาศ ด้วยบุญญานุภาพของทารกน้อยผู้เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านได้นั่งคู้บัลลังก์อยู่กลางอากาศ และได้กล่าวสอนธรรมะให้แก่พระบิดา ด้วยเสียงอันไพเราะว่า ข้าแต่เสด็จพ่อแม้คนเหล่าอื่น พระองค์ยังทรงชุบเลี้ยงได้ ไฉนจะไม่ทรงชุบเลี้ยงโอรสของพระองค์เองเล่า ข้าพระองค์เป็นพระโอรสของฝ่าพระบาทพระเจ้าค่ะ 

 

              พระราชาเมื่อเห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนี้ ประกอบกับได้สดับมาธุระวาจาแล้ว ก็เกิดสังเวชใจ จึงทรงเหยียดพระหัสออกแล้วตรัสว่า จงมาเถิดลูกรัก พ่อจะชุบเลี้ยงเจ้าเอง จากนั้นทรงพระราชทานตำแหน่งอุปราชแก่พระโพธิสัตว์ และก็ได้ทรงตั้งมารดาให้เป็นอัครมเหสี เมื่อพระราชาสวรรคตแล้ว พระโพธิสัตว์ก็ได้เป็นพระราชานามว่า  กัฏฐวาหนะ ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม สืบมาจน ตลอดพระชนมายุของพระองค์ ซึ่งพระมารดาในครั้งนั้นก็คือ พระนางสิริมหามายาเทวี พระราชบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนะมหาราชนั่นเอง ครั้นพอจบพระธรรรมเทศนาแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงคลายจากความพิโรธ และทรงมีพระทัยชื่นบานยิ่งนัก รับสั่งให้คืนตำแหน่งมเหสี และเครื่องประดับทุกอย่าง แก่พระนางวาสภขัตติยาและพระโอรสทันที 

 


              จากเรื่องนี้เราจะเห็นได้ว่า การมีทิฏฐิมานะ ยึดติดในวรรณะ ชาติตระกูลหรือเรื่องอะไรก็ตาม ย่อมเป็นเหตุนำความเดือดร้อนมาให้ ทั้งแก่ตัวเราและบุคคลรอบข้าง แต่ไม่ว่าเราจะเกิดมาในชาติตระกูลใด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดำเนินชีวิตให้มีคุณค่า แม้จะเกิดในตระกูลของคนเทหยากเยื่อ หรือคนธรรมดาสามัญ แต่หากมีจิตใจสูงส่ง เปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรมความดี ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีชาติตระกูลดี คือมีเชื้อสายแห่งคุณธรรมความดี ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เป็นผู้ที่ควรแก่การยกย่องสรรเสริญของเทวดาและมนุษย์ท้้งหลาย ดังนั้นในวันนี้ ก็ให้ลูกทุกๆ คนหมั่นทำทาน รักษาศีลและเจริญภาวนากันให้เต็มที่ เพราะเมื่อใจเราใส มีพระรัตนไตรภายในเป็นที่พึ่ง ทิฏฐิมานะในใจของเราก็จะเจือจาง และถูกขัดเกลาให้หมดสิ้นไป ในที่สุดนะจ๊ะ 

 

พระธรรมเทศนาโดย : พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล