ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : บูชาพุทธะพาให้หลุดพ้น


ธรรมะเพื่อประชาชน : บูชาพุทธะพาให้หลุดพ้น

Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน

DhammaPP151_01.jpg

     บูชาพุทธะพาให้หลุดพ้น   

                สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนมีพื้นฐานของชีวิตเหมือนกัน เพราะต่างก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น ตั้งแต่วันแรกเกิดจนกระทั่งถึงวันที่หลับตาลาโลก ทุกชีวิตล้วนมีความทุกข์เป็นพื้นฐาน เหมือนกับโลกที่มีความมืดเป็นพื้นฐาน การที่เราเห็นแสงสว่างเพราะมีแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ แสงดาวหรือแสงไฟที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น จึงทำให้โลกเราสว่างไสวได้เพราะฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจความเป็นจริงในชีวิตว่าเป็นทุกข์แล้ว จะได้เกิดความเบื่อหน่าย รีบขวนขวายหาทางพ้นทุกข์ ดังนั้นการปฏิบัติธรรมจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด สำหรับผู้ที่ปรารถนาความบริสุทธิ์หลุดพ้น ก็จะได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริงกันนะจ๊ะ

 


                มีเนื้อความที่พระควัมปติเถระกล่าวไว้ใน อปทาน ความว่า เรามีจิตเลื่อมใสในพระสิขีพุทธเจ้า  ผู้ประกอบไปด้วยพระมหากรุณา ทรงยินดีในประโยชน์เกื้อกูลต่อสรรพสัตว์ จึงได้บูชาด้วยดอกอัญชันเขียว ในกัปที่ ๓๑ นับจากภัทรกัปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้ก็เป็นผลแห่งพุทธบูชา 

 


                การบูชาบุคคลบุญเลิศเฉกเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่จะบังเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เพราะกว่าที่พระพุทธเจ้าที่ละพระองค์จะเสด็จอุบัติขึ้นเห็นโลก ท่านต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการสร้างบารมีมายาวนาน อย่างน้อยก็ตั้ง ๒๐ อสงไขกับอีกแสนมหากัป จนกระทั่งบารมีธรรมทั้ง ๓๐ ทัศน์ครบถ้วนเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ เพราะฉะนั้นเมื่อใครบูชาพุทธองค์ในจิตที่เลื่อมใส บุญกุศลอันยิ่งใหญ่ไพศาล   ยากที่จะนับจะประมาณได้ อยากจะบังเกิดขึ้นกับบุคคลนั้น ชีวิตจะประสบแต่ความสุขและความเจริญทั้งในโลกนี้และโลกหน้า จนกระทั่งถึงภพชาติสุดท้าย ก็จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เหมือนดั่งเรื่องของพระควัมปติเถระที่จะเล่าให้ฟังกันในวันนี้นะจ๊ะ

 


                ย้อนกลับไปในกัปที่ ๓๑ จากภัทรกัปนี้ ท่านพระควัมปติเถระ ได้เกิดเป็นนายพรานล่าเนื้อ วันหนึ่งขณะที่กำลังเที่ยวล่าสัตว์อยู่ในป่านั้น นายพรานได้เห็นพระรัศมีที่สว่างไสว เปร่งออกจากพระวรกายของพระสิขีพุทธเจ้า จึงบังเกิดความเลื่อมใสคิดว่า อันตัวเรานี้เป็นเพียงนายพรานป่าประกอบอาชีพที่เนื่องด้วยการทำปาณาติบาต จะหาอาหารที่มีรสเลิศมาถวายพระมหาสมณะในยามนี้ก็คงไม่ทัน ทำอย่างไรดีหนอถึงจะได้ทำบุญใหญ่กับพระพุทธองค์ ด้วยความเป็นผู้ฉลาดในการแสวงหาบุญ จึงได้น้อมนำเอาดอกอัญชันเขียวมาบูชาแด่พระพุทธองค์ พร้อมกับอธิษฐานจิตว่า ขอบุญนี้จงเป็นพลวปัจจัย ให้ข้าพเจ้าหลุดพ้นจากวิบากกรรมปาณาติบาต ให้ได้เกิดในบวรพระพุทธศาสนา เป็นสัมมาทิฏฐิบุคคล แล้วอย่าได้มาเกิดเป็นลูกนายพรานอีกต่อไปเลย 

 


                ตั้งแต่วันนั้นมานายพรานก็หมั่นนึกถึงบุญ ที่ได้ทำเอาไว้อย่างดีแล้ว เมื่อละโลกไปแล้ว ก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก ได้เวียนตายเวียนเกิด อยู่แต่ในสุคติภูมิ เมื่อลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้พบพระพุทธศาสนา เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ทำให้ได้มีโอกาสสั่งสมบุญจนตลอดชีวิต ชีวิตในปรโลก จึงได้ไปเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นต่างๆ ไม่พลัดไปเกิดในอบายเลย 

 


                ต่อมาในยุคของพระโกนาคมนพุทธเจ้า ท่านก็ได้มาเกิดในช่วง ที่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานพอดี จึงถือโอกาสเอาบุญใหญ่ด้วยการสร้างฉัตรและไพที เอาไว้บนพระเจดีย์ของพุทธองค์ หลังจากที่ละจากโลกแล้ว ก็ไปวันเกิดในเทวโลกอีก เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นต่างๆเป็นเวลา ๑ พุทธันดร 

 


                พอมาในยุคของพระกัสสปะพุทธเจ้า ท่านได้มาบังเกิดในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย ครอบครัวของท่านได้เลี้ยงโคไว้มากมาย เมื่อมานพเจริญเติบโตขึ้น ก็ได้ช่วยมารดาบิดา ดูแลกิจการงานอย่างแข็งขัน เช้าวันหนึ่งขณะที่ออกตรวจดูฝูงโคและคนเลี้ยงโค มานพหนุ่มได้เห็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง มาบิณฑบาตที่หมู่บ้าน จึงรีบเข้าไปในบ้านนำอาหารที่มีรถเลิศเอามาถวาย เมื่อพระเถระเดินออกจากหมู่บ้าน มานพหนุ่มก็เดินตามหลังท่านไป พระเถระไปหาสถานที่อันสงบเงียบ เพื่อฉันอาหารบิณฑบาต ส่วนมานพก็จะไปตรวจดูกิจการงานที่ทุ่งนา 

 


                มานพหนุ่มเห็นพระเถระนั่งฉันอยู่ใต้ต้นไม้ จึงคิดว่าพระคุณเจ้าอาจจะได้รับความลำบากในการขบฉัน เพราะแสงแดดที่สาดส่องเข้ามา จึงได้สั่งลูกน้องให้ทำที่นั่งและมณฑป สำหรับกันแดดถวายพระเถระ พระเถระเห็นความตั้งใจของมานพ ก็ปรารถนาที่จะให้เขาได้บุญเต็มที่ จึงเข้ามาฉันอาหารที่มณฑปเป็นประจำทุกวัน ด้วยบุญกุศลที่มานพหนุ่มได้กระทำในครั้งนั้น เมื่อเขาละจากโลกไปแล้ว ก็ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีป่าไม้ใหญ่บังเกิดขึ้นใกล้กับประตูวิมาน มีดอกสวยสดงดงามทั้งมีกลิ่นหอม วิมานของเทพบุตรองค์นี้จึงมีชื่อว่า เสรีสกวิมาน

 


                พอมาถึงสมัยพุทธกาลนี้ ท่านได้มาบังเกิดในตระกูลเศรษฐี ในเมืองพาราณสี เป็นสหายของพระยสเถระ เมื่อทราบข่าวว่าสหายยสออกบวชแล้ว จึงได้เดินทางไปสำนักพระบรมศาสดา พร้อมกับสหายอีก ๓ คนคือวิมล สุภาหุและปุณณชิ พอได้ฟังพระธรรมเทศนาเรื่องอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ จากพระบรมศาสดาแล้ว ก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กันทั้งหมด 

 


                หลังจากที่พระควัมปติบรรลุธรรมแล้ว ท่านก็ได้เดินทางไปพรำนักอาศัยอยู่ที่เพราะวิหารอัญชนวันในเมืองสาเกต มีอยู่วันหนึ่งพระบรมศาสดาได้เสด็จมาที่เมืองสาเกต ได้เสด็จเข้ามาพักที่นั่น เนื่องจากมีหมู่ภิกษุสงฆ์ตามเสด็จมาเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ที่พักไม่เพียงพอ พวกภิกษุที่ไม่มีที่พักรวมถึงสามเณร จึงได้พากันไปนอนพักที่เนินทราย ริมแม่น้ำสรภูใกล้ๆ กับพระวิหาร เวลาเที่ยงคืนขณะที่พวกภิกษุกำลังนอนพักอยู่นั่นเอง ห้วงน้ำใหญ่ได้ไหลหลากมาอย่างแรง เพราะมีฝนตกหนักอยู่ทางตอนเหนือของพระวิหาร พวกสามเณรพอได้ยินเสียงน้ำหลากมา จึงพากันส่งเสียงร้องดังลั่น พระบรมศาสดาทรงทราบว่า อุทกภัยครั้งนี้จะคร่าชีวิตของภิกษุสามเณรที่จำวัดอยู่ริมแม่น้ำ จึงได้สั่งพระควัมปติให้ไปแก้ไขวิกฤตภัยธรรมชาติครั้งนี้

 


                เมื่อพระเถระรับพุทธบรรชาแล้ว ก็ได้เหาะออกไปยืนอยู่บนเนินทราย ใช้ฤทธิ์สะกดกระแสน้ำที่กำลังหลากมาอย่างเร็วแรงให้หยุดลงทันที เหมือนทำนบขนาดใหญ่ที่สามารถกลั้นน้ำไม่ให้ล้นขึ้นมาบนฝั่ง ตั่งแต่นั้นมาข่าวที่พระเถระสามารถห้ามหวงน้ำใหญ่ ไม่ให้ท่วมชายหาดและช่วยชีวิตเพื่อนสหธรรมิกได้อย่างหวุดหวิด ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมือง จึงที่ทำให้ชื่อเสียงของพระเถระเป็นที่รู้จักของเพื่อนสหธรรมิกและพุทธบริษัท

 


                วันหนึ่งได้มีเหล่าพุทธบริษัทมานั่งฟังธรรมจากพระเถระมากมาย พระบรมศาสดาทรงมีพระประสงค์ที่จะสรรเสริญคุณของพระเถระ จึงตรัสขึ้นว่า เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายพากันนอบน้อมพระควัมปติ ผู้ห้ามแม่น้ำสรภูให้หยุดไหลได้ด้วยฤทธิ์ ไม่ติดอยู่ในกิเลส ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดๆ เป็นผู้พ้นจากเครื่องข้องทั้งปวง เป็นมหามุนีผู้ถึงฝั่งแห่งภพ มหาชนที่นั่งอยู่ในโรงธรรมะสภาครั้นได้ฟังคุณวิเศษของพระเถระ จากพระโอษฐ์เช่นนั้นก็เกิดความเลื่อมใสในคุณธรรม ของพระเถระมากยิ่งขึ้นไปอีก เราจะเห็นได้ว่าเส้นทางการสร้างบารมีของพระเถระรูปนี้ มีความราบเรียบมาโดยตลอด คำว่าราบเรียบหมายถึงไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมินั่นเอง ท่านเวียนว่ายตายเกิดแต่ในสุคติภูมิอย่างเดียว เพราะทำบุญถูกเนื้อนาบุญ และอธิษฐานจิตกำกับไว้อย่างดีนั่นเอง 

 


                การได้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบุคคลที่ควรบูชาสูงสุด แม้ว่าสิ่งของที่นำมาบูชานั้น จะดูเป็นสิ่งเล็กน้อยไม่มีค่าอะไรมาก แต่เพราะได้ทำด้วยความตั้งใจ ผลที่เกิดขึ้นอย่างมากมายเกินควรเกินคาด ยากที่จะนับจะคำนวณว่าได้ผลบุญเท่านั้นเท่านี้ ดังนั้นพวกเราจึงควรตระหนักถึงจุดนี้กันให้ดี เราได้เกิดในบวรพระพุทธศาสนาแล้ว เวลาสร้างบุญสร้างกุศลไม่ว่าจะถวายทาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ศาลาการเปรียญก็ต้องทำด้วยจิตศรัทธาเลื่อมใส ทำด้วยใจที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ แล้วบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ก็จะบังเกิดขึ้น ติดตามตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติกันทุกคนนะจ๊ะ

 

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

 

 
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล