Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ผู้เป็นบัณฑิต
ความสุขและความสำเร็จเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนล้วนต่างก็ดิ้นรนขวนขวาย เสาะแสวงหาสิ่งที่คิดว่า จะเพิ่มเติมส่วนที่ขาดหายไปให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ เมื่อยังไม่รู้ว่าหนทางความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ตรงไหน จะเข้าถึงได้อย่างไร จึงทำให้ต้องหลงวนเวียนอยู่กับเรื่องการทำมาหากิน การแสวงหาความสนุกสนานเพลิดเพลิน เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทองอันเป็นโลกธรรม แต่พระบรมศาสดาทรงค้นพบแล้วว่า วิธีการที่จะเข้าถึงความสุขที่แท้จริงนั้น ต้องเริ่มต้นจากใจที่หยุดนิ่ง เพราะสุขอื่นนอกจากใจหยุดใจนิ่งนั้นไม่มี ใจที่สงบหยุดนิ่งจะเป็นต้นทางของความสุขและความสำเร็จที่แท้จริง เมื่อนั้นชีวิตของเราย่อมก้าวไปสู่ความเต็มเปี่ยมบริบูรณ์คือ การได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ดังนั้นการปฏิบัติธรรมด้วยการฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสนับเป็นทางมาแห่งความสุขที่แท้จริง และเป็นทางไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งมวล
มีเนื้อความที่ปรากฏใน กูฏวานิชชาดก ความว่า
คนชื่อบัณฑิตเป็นคนดี
ส่วนคนชื่ออติบัณฑิตไม่ดีเลย
เราถูกไฟครอกหน่อยหนึ่ง
เพราะบุตรของเราชื่ออติบัณฑิต
บัณฑิตหมายถึงผู้ที่คิดดีพูดดีแล้วก็ทำดี มีใจใสเป็นปกติ ส่วนอติบัณฑิตหมายถึงผู้ที่เป็นยิ่งกว่าบัณฑิต แต่กลับไม่น่านับถือเหมือนคนชื่อบัณฑิต ถ้อยคำที่หลวงพ่อได้ยกขึ้นมากล่าวข้างต้นนี้ มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไรบ้าง เรามาติดตามรับฟังกันเลยนะจ๊ะ
ในสมัยพุทธกาลมีอุบาสกคนหนึ่งในเมืองสาวัตถี ได้ลงทุนค้าขายด้วยกันกับพ่อค้า ซึ่งเป็นเพื่อนกันมานาน ครั้งหนึ่งหลังจากทั้งสอง ได้กลับจากค้าขายในชนบท ได้รับผลกำไรมากกว่าทุกครั้ง ทำให้เพื่อนเกิดความโลภ อยากได้ส่วนแบ่งมากกว่าอุบาสกที่ได้ลงทุนร่วมกัน จึงคิดฟุ้งฝันไปว่า เพื่อนของเราได้เดินทางไปค้าขายด้วยกัน หนทางที่เดินทางไปนั้นก็ยากลำบากทุรกันดาร อาหารการกินก็ไม่ดีกินก็ไม่อิ่ม ที่หลับที่นอนก็ตามมีตามได้ ต่างก็ลำบากตรากตรำด้วยกันมาหลายวัน ฉะนั้นเมื่อกลับไปถึงบ้าน เพื่อนของเราคงจะทานอาหารจนสมอยาก ทำให้แน่นท้องอาหารไม่ย่อย ถ้าเกิดเขาตายไปเราก็จะเป็นผู้จัดการกับทรัพย์ที่ได้มาทั้งหมด จะแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งจะส่งมอบให้กับลูกๆ ของสหาย สองส่วนที่เหลือก็จะเป็นของเรา แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะอุบาสกเป็นคนรู้ประมาณในการบริโภค จึงไม่ได้ตายอย่างที่ตั้งใจ
พ่อค้าผู้โลภมากจึงผลัดวันประกันพรุ่ง เขาได้พูดเลื่อนวันออกไปเรื่อยๆ ไม่มีกำหนด เดี๋ยวก็พูดว่าเอาไว้ช่วงไหนมีเวลาว่างจากภารกิจจะแบ่งให้แน่นอน แต่ก็ไม่ยอมแบ่งให้สักทีจนในที่สุด อุบาสกเห็นว่าถ้าอ่อนข้อให้อยู่อย่างนี้คงไม่ได้แน่ เลยจำต้องคาดคั้นข่มขู่เอา จึงได้ส่วนแบ่งที่ควรจะได้ หลังจากได้ส่วนแบ่งแล้ว พ่อค้าก็ได้ไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาที่วัดพระเชตวันมหาวิหาร
พระบรมศาสดาตรัสถามว่า อุบาสกท่านไปทำการค้ามาหรือ ช่วงนี้ไม่เห็นท่านมาฟังธรรมหลายวันแล้ว เมื่อพ่อค้ากราบทูลเรื่องราวการแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัวให้ฟัง จึงตรัสว่าอุบาสกไม่ใช่เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น ที่เพื่อนของท่านมีนิสัยอย่างนี้ แม้ชาติที่แล้วก็มีจิตคิดคดโกงมาแล้วเหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถหลอกลวงบัณฑิตเช่นเราได้ เมื่อพ่อค้าอยากรู้เรื่องราวในอดีตของเพื่อน จึงตรัสเล่าให้ฟังว่า ในอดีตกาลครั้งที่พระเจ้าพรหมทัศน์ครองราชสมบัติอยู่ที่เมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดในตระกูลพ่อค้า มีนามว่าบัณฑิตพอท่านเติบโตขึ้น ก็ได้ลงทุนทำการค้าร่วมกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง มีชื่อว่าอติบัณฑิต วันหนึ่งพ่อค้าก็ได้บรรทุกสินค้า ๕๐๐ เล่มเกวียน ไปค้าขายที่ชนบทแห่งหนึ่ง เมื่อขายสินค้าหมดแล้ว ได้เงินทองกลับมาบ้านมากมาย
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงเมืองพาราณาสี ก็ได้กำหนดวันที่จะแบ่งปันทั้งต้นทุนและผลกำไรให้กันและกัน แต่พอถึงวันกำหนดนัดจริง อติบัณฑิตกลับมีความโลภ อยากได้ทรัพย์มากกว่าจึงพูดว่าข้าพเจ้าควรได้ ๒ ส่วนจากใน ๓ ส่วน พระโพธิสัตว์ถามว่า ท่านมีเหตุผลอะไรจึงต้องได้มากกว่าข้าพเจ้า ในเมื่อค่าใช้จ่ายในการลงทุน พวกเราก็ได้ลงไปเท่าๆ กันไม่มีใครมากหรือน้อยกว่ากัน ฉะนั้นทรัพย์ที่ได้มาก็สมควรแบ่งให้เท่าๆ กันไม่ใช่หรือ อติบัณฑิตให้เหตุผลว่าไม่ได้หลอก ท่านชื่อบัณฑิตส่วนฉันชื่ออติบัณฑิต ซึ่งแปลว่าผู้เป็นยิ่งกว่าบัณฑิต เพราะฉะนั้นฉันจึงสมควรได้รับมากกว่าท่าน พระโพธิสัตว์ฟังแล้วก็แย้งว่า เหตุผลแค่นี้ฟังไม่ขึ้น จะชื่อว่าบัณฑิตหรืออติบัณฑิต ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องการแบ่งผลกำไรกันเลย เมื่อตกลงกันไม่ได้จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น ครั้นหาข้อสรุปยังไม่ได้จึงยังไม่แบ่งสรรปันส่วนกัน ต่างฝ่ายต่างขอกลับบ้านก่อน เดี๋ยวค่อยมาตกลงกันใหม่ว่า จะแบ่งปันกันอย่างไรจึงจะถูกใจทั้งสองฝ่าย
อติบัณฑิตครั้นกลับไปถึงบ้าน ก็วางแผนการที่จะเบียดบัง เอาส่วนแบ่งจากเพื่อนให้ได้ โดยไปขอร้องพ่อของตนให้ปลอมเป็นเทวดา ด้วยการให้ท่านเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในโพรงไม้ต้นหนึ่ง จากนั้นก็ซักซ้อมทำความเข้าใจกัน เมื่อซักซ้อมกันดีแล้ววันต่อมา อติบัณฑิตก็ไปหาพระโพธิสัตว์ที่บ้าน พูดชักชวนว่าเพื่อนรักเมื่อพวกเราไม่สามารถตกลงกันได้ ก็ให้เทวดาตัดสินให้ก็แล้วกัน เพราะเทวดาทราบดีว่า ใครสมควรที่จะรับกันเท่าไร พูดจบก็พาพระโพธิสัตว์เดินมุ่งตรงไปหาต้นไม้ ที่พ่อของตัวซ่อนรออยู่ เมื่อเดินทางมาถึงก็กล่าวขึ้นว่า ข้าแต่เทวดาพวกเราทั้งสองได้ลงทุนค้าขายด้วยกัน แต่แบ่งผลกำไรน่ะไม่ลงตัว ท่านได้โปรดช่วยตัดสินแบ่งทรัพย์ให้พวกเราหน่อยเถิด พอสุดเสียงของอติบัณฑิต เทวดาจำเป็นก็กล่าวขึ้นว่า คนที่ชื่อว่าอติบัณฑิตต้องได้ ๒ ส่วน ส่วนคนที่ชื่อว่าบัณฑิตต้องได้ส่วนเดียวเท่านััน
พระโพธิสัตว์ฟังคำวินิจฉัยที่ไม่สมเหตุสมผล จึงไม่ยอมรับคำตัดสินเทวดา ด้วยความเป็นผู้มีปฏิภาณจึงลำพึงว่า เดี๋ยวก็รู้ว่าเป็นเทวดาตัวจริงหรือตัวปลอมกันแน่ พร้อมกันนั้นก็หอมฟางไปยัดใส่ในโพรงต้นไม้ แล้วจุดไฟเผาทันที เปลวไฟได้รุกไหม้อย่างรวดเร็ว ส่วนพ่อของอติบัณฑิตก็ถูกเปลวไฟลวกตามเสื้อผ้า ก็รีบออกจากโพรงไม้อย่างรวดเร็ว กระโดดคว้ากิ่งไม้โหนตัวลงมาบนพื้นอย่างทุลักทุเล พูดตะคอกใส่ลูกชายว่า ตามปกติแล้วบัณฑิตเป็นคนดีไม่เคยคดโกงใคร แต่อติบัณฑิตนี้ซินิสัยไม่ดีเอาเสียเลย เราเกือบถูกไฟคลอกตายเพราะลูกชายเราแท้ๆ เมื่อแผนการล้มเหลวในที่สุดอติบัณฑิตก็ต้องยอมจำนน ได้แบ่งทรัพย์คนละเท่าๆ กันจากนั้นก็แยกกันกลับบ้านของตน
ข้อคิดสำหรับเรื่องนี้ เราก็จะพบว่าการลงทุนประกอบธุรกิจร่วมกับคนที่ไม่รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือญาตพี่น้องก็ตาม ต้องมีความซื่อสัตย์ความจริงใจต่อกัน ไม่ควรมีความคิดที่จะเอารัดเอาเปรียบกัน เมื่อได้ลงทุนร่วมขันกันแล้ว ผลกำไรที่เกิดขึ้นก็ต้องแบ่งปันให้เหมาะสม ไม่ใช่ให้ความโลภครอบงำจิตใจ จนเป็นเหตุให้มิตรภาพต้องแตกร้าวเพราะความโลภ อยากได้ผลกำไรจนเกินเหตุ
เรื่องการประกอบธุรกิจนี้ เรามักจะได้ยินข่าวตามสื่อต่างๆ ที่มีคนทำร้ายกันเพราะหักหลังโกงกัน แล้วก็เป็นปมนำไปสู่การฆ่า แม้เพื่อนก็ยังฆ่าเพื่อน ญาติพี่น้องก็ยังสามารถฆ่ากันได้เพราะเรื่องผลประโยชน์ไม่ลงตัวนี่แหละ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากไม่รู้จักการยับยั้งชั่งใจ ไม่มีความสันโดษ ได้เท่านี้ก็ยังไม่พอใจอยากได้มากเพิ่มขึ้นไปอีก จึงเกิดความโลภอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เรื่องการลงทุนค้าขายร่วมกันนี้ต้องระวังกันให้ดีนะจ๊ะ อย่าดูแต่ได้โดยไม่ดูเสีย อย่าเห็นแก่เงินมากไปกว่ามิตรภาพที่ดีงาม ผู้รู้ทั้งหลายจึงมักสอนเอาไว้ว่า เงินทองเป็นของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่คุณธรรมนำมิตรน่ะเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าเงินทอง ถ้าแตกร้าวกันแล้วก็ยากที่จะคืนดีกันได้เหมือนเดิม ต้องให้คุณธรรมน้ำมิตรอยู่ในจิตใจ จะไปประกอบธุรกิจการงานกับใคร อย่าไปเอารรัดเอาเปรียบเขา ต้องทำให้เขาไว้เนื้อเชื่อใจมีความซื่อสัตย์ เมื่อทำธุรกิจร่วมกันจะได้มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง และก็ไม่ลืมที่จะประกอบสัมมาอาชีวะเท่านั้น ธุรกิจน้ำเมาและประเภทมิจฉาวณิชชาทั้งหลายที่พุทธองค์ทรงห้ามเอาไว้ อย่าได้ไปฝืนทำกันเลย เพราะมันไม่คุ้มกับวิบากกรรมที่จะต้องไปชดใช้ในปรโลก ต้องทำตัวให้ห่างไกลจากอาชีพเหล่านี้ แล้วความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตก็จะได้บังเกิดขึ้นกับเรา ทั้งในชาตินี้และทุกภพทุกชาติกันทุกคนนะจ๊ะ