ถึงพร้อมด้วยศีล

วันที่ 11 พย. พ.ศ.2558

ถึงพร้อมด้วยศีล


           ถึงพร้อมด้วยศีล หมายถึง เป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ ซึ่งในสามัญญผลสูตรนี้ หมายถึงความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล 3 อย่าง คือ จุลศีล มัชฌิมศีล และมหาศีล


1) จุลศีล
"จุลศีล" เป็นบทฝึกทางกายและวาจา ให้ภิกษุละการทำชั่ว พูดชั่ว ให้ประกอบกายกรรมและวจีกรรมที่เป็นกุศล เว้นขาดจากการแสวงหาและการรับในสิ่งที่ไม่ สมควรต่อความเป็นสมณะ มีทั้งหมด
26 ข้อ ดังต่อไปนี้
1. ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง
2. ละเว้นจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมยเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดอยู่เสมอ
3. ประพฤติพรหมจรรย์ เว้นขาดจากเมถุนธรรม ซึ่งเป็นเรื่องของชาวบ้าน และไม่ทำสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์
4. ละเว้นจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง รักษาคำสัตย์ พูดจาเป็นหลักเป็นฐาน เชื่อถือได้ ไม่พูดลวงโลก
5. ไม่พูดส่อเสียดให้หมู่คณะแตกร้าวกัน แต่สมานคนที่แตกร้าวกันส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันกล่าวแต่คำที่ทำให้คนสามัคคีกัน
6. ไม่พูดคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไพเราะ ไม่มีโทษ เป็นที่รักและพอใจของผู้ได้ยิน
7. ไม่พูดเพ้อเจ้อ พูดถูกกาลเทศะ พูดจริง เป็นอรรถเป็นธรรม เป็นวินัย มีหลัก มีที่อ้าง มีที่สุดเป็นคำพูดประกอบด้วยประโยชน์
8. เว้นขาดจากการพรากพีชคามและภูตคาม คือ เว้นจากการเก็บผักผลไม้มาบริโภค หรือตัดต้นไม้ใหญ่มาสร้างกุฏิวิหาร เป็นต้น
9. มีภัตเดียว หมายถึงภัตที่พึงฉันในเวลาเช้า คือ ฉันเฉพาะในเวลาเช้าจนถึงเที่ยงวัน เว้นจากการฉันในยามราตรี
10. เว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และชมการแสดงที่ยั่วยุให้กามกิเลส กำเริบขึ้นในใจ
11. เว้นขาดจากการทัดทรง ประดับตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่องประทินผิว หรือสิ่งต่างๆ ที่นำมาตกแต่งร่างกาย เพื่อให้เกิดความ วยงาม
12. เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ หรูหราฟุ่มเฟือย ซึ่งไม่เหมาะแก่ สมณะผู้สันโดษ
13. เว้นขาดจากการรับทองและเงิน
14. เว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ ด้วยคิดหวังจะเก็บไว้ปรุงอาหารเอง
15. เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ
16. เว้นขาดจากการรับ ตรีและกุมารี
17. เว้นขาดจากการรับทาสและทาสี
18. เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ
19. เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร
20. เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา
21. เว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน
22. เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรม และการรับใช้ คือ ทำมาหากินด้วยอาชีพต่าง ๆ
23. เว้นขาดจากการซื้อและการขาย
24. เว้นขาดจากการโกงด้วยตาชั่ง การโกงด้วยของปลอม และการโกงด้วยเครื่องตวงวัด
25. เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบตะแลง
26. เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้น และกรรโชก


           ศีลทั้งหมดนี้กำหนดไว้เพื่อป้องกันมิให้พระภิกษุไปกระทำบาปอกุศลต่างๆ อันจะนำมาซึ่งความเดือดร้อนใจในภายหลัง ซึ่งทำให้ใจไม่ สงบ ทำสมาธิได้ยาก อีกทั้งเพื่อป้องกันมิให้พระภิกษุเป็นที่รังเกียจ หรือไม่น่าไว้วางใจของชาวบ้านโดยทั่วไป

 

2) มัชฌิมศีล
          เป็นบทขยายความของจุลศีลบางข้อให้ละเอียดยิ่งขึ้น ด้วยการยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน ทั้งยังเป็นการตีกรอบข้อปฏิบัติของภิกษุให้ชัดยิ่งขึ้นไปอีก มกับที่ตั้งใจมุ่งมั่นมาบวชสร้างบุญบารมี มีทั้งหมด10 ข้อ ดังต่อไปนี้


1. เว้นขาดจากการพรากพีชคามและภูตคาม คือ จะไม่ทำตนดังเช่นนักบวชบางจำพวก ที่ฉันอาหารซึ่งชาวบ้านถวายด้วยความศรัทธาแล้วยังโลภมาก เก็บพืชผักของชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นส่วนเหง้า ต้น ผลยอด หรือเมล็ดก็ตาม ติดไม้ติดมือกลับไปวัดอีก


2. เว้นขาดจากการบริโภคของที่สะสมไว้ คือ ไม่ทำตนเหมือนนักบวชบางพวกที่โลภมาก ชอบสะสมเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ เช่น ข้าว น้ำ ผ้า ยานประเภทต่างๆ ที่นอน ของหอม อามิส หรือเครื่องล่อใจต่างๆ เป็นต้น


3. เว้นขาดจากการดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศล เช่น การขับร้อง ฟ้อนรำ ดนตรี มหรสพชนิดต่างๆ การละเล่นพื้นเมือง การแสดงหน้าศพ การชนช้าง แข่งม้า ชนกระบือ ชนโค ชนแกะ ชนแพะชนไก่ รำกระบี่กระบอง ชกมวย มวยปล้ำ การรบ การสวนสนามจัดกระบวนทัพ การชมสวนดอกไม้ อนึ่งการดูหนังดูละครทางโทรทัศน์ในปัจจุบันก็จัดอยู่ในข้อนี้เช่นกัน การละเล่นที่กล่าวแล้วนี้ ล้วนกระตุ้นกิเลสราคะให้กำเริบขึ้นในจิตใจทั้งสิ้น


4. เว้นขาดจากการขวนขวายเล่นการพนัน อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เช่น เล่นหมากรุกหมากฮอร์ส หมากเก็บ เล่นกำทาย เล่นสกา เล่นไพ่ ถั่วโป ไฮโล ทั้งหลาย รวมถึงการเล่นปู้ยี่ปู้ยำเหมือนเด็กๆ เช่น เล่นเป่าใบไม้ เล่นไถตุ๊กตา เล่นหกคะเมน เล่นกังหัน เล่นตวงทราย เล่นรถตุ๊กตา เล่นธนูตุ๊กตาเล่นเขียนทายกัน เล่นทายใจ เล่นเลียนคนพิการ ดังนี้เป็นต้น
         สรุปได้ว่า นักบวชต้องเว้นขาดจากการเล่นการพนัน การเล่นแบบเด็กๆ ตลอดจนการเล่นเพื่อพักผ่อนหย่อนใจแบบฆราวาส


5. เว้นขาดจากการนอนนั่งบนที่นอนที่นั่งอันสูงใหญ่ หรือหรูหราฟุ่มเฟือยจนเกินไป ไม่เหมาะสมแก่ สมณะผู้สันโดษ เช่น เตียงที่สูงใหญ่ เตียงแกะ ลักลวดลายอย่างวิจิตร และเครื่องปูลาดชนิดต่างๆ ที่ราคาแพง ที่มีลวดลายงามวิจิตรพิสดาร ไม่ว่าจะเป็นลวดลายดอกไม้ หรือสิงสาราสัตว์ใดๆ ทั้งสิ้น เครื่องปูลาด ที่เป็นขนแกะหรือผ้าไหม ที่มีขลิบเงินขลิบทอง เครื่องปูลาดที่ทำด้วยหนังสัตว์อันอ่อนนุ่มราคาแพงเป็นต้น


6. เว้นขาดจากการประกอบการตกแต่งร่างกายให้งดงามวิจิตร เช่น การอบตัว อาบน้ำหอม อาบน้ำแร่แช่น้ำนม การนวดหน้าส่องกระจก เขียนคิ้ว ทาปาก ผัดหน้า ทัดดอกไม้ ประทินผิวสวมสร้อยข้อมือ หรือใช้เครื่องประดับตกแต่งอื่นๆ เช่น ไม้เท้า ดาบ ขรรค์ ร่ม สวมรองเท้าที่มีลวดลายวิจิตรพิสดาร ใช้พัดวาลวีชนี นุ่งห่มด้วยผ้า สีอื่นแบบอื่นนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ เป็นต้นส่วนภิกษุที่ใช้ไม้เท้าหรือร่ม ซึ่งมิได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อการประดับตกแต่งให้ดูโก้เก๋ ไม่เข้าข่ายผิดศีลในข้อนี้


7. เว้นขาดจากการกล่าวติรัจฉานกถา คือ การพูดคุยเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ หรือเรื่องใดๆ ที่พาให้จิตใจของผู้พูดและผู้ฟังตกต่ำจากคุณความดี ทำให้จิตใจห่อเหี่ยวหมดกำลังใจ หรือทำให้จิตใจฟุ้งซ่านเลื่อนลอย เช่น พูดชื่นชมความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ พูดเรื่องโจร เรื่องข้าราชการ เรื่องการเมือง เรื่องกองทัพเรื่องยุทธวิธีการรบ เรื่องญาติ เรื่องยานพาหนะต่างๆ เรื่องบ้าน เรื่องนิคมหรือชุมชน เรื่องความเป็นไปในเมืองใหญ่และชนบท เรื่องสตรี เรื่องแฟชั่น เรื่องบุรุษ เรื่องเพลง เรื่องหนังละคร เรื่องดารา เรื่องเบ็ดเตล็ดทั่วๆ ไป เป็นต้น
            โดย สรุปคือ ภิกษุต้องเว้นขาดจากการพูดคุยเรื่องซึ่งนอกเหนือจากกิจโดยตรงของสงฆ์


8. เว้นขาดจากการกล่าวถ้อยคำโอ้อวด ยกตนข่มท่าน หรือกล่าวดูถูกดูหมิ่นผู้อื่น เช่น ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ แต่ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึง ภิกษุอย่างท่านจะมีปัญญารู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ได้อย่างไร ท่านปฏิบัติผิดแนวทางแล้ว แต่ข้าพเจ้าปฏิบัติถูก ถ้อยคำของข้าพเจ้าเป็นประโยชน์ ของท่านไม่เป็นประโยชน์ ท่านแสดงธรรมไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวสู้นักเทศน์ฝีปากเอกอย่างข้าพเจ้าไม่ได้สิ่งที่ควรจะกล่าวก่อนท่านกลับกล่าวทีหลัง คำที่ควรจะกล่าวทีหลังท่านกลับกล่าวก่อนสิ่งที่ท่านเคยช่ำชองมานั้น เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปแล้วข้าพเจ้าจับผิดท่านได้หลายครั้งแล้ว ข้าพเจ้าข่มท่านได้แล้ว ดังนี้เป็นต้น


9. เว้นขาดจากการทำการงานรับใช้ผู้อื่น เช่น รับใช้เป็นทูตของพระราชา ทำตัวเป็นบุรุษไปรษณีย์รับส่งข่าวสาร หรือพัสดุภัณฑ์ให้คฤหัสถ์ รับจ้างนำสิ่งของจากคนหนึ่งไปส่งให้อีกคนหนึ่ง เป็นพ่อ สื่อให้คู่หนุ่มสาว รับติดต่อฝากคนเข้าทำงาน เป็นหัวคะแนนให้นักการเมือง ดังนี้เป็นต้น


10. เว้นขาดจากการพูดหลอกลวง พูดเลียบเคียง เพื่อล้วงความลับ พูดหว่านล้อมยกยอปอปั้นเพื่อเห็นแก่ลาภ ดังนี้เป็นต้น

 

3) มหาศีล
          เป็นพระวินัยที่มุ่ง ห้ามพระภิกษุไม่ให้เลี้ยงชีพด้วยติรัจฉานวิชาต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา นับตั้งแต่การทายอวัยวะ เช่น ทายลายมือลายเท้าการทายนิมิต เช่น ทายลางบอกเหตุ ทายฟ้าผ่า ทำนายฝัน ทำนายหนูกัดผ้า การทำพิธีบูชาไฟ พิธีเบิกแว่นเวียนเทียน (จุดเทียนที่ติดบนแว่นเวียนเทียน แล้วส่งกันต่อๆ เพื่อเป็นการทำขวัญ) พิธีซัดแกลบบูชาไฟ พิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ พิธีเติมเนยบูชาไฟ พิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ พิธีเสกเป่าบูชาไฟ การทำพลีกรรม (บวงสรวง)ด้วยโลหิต เป็นหมอดูลักษณะที่ตั้งบ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก หมอผี หมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือนหมองู หมอยาพิษ หมอแมงป่อง หมอรักษาแผลหนูกัด หมอทายเสียงนก หมอทายเสียงกา หมอทายอายุหมอเสกกันลูกศร หมอทายเสียงสัตว์ ดังนี้เป็นต้น


2. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา นับตั้งแต่การทายลักษณะแก้วมณี ลักษณะไม้พลองลักษณะศาสตรา ลักษณะดาบ ลักษณะศร ลักษณะธนู ลักษณะอาวุธ ลักษณะสตรี ลักษณะบุรุษ ลักษณะกุมาร ลักษณะกุมารี ลักษณะทาสลักษณะทาสี ลักษณะช้าง ลักษณะม้า ลักษณะกระบือ ลักษณะโคอุสภะ(วัวผู้) ลักษณะโค ลักษณะแพะ ลักษณะแกะ ลักษณะไก่ ลักษณะนกกระทา ลักษณะเหี้ย ลักษณะตุ่น ลักษณะเต่า และลักษณะมฤค (กวางและสัตว์ป่าทั้งหลาย)


3. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา ด้วยการดูฤกษ์ยาตราทัพให้พระราชาว่า ควรจะยกทัพเข้าประชิดศัตรูเมื่อใด ควรจะถอยทัพเมื่อใด ถ้ายกทัพไปเวลาใดจะมีชัยชนะ ยกไปเวลาใดจะปราชัยเพราะเหตุใด เป็นต้น


4. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา โดยการพยากรณ์ว่า จะมีจันทรคราสุริยคราอุกกาบาต ดาวหาง แผ่นดินไหว ฟ้าร้อง หรือพยากรณ์ว่า ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรจะขึ้นหรือตกเมื่อใด จะเดินถูกทางหรือผิดทาง จะมัวหมองหรือกระจ่าง หรือพยากรณ์ว่า จันทรคราสุริยคราสดาวนักษัตรจะมีผลอย่างไร เป็นต้น


5. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานกถา โดยการพยากรณ์ว่า ฝนจะดีหรือแล้ง พืชพันธุ์ธัญญาหารจะสมบูรณ์ หรือขาดแคลน จะเกิดภัยพิบัติ โรคระบาดต่างๆ หรือไพร่ฟ้าประชาชนจะมีความสมบูรณ์พูนสุขกันทั่วหน้า เป็นต้น


6. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา โดยการให้ฤกษ์อาวาหมงคล ให้ฤกษ์วิวาหมงคลดูฤกษ์เรียงหมอน (ฤกษ์เนื่องในพิธีปูที่นอนบ่าวสาว) ฤกษ์หย่าร้าง ฤกษ์เก็บทรัพย์ ฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดีดูเคราะห์ร้าย ร่ายมนตร์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนตร์ให้คางแข็ง ร่ายมนตร์ให้มือสั่น ร่ายมนตร์ไม่ให้หูได้ยินเสียง ร่ายมนตร์พ่นไฟ ร่ายมนตร์ขับผี เป็นหมอเสน่ห์ เป็นผู้บวงสรวงพระอาทิตย์ เป็นผู้บวงสรวงท้าวมหาพรหม ทำพิธีเชิญขวัญ เป็นต้น


7. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา โดยการทำพิธีบนบาน พิธีแก้บน พิธีขับผีสอนมนตร์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน พิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนตร์ รดน้ำมนตร์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ยาถ่าย ยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ยานัตถุ์ ยาทากัด ยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล เป็นต้น
            ในที่นี้มีคำว่า ติรัจฉานวิชาคำว่า "ติรัจฉาน" แปลว่า "ไปขวาง" ดังนั้น "ติรัจฉานวิชา" จึงมีความหมายว่า วิชาเหล่านี้ "ขวาง" หรือ "ไม่เข้ากับความเป็นสมณะ" มิได้หมายความว่าเป็นวิชาของสัตว์ติรัจฉาน ดังนั้นถ้อยคำที่พระไม่ควรพูด จึงจัดเป็นติรัจฉานกถา คือ ถ้อยคำที่ขวางหรือขัดกับความเป็นพระ วิชาที่พระไม่ควรเกี่ยวข้อง จึงจัดเป็นติรัจฉานวิชา คือ วิชาที่ขวางหรือขัดกับความเป็นพระพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรุปเรื่องความถึงพร้อมด้วยศีลว่า


"ภิกษุใด เป็นผู้ปฏิบัติสมบูรณ์ด้วยศีลทั้ง 3 อย่าง คือ จุลศีล มัชฌิมศีล และมหาศีลนี้แล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์มากมาย ที่สำคัญคือ เป็นผู้ที่ไม่มีภัยใดๆมากล้ำกราย เปรียบเสมือนกษัตริย์ผู้กำจัดอริราชศัตรูหมดสิ้นแล้ว ย่อม
ไม่ประสบภัยทั้งปวงจากภายนอกส่วนภายในจิตใจนั้นเล่า ย่อมรู้สึก สงบ สบายปราศจากความเดือดร้อน กระวนกระวาย จึงกล่าวได้ว่า พระภิกษุผู้มีศีลสมบูรณ์ย่อมเสวยสุขทั้งทางกายและทางใจ"


            พึงสังเกตว่า จุลศีลและมัชฌิมศีลนั้น มีความสัมพันธ์กับปาฏิโมกขสังวรศีลและอาชีวปาริสุทธิศีลส่วนมหาศีลนั้นสัมพันธ์กับอาชีวปาริสุทธิศีลโดยตรงทีเดียวเมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูได้ สดับเรื่องศีลจากพระบรมศาสดา พระองค์ก็บังเกิดความนับถือเลื่อมใสพระภิกษุอย่างยิ่ง ทรงเห็นว่าสมควรแล้วที่พระภิกษุจะพึงได้รับการเคารพกราบไหว้ และต่อแต่นี้ไปพระองค์เองก็จะทรงกราบไหว้พระภิกษุด้วยความเคารพอย่าง สนิทใจ มิใช่เพียงปฏิบัติตามมารยาทและประเพณีดังแต่ก่อนที่สำคัญที่สุดทรงทราบชัดเจนแล้วว่า พระเทวทัตผู้ชักนำให้พระองค์ทรงหลงผิดนั้น แท้จริงคือโจรในคราบพระภิกษุนั่นเอง เพราะจะหาศีลสักข้อในตัวก็ยังยากเมื่อตรัสเรื่อง "ความถึงพร้อมด้วยศีล" จบลงแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสกับพระเจ้าอชาตศัตรูต่อไปอีกว่า "มหาบพิตร อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย"

-----------------------------------------------

SB 304 ชีวิตสมณะ

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0010791977246602 Mins