ศาสนาบาไฮ

วันที่ 18 กค. พ.ศ.2559

ศาสนาบาไฮ

1. ประวัติความเป็นมา

    ศาสนาบาไฮเป็นศาสนาใหม่ล่าสุด กำเนิดในประเทศเปอร์เซีย หรืออิหร่าน เมื่อ พ.ศ. 2406 โดยคิดตามปีที่พระบาฮาอุลลาห์ ศาสดาของศาสนานี้ ประกาศรับรองตัวเองเป็นศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่ ตามที่พระบ๊อบได้ทำนายไว้ ศาสนาบาไฮวิวัฒนาการมาจากศาสนาบาบี (Babism) ที่พระบ๊อบ เป็นผู้ก่อตั้ง เมื่อ พ.ศ. 2387

    พระบ๊อบเกิดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2362 ณ เมืองชีราส ประเทศอิหร่าน มีชื่อเดิมว่า ซียิค อาลี มุฮัมมัด ต่อมาเมื่ออายุ 25 ปี ท่านอ้างว่าเป็นศาสดาพยากรณ์ที่พระเจ้าส่ง มาเพื่อประกาศให้ชาวโลกทราบถึงการมาของพระศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ และท่านได้เปลี่ยนนามเสียใหม่ให้สอดคล้องกับการประกาศศาสนาของท่านว่า บ๊อบ-อุด-ดิน แปลว่า ประตูแห่งความเชื่อ และเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2387 พระบ๊อบได้ประกาศที่เมืองชีราสว่า ”รุ่งอรุณวันใหม่ เริ่มต้นแล้วŽ ยุคแห่งพระศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเคยทำนายกันไว้ว่า จะเกิดมาช่วยโลกสถาปนายุคแห่งสันติภาพ และภราดรภาพใกล้เข้ามาถึงแล้ว ”

   เรื่องการทำนายว่าจะมีพระศาสดามาอุบัติเพื่อโลกนั้น เกิดขึ้นจากผู้ที่อ้างว่าตนเป็นศาสดาพยากรณ์มาหลายคนแล้ว การทำนายดังกล่าวคงจะมาจากอิทธิพลความเชื่อก่อนที่ พระเยซูถูกจับตรึงไม้กางเขน ท่านได้บอกแก่สาวกว่า1) ”ถ้าพวกท่านรักเรา ก็จงปฏิบัติตามบัญญัติของพระเจ้า แล้วเราจะสวดมนต์อ้อนวอนพระบิดา แล้วพระบิดาจะทรงนำผู้ช่วยคนอื่นมาให้ท่าน เขาจะอยู่กับท่านตลอดไป”Ž พระเยซูยังกล่าวต่อไปอีกว่า2) ”เรายังมีอีกหลายอย่างที่จะบอกท่าน แต่พวกท่านคงยังไม่พร้อมที่จะฟัง สัจธรรมกำลังปรากฏ เขาจะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งปวงŽ”

   ระยะแรกผู้คนต่างชื่นชมต่อการประกาศศาสนาของพระบ๊อบ และเชื่อว่าพระบ๊อบเป็นอิหม่ามผู้ยิ่งใหญ่จะมาทำให้ศาสนาอิสลามเจริญรุ่งเรือง แต่พระบ๊อบยิ่งประกาศไป ก็ยิ่งผิดกับศาสนาอิสลามมากขึ้นทุกทีถึงขนาดจะใช้คัมภีร์ใหม่มาแทนคัมภีร์อัลกุรอาน ผลก็คือพระบ๊อบถูกจับประหารชีวิต ในข้อหาขบถต่อศาสนาอิสลามเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2393 ศพของท่านถูกนำมาฝังไว้บนภูเขาคาร์เมล ในเมืองไฮฟา ประเทศอิสราเอล เมื่อพระบ๊อบสิ้นชีวิตแล้ว พระบาฮาอุลลาห์ก็ได้รับช่วงดำเนินการสืบสานเผยแผ่ศาสนาของพระบ๊อบต่อไป

    บาไฮ เป็นชื่อที่ตั้งตามนามพระศาสดาของศาสนานี้ คือ พระบาฮาอุลลาห์ ซึ่งแปลว่า แสงสว่างของพระเจ้า คำว่า บาไฮ มาจากคำว่า บาฮา แปลว่า แสงสว่าง

   ศาสนาบาไฮ เกิดในอิหร่าน ในยุคที่ศาสนิกของศาสนาอิสลาม คริสต์ และโซโรอัสเตอร์เป็นปฏิปักษ์ต่อกันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะชาวคริสต์และชาวโซโรอัสเตอร์เป็นฝ่ายที่ถูกทำร้ายเป็นส่วนใหญ่ เพราะผู้ปกครองบ้านเมืองเป็นมุสลิม พระบ๊อบและพระบาฮาอุลลาห์ทนเห็นสภาพเลวร้ายนั้นไม่ไหว จึงได้ครุ่นคิดอย่างหนักที่จะหามาตรการมาประนีประนอมให้ศาสนิกของทั้ง 3 ศาสนาหันมาสามัคคีปรองดองกัน จึงเป็นเหตุให้เกิดศาสนาบาบีและบาไฮขึ้นมา เพื่อนำสันติสุขคืนมาให้เพื่อนร่วมชาติ นอกจากนี้ยังมีจุดหมายกว้างไกลออกไปจนถึงการขจัดความขัดแย้งกันในระหว่างศาสนิกของศาสนาต่างๆ ทั่วโลกอีกด้วย เพื่อโลกจะได้มีความสงบสุขอย่างแท้จริง โดยสอนว่า มนุษยชาติเป็นพี่น้องกัน เกิดมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน จึงควรช่วยเหลือกัน ไม่ใช่มาทำร้ายเบียดเบียนกัน

  พระบาฮาอุลลาห์3) กล่าวว่า ”ขอให้ประชาชาติทั้งปวงในโลกจงร่วมปรองดองกันด้วยมิตรภาพและความชื่นชม ปวงชนจงสามัคคีกับคนทุกศาสนาด้วยมิตรภาพและความยินดีŽ” พระอับดุลบาฮา ศาสดาองค์ที่ 2 ของศาสนาบาไฮก็ได้กล่าวว่า4) ”บาไฮ หมายถึงผู้ที่มีความรักโลก รักเพื่อนมนุษย์ แล้วพยายามรับใช้เพื่อนมนุษย์ ปฏิบัติภารกิจเพื่อสากล สันติสุข และภราดรภาพ”Ž สรุปแล้วศาสนาบาไฮเกิดขึ้นมาเพื่อสมานสามัคคีระหว่างศาสนิกของทุกศาสนาในโลก ดังนั้นศาสนาบาไฮจึงมีคำสอนที่เป็นไปเพื่อความเป็นเอกภาพระหว่างพระเจ้า ศาสนาและมนุษยชาติ ศาสนาบาไฮในช่วงสมัยพระบาฮาอุลลาห์เจริญเติบโตอย่างช้าๆ เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง คือท่านทำการเผยแผ่ศาสนาในขณะที่ถูกคุมขังในเรือนจำ จึงเผยแผ่ได้เพียงการเขียนหนังสือเท่านั้น อีกทั้งถูกกล่าวหาว่าขบถต่อศาสนาอิสลาม จึงเป็นภาพพจน์ที่มุสลิมทั่วไปไม่พอใจและขัดขวาง ประการหลังนี้เป็นอุปสรรคมาก เพราะแม้เมื่อพระบาฮาอุลลาห์ พ้นจากโทษจำคุกแล้ว ออกมาเผยแพร่ศาสนาได้โดยตรงก็ไม่สู้ได้ผลนัก เหตุการณ์เป็นอย่างนี้เรื่อยมา จนถึงสมัยพระอับดุลบาฮา ศาสดาองค์ที่ 2 ศาสนาบาไฮจึงเผยแพร่ขยายออกได้อย่างกว้างไกล

   พระอับดุลบาฮา แปลว่า ผู้รับใช้พระเจ้า เป็นบุตรคนโตของพระบาฮาอุลลาห์ ท่านเกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2387 มีชื่อเดิมว่า อับบาส เอฟเฟนดิ ในช่วงสมัยของ พระอับดุลบาฮา ศาสนาบาไฮเจริญก้าวหน้ามาก และเมื่อ พ.ศ. 2454-2455 พระอับดุลบาฮา ได้เดินทางไปเผยแพร่ศาสนายังยุโรปและสหรัฐอเมริกา และท่านได้รับสถาปนาเป็นเซอร์ ขุนนางอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2463 เพราะการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์สงครามระหว่างไฮฟากับปาเลสไตน์ พระอับดุลบาฮาถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2464 รวมอายุได้ 77 ปี ก่อนสิ้นชีพท่านได้แต่งตั้งให้ โชกิ เอฟเฟนดี รับตำแหน่งแทน ปัจจุบันศพของท่านถูกฝังอยู่บนภูเขาคาร์เมล ในเมืองไฮฟา ประเทศอิสราเอล เคียงข้างกับหลุมฝังศพ พระบ๊อบ

    โชกิ เอฟเฟนดี เกิดเมื่อ พ.ศ. 2410 เป็นหลานคนโตของพระอับดุลบาฮา ศาสนาบาไฮ ในสมัยของโชกิ เอฟเฟนดี เจริญรุ่งเรืองและแผ่ขยายไปยังประเทศต่างๆ ยิ่งกว่าสมัยศาสดาองค์ก่อนๆ เพราะชาวโลกได้ทราบถึงศาสนาบาไฮบ้างแล้ว จากการวางรากฐานของศาสดาที่ผ่านมา อีกทั้งโชกิ เอฟเฟนดี ก็ได้รับการศึกษาสูง โดยศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยออกซŒฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ท่านได้เขียนจดหมายถึง 50,000 ฉบับ มีทั้งภาษาอังกฤษ อารบิก และเปอร์เซีย ส่งไปยังประเทศต่างๆ จนกลายเป็นคัมภีร์คำสอนศาสนาบาไฮ ท่านโชกิ เอฟเฟนดี ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500 รวมอายุได้ 90 ปี ศพของท่านถูกฝังอยู่ที่สุสานเกรทนอร์ทเทิร์น ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

    ท่านโชกิ เอฟเฟนดี สิ้นชีวิตโดยมิได้แต่งตั้งใครรับตำแหน่งแทน จึงเป็นอันว่า ระบบสืบตำแหน่งแทนได้สิ้นสุดตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นมา ชาวบาไฮจึงได้ปรึกษากันเพื่อจัดตั้ง หน่วยงานมาบริหารศาสนา ดังนั้นเมื่อ พ.ศ. 2506 จึงได้จัดตั้งธรรมสภายุติธรรมสากลขึ้น มีกรรมการ 6 คน ซึ่งเลือกตั้งมาจากกรรมการธรรมสภาแห่งชาติทั่วโลก ธรรมสภาแห่งชาติ ทั่วโลกก็มีกรรมการ 9 คน ที่เลือกตั้งมาจากกรรมการธรรมสภาบาไฮส่วนท้องถิ่นอีกทอดหนึ่ง ส่วนกรรมการธรรมสภาบาไฮส่วนท้องถิ่นก็เลือกมาจากสมาชิกในท้องถิ่นนั่นเอง

    เพราะฉะนั้น ธรรมสภาของศาสนาบาไฮจึงมี 3 ระดับ โดยมีธรรมสภายุติธรรมสากล เป็นสภาสูงสุด รองลงมาก็เป็นธรรมสภาแห่งชาติ และธรรมสภาบาไฮส่วนท้องถิ่นตามลำดับ ธรรมสภายุติธรรมสากลซึ่งเป็นสภาสูงสุด ตั้งอยู่ที่เมืองไฮฟา ประเทศอิสราเอล การที่เลือกเมืองนี้เป็นที่ตั้งธรรมสภายุติธรรมสากล ก็เพราะเป็นเมืองที่ฝังศพของพระบ๊อบและพระอับดุล-บาฮา ด้วยเหตุนี้เมืองไฮฟาจึงเป็นเมืองศูนย์กลางของศาสนาบาไฮ และเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวบาไฮ

    ศาสนาบาไฮแม้จะเป็นศาสนาใหม่ล่าสุด แต่ปัจจุบันได้แผ่ขยายไปอย่างกว้างไกลจนมีศาสนิกอยู่เกือบทั่วโลก และกำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว

 

 

2. ประวัติศาสดา

2.1 ประวัติก่อนการก่อตั้งศาสนา

    บาไฮเป็นศาสนาที่มีกำเนิดในประเทศอิหร่านเมื่อปี พ.ศ. 2387 เริ่มต้นจากชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ มีร์ซา อาลี มุฮัมมัด (Mirza Ali Muhammad) หรือที่เรียกกันว่า พระบ๊อบ (Bob) เป็นผู้เปิดทางและตระเตรียมประชาชนสำหรับการมาของพระบาฮาอุลลาห์ (Bahaullah) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาบาไฮ แต่อย่างไรก็ตามชาวบาไฮยังคงยอมรับว่าพระบ๊อบเป็นศาสดาองค์หนึ่งเช่นเดียวกับพระบาฮาอุลลาห์ และคัมภีร์บายัน (Bayan) ซึ่งเป็นการเปิดเผยศาสนาของพระบ๊อบก็เป็นคัมภีร์สำคัญของศาสนา อุปมาเหมือนกับประตูที่มนุษย์สามารถผ่านจากระบบโลกเก่าไปสู่ระบบโลกใหม่ ดังนั้นในการศึกษาศาสนาบาไฮ นักศึกษาจำเป็นต้องศึกษาชีวประวัติและภารกิจของพระบ๊อบก่อนเพื่อนำไปสู่ความเข้าใจในศาสนาบาไฮได้ดียิ่งขึ้น

    คำว่า  “บ๊อบ”Ž (Bob) ในภาษาอาหรับมีความหมายว่า ประตู ภารกิจของพระบ๊อบ คือ การเตรียมคนที่จะยอมรับศาสดาที่จะมาในอนาคต พระบ๊อบเกิดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2362 ที่เมืองชีราส (Shiraz) ซึ่งอยู่ทางใต้ของประเทศอิหร่าน ท่านเป็นผู้สืบสายโลหิตของศาสดามุฮัมมัด บิดาของท่านเป็นพ่อค้าที่มีชื่อเสียง แต่เสียชีวิตไปเมื่อพระบ๊อบยังเด็ก ท่านจึงอยู่ในความดูแลของลุงฝ่ายมารดาซึ่งก็ค้าขายเช่นกัน ท่านเป็นคนรูปงาม กิริยาดี มีความฉลาด มีภูมิธรรมสูง และเป็นผู้เคร่งครัดต่อบทบัญญัติต่างๆ ของศาสนาอิสลาม อายุ 22 ปี ได้สมรสและมีบุตรชาย แต่ทารกนั้นเสียชีวิตตั้งแต่เล็ก เมื่ออายุได้ 25 ปี ท่านประกาศว่า5) ”พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงไว้ซึ่งความเทิดทูนได้เลือกท่านให้เป็นพระทวารŽ”

    ในยุคของพระบ๊อบนี้เป็นช่วงเวลาที่อิหร่านกำลังเสื่อมโทรม สภาพรุ่งโรจน์ในอดีตได้ เสื่อมสูญ ศาสนาเต็มไปด้วยคนบ้าคลั่ง ประชาชนละเลยศาสนาแต่ลุ่มหลงในโชคลาง ความแตกแยกทางศาสนาได้เกิดขึ้น ทำให้ผู้นับถือต่างเกลียดชังกัน พระบ๊อบจึงถือว่าเป็นภาระหน้าที่ของท่านจะต้องสนองโองการของพระเจ้า ท่านได้กล่าวกำหนดเวลาที่จะต้องประกาศภารกิจคือ วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2387 (และในวันเดียวกันนี้เองเป็นวันเกิดของ ท่านอับดุลบาฮา) การประกาศภารกิจนี้เองที่ทำให้พระบ๊อบได้สาวกผู้ซื่อสัตย์ซึ่งเคยเป็นครูของท่านมาก่อน คือ เชก มะหะหมัด (หรืออีกนามหนึ่งว่า อะบิด) หะยีไซยิด อาลี ผู้เป็นลุง และ มุลลา ฮุสเซน ซึ่งเป็นสาวกคนแรก ชื่อเสียงของศาสดาหนุ่มเริ่มขจรขยายอย่างรวดเร็วตลอดดินแดนอิหร่าน ทำให้ท่านได้สาวก 18 คน ท่านเรียกบุคคลเหล่านี้ว่า พยัญชนะแห่งการมีชีวิต (Letter of Living) ได้แก่

1.    มุลลา ฮุสเซน โบซรูเยอี (บาบูลบ๊อบ)
2.    มูฮัมมัด ฮาซัน
3.    มูฮัมมัด บอเดอร์
4.    มุลลา อาลี ปัสทามี
5.    มุลลา โคดา บัคเซกูซานี
6.    มุลลา ฮาซันเน บาเจสทานี
7.    ซียิค ฮุสเซนเน ยาชดี
8.    มีร์ชา มูฮัมมัด โรเดคาเน ยาซดี
9.    ซาอิค เฮนดี
10.    มุลลาโมหมัด โคยี
11.    มุลลา จาลิล โอรูมี
12.    มุลลา อาหมัดเด เอ๊บดวาล มารอเกอี
13.    มุลลา บอเดอร์เร ทาบริซึ
14.    มุลลา ยูเซฟเฟ อาเดบีลี
15.    มีร์ซา ฮาดีเย คัสวินี
16.    มีร์ซา มูฮัมมัด อาลี คัสวินี
17. ทอเฮเรย์ (เป็นผู้หญิงคนเดียวที่เป็นสาวกโดยไม่เคยได้พบพระบ๊อบ แต่ใช้ การเขียนสาส์นติดต่อกัน)
18.    มูฮัมมัด อาลี บอร์โฟรูซี

   ท่านได้ส่งสานุศิษย์เหล่านี้ซึ่งมีทั้งหญิงและชายออกไปตามภาคต่างๆ ของอิหร่านและตุรกี เพื่อเผยแพร่ข่าวการมาของท่าน และตัวท่านเองได้ไปที่เมกกะเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2387 เพื่อนมัสการสถานที่นี้และประกาศภารกิจอย่างเปิดเผย ทำให้กลุ่มมุสลิมบางคนและบรรดานักปราชญ์ชีอะฮŒบางท่านประณามท่านอย่างรุนแรง ต่อมาท่านจึงถูกจำคุกและ ถูกลงโทษหลายครั้ง ในการประกาศศาสนาของพระบ๊อบ ทำให้สาวกหลายคนถูกฆ่าตายอย่างทารุณ แม้แต่ตัวท่านเองในภายหลังก็ถูกจับและถูกประหารชีวิตด้วยกระสุนปืนในขณะที่มีอายุ เพียง 31 ปี

   หลังจากพระบ๊อบถูกประหารชีวิตแล้ว ศพของท่านถูกโยนออกไปริมคูนอกกำแพงเมือง แต่พวกศาสนิกชนของพระบ๊อบหรือพวกบาบีส์ (Babis) ได้ลอบนำศพออกมาตอนเที่ยงคืนและนำไปซ่อนในอิหร่านหลายปี แล้วจึงนำมาที่ปาเลสไตน์ ปัจจุบันศพของพระบ๊อบบรรจุไว้ในสุสานบนไหล่เขาคาร์เมลไม่ไกลจากถ้ำเอลิยา ห่างประมาณสามสิบไมล์ สถานที่ที่พระบาฮา-อุลลาห์ทรงประทับอยู่หลายปีในระยะหลังของชีวิต และเป็นที่ที่ศพของพระบาฮาอุลลาห์ประดิษฐานอยู่ที่นั่น
 

2.2 ประวัติการก่อตั้งศาสนาและประวัติศาสดา

   มีร์ซา ฮุสเซน อาลี (Mirza Husain Ali) ผู้ซึ่งต่อมาได้ใช้สมญานามว่า บาฮาอุลลาห์ แปลว่า พระเกียรติคุณของพระเจ้า เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2360 ณ กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เป็นบุตรชายคนแรกของเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ตระกูลของท่านมั่งคั่งและมีชื่อเสียง แต่ท่านเองไม่เคยเข้าศึกษาในโรงเรียนเลย แม้แต่ศึกษาจากทางบ้านก็ศึกษาเพียงเล็กน้อย แต่กระนั้นในวัยเด็กท่านเคยแสดงความฉลาดรอบรู้ให้ผู้อื่นได้เห็นหลายครั้ง บิดาของท่านสิ้นชีวิตเมื่อท่านอายุ 22 ปี ท่านต้องเลี้ยงดูน้องชายหญิงหลายคน ตลอดจนต้องปกครองกองมรดกอันมหาศาลของตระกูล จนกระทั่งได้พบกับพระบ๊อบและสนับสนุนศาสนาของ พระบ๊อบอย่างกล้าหาญจนได้รับการทรมานเพราะจองจำและถูกจับขังคุกพันธนาการด้วย โซ่ตรวนอย่างโหดร้าย ทั้งยังถูกยึดทรัพย์สินและเนรเทศไปอยู่ที่ประเทศอิรัก

   ตลอดเวลาแห่งการทุกข์ทรมานนั้น ท่านได้รับกำลังใจจากครอบครัว ได้แก่ อาซียี่ท์ คาท์บูม (ใบไม้ที่ประเสริฐสุด) ภรรยาผู้มีความอดทนและอุทิศชีวิตเพื่อสามีเป็นเวลาตลอดเกือบ 40 ปี พระอับดุลบาฮา (กิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด) บุตรชายผู้ถูกกำหนดให้เป็นศูนย์กลางแห่ง พระกติกาสืบต่อจากท่านบาฮียีท์ คาท์บูม (ใบไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด) บุตรสาวผู้มอบชีวิตแก่ศาสนาจนกระทั่งอายุ 86 ปี เธอจึงได้รับการยกฐานะให้เป็นสตรีที่มีฐานะสูงสุดในเพศของเธอในศาสนาบาไฮ เธอยอมเสียสละความคิดที่จะแต่งงานเพื่อที่จะได้รับใช้และบรรเทา ความยากลำบากของบิดาและครอบครัวของเธอได้อย่างอิสระ เมื่อพระอับดุลบาฮาผู้เป็นพี่ชายมรณภาพแล้ว เธอคือผู้คุมบังเหียนของศาสนาในช่วงระยะสั้นๆ และเป็นผู้รวบรวมบาไฮ ศาสนิกชนมารวมกัน มีโชกิ เอฟเฟนดิ มีร์ซา มูซา น้องชายผู้ซื่อสัตย์ และมีความสามารถที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหลายของพระบาฮาอุลลาห์ มีร์ซา โมหัมหมัด คูลี น้องชายต่างมารดาของพระบาฮาอุลลาห์ที่อายุน้อยที่สุด แต่แก่กว่าพระอับดุลบาฮาเพียง 7 ปี ท่านเป็นผู้ซื่อสัตย์ต่อศาสนามาตลอดแม้ว่าพี่น้องของท่านหลายคนได้ทรยศต่อศาสนา ส่วนมีร์ซา มีท์ดี (กิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด) น้องชายของพระอับดุลบาฮาซึ่งยังเล็กมากจึงถูกทิ้งไว้กับญาติพี่น้อง แต่ภายหลังได้เดินทางไปร่วมกับพระบาฮาอุลลาห์

   การเดินทางตลอด 3 เดือนจากเตหะรานไปแบกแดดซึ่งอยู่ในอิรัก สร้างความทุกข์ทรมานแก่คณะผู้ถูกเนรเทศ เพราะต้องเดินทางผ่านที่ราบสูงอันหนาวเย็นในฤดูหนาวโดยไม่มีอุปกรณ์และสัมภาระในการเดินทาง และเมื่อมาถึงแบกแดดก็ยังได้รับการทรมานเพราะขาดการพักผ่อนและขาดอาหาร แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ทำให้คณะผู้เนรเทศเร่าร้อนแต่อย่างใด โดยเฉพาะพระบาฮาอุลลาห์นั้นไม่ได้ทุกข์ร้อนใจเลย ขณะนี้เองชื่อเสียงของท่านได้ขจรขจายมากขึ้น มีผู้สนใจหลั่งไหลมายังแบกแดดเพื่อฟังคำสอนไม่ว่าจะเป็นผู้นับถือศาสนายิว คริสต์ หรือ โซโรอัสเตอร์ บุคคลเหล่านี้ต่างต้องการที่จะสนทนาธรรมและถกปัญหาต่างๆ ซึ่งท่านสามารถตอบโต้ได้ดีจนเป็นที่น่าอัศจรรย์ในความรอบรู้ของท่าน ทำให้มีผู้เลื่อมใสมากจนผู้สูญเสีย ผลประโยชน์หลายคนพยายามคิดกำจัดด้วยการใส่ร้ายว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยร้ายแรงต่อศาสนาอิสลาม

    ต่อมารัฐบาลตุรกีได้ออกคำสั่งเรียกพระบาฮาอุลลาห์ไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล ก่อนที่ท่านจะออกเดินทางไกลพร้อมกับคณะ ท่านได้ไปตั้งกระโจมพำนักในอุทยานของ นาจิบ ปาชา และประกาศข่าวอันน่ายินดีต่อสาวกหลายคนว่า ท่านคือศาสดาที่พระบ๊อบได้เคยกล่าวไว้ว่าจะมาในอนาคตตามพันธสัญญา อาจกล่าวได้ว่านี่คือการประกาศความเป็นศาสนาที่แยกออกมาจากศาสนาพระบ๊อบ และอุทยานแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า อุทยานริสวาน (Riswan) แปลว่า สวรรค์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของบาไฮศาสนิกชน เพราะเป็นอุทยานที่มีการประกาศข่าวดีของศาสนา และในช่วงเวลาที่มีการประกาศข่าวดีระหว่างวันที่ 21 เมษายน ถึง วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2406 ต่อมาได้กลายเป็นช่วงเวลาที่จัดให้มีพิธีแห่งการรำลึกที่เรียกว่า พิธีริสวาน ซึ่งจะฉลองเป็นประจำทุกปี

  เมื่อพระบาฮาอุลลาห์เดินทางมายังกรุงคอนสแตนติโนเปิลแล้ว ท่านถูกขังคุกอยู่ระยะเวลาหนึ่ง และถูกเนรเทศไปยังที่อื่นๆ อีก จนกระทั่งครั้งหลังสุดถูกจำคุกที่อัคคา (Akka) ในประเทศอิสราเอลอันเป็นสถานที่ขังอาชญากรชั้นเลวที่ถูกส่งมาจากทั่วทุกภาคของอาณาจักรตุรกี

   อย่างไรก็ตามในบั้นปลายชีวิตของศาสดาท่านนี้ ท่านได้พักที่บาห์จี ผู้เลื่อมใสศรัทธาได้ช่วยกันสร้างสวนดอกไม้และให้ชื่อว่า ริสวาน ซึ่งท่านได้ใช้เวลาหลายวันในการ พักผ่อน ณ ที่แห่งนี้ ชีวิตในวัยชราของท่านดำเนินไปอย่างง่ายๆ และสงบสุข ท่านสิ้นชีพเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2435 รวมอายุ 75 ปี ศพของท่านฝังที่บาห์จี ตั้งแต่นั้นมาบาไฮได้ซื้อสถานที่แห่งนี้และบริเวณรอบๆ ตกแต่งอย่างงดงาม และเป็นสถูปศักดิ์สิทธิ์ที่สุดสำหรับบาไฮ ชาวบาไฮผู้แสวงบุญจากทั่วโลกจะเดินทางมาเยือนสถูปนี้

   หลังจากสิ้นชีวิต ลูกชายคนแรกที่ชื่อ อับบาส เอฟเฟนดิ (Abbas Effendi) หรือที่รู้จักกันในนามอับดุลบาฮา (Abdul-Baha) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนของบิดามีหน้าที่อธิบายและชี้แจงคำสั่งสอน ซึ่งทุกคนที่นับถือศาสนาบาไฮจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ท่านจึงได้รับการยกย่องให้เป็นศูนย์กลางแห่งพระปริญญา

   อับดุลบาฮาเกิดที่กรุงเตหะราน เมืองหลวงของประเทศอิหร่าน ในวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2387 เป็นบุตรชายคนแรกของพระบาฮาอุลลาห์ เป็นผู้มีความกตัญญู มีจิตใจเมตตา และมีความฉลาดเป็นอย่างมาก สามารถอธิบายธรรมะได้อย่างแตกฉานหลายครั้ง ท่านได้ช่วยพระบาฮาอุลลาห์ในการตอบปัญหายุ่งยากใจของแขกที่มาเยือน และชอบถกเถียงปัญหาศาสนากับพวกนักปราชญ์ในสุเหร่าอิสลามจนเป็นที่ยกย่องของบุคคลทั้งหลายและเรียกท่านว่า ท่านอาจารย์ ทั้งที่ตัวท่านไม่เคยเข้าศึกษาในโรงเรียนมาก่อน

   อับดุลบาฮาแต่งงานกับมนีเรห์ คาโนม มีบุตรหลายคน แต่มีบุตรสาวเพียง 4 คนเท่านั้นที่มีชีวิตทนต่อการจำคุกอันยาวนานและทุกข์ยากได้ ชีวิตของอับดุลบาฮาได้รับความยากลำบากไม่น้อยกว่าบิดาของท่าน เพราะความริษยาของผู้ที่ต้องการทำลายท่าน ทำให้ท่านถูกรัฐบาลตุรกีจับกุมในข้อหาปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลตุรกี

  การถูกจับขังคุกนี้ไม่ได้ทำให้ท่านทุกข์ร้อนแต่อย่างใด กลับใช้เวลาในคุกตอบจดหมายถึงผู้เลื่อมใสศรัทธาจากทั่วโลก และใช้เวลาเยี่ยมเยือนผู้เจ็บป่วยตามบ้านของเขา เหล่านั้น อันเป็นย่านที่มีคนจนมากที่สุดในเมืองอัคคา ในที่สุดท่านได้รับอิสรภาพเพราะพวกปฏิวัติรัฐบาลได้รับชัยชนะจึงได้ปลดปล่อยนักโทษศาสนาทั้งหมดให้เป็นอิสระ ท่านได้มีโอกาสไปเผยแพร่ศาสนาในต่างประเทศ เริ่มจากประเทศอังกฤษ ท่านได้พำนักที่ลอนดอนและแสดงปาฐกถา อีกทั้งพบปะสนทนากับผู้สนใจที่มาติดต่อทุกวัน จากนั้นได้เดินทางไปทั่วสหรัฐอเมริกาจากฝั่งแอตแลนติกจดฝั่งแปซิฟิก และเดินทางต่อไปยังยุโรปและอียิปต์ กลับถึงเมืองไฮฟา (Haifa) ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2456

    ตลอดช่วงเวลาที่ท่านเป็นผู้นำทางศาสนานั้น ความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาบาไฮรุ่งโรจน์เป็นอย่างมาก มีการสร้างวัดบาไฮเป็นแห่งแรกของโลกที่เมืองอิสคาแบด มีการก่อตั้งโรงเรียน วิทยาลัย และธรรมสภา นอกจากนี้ยังมีการก่อตั้งชุมชนบาไฮเกิดขึ้นในที่ต่างๆ เช่น ตุรกี อิหร่าน อียิปต์ อินเดีย พม่า ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และเยอรมนี เป็นต้น รวมทั้งหมดประมาณ 35 ประเทศ ในช่วงบั้นปลายชีวิต ท่านได้ปฏิบัติกรณียกิจประจำวันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งในวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2464 ประมาณตีหนึ่งครึ่ง ก็ล่วงลับไปอย่างสงบบนเตียงนอนโดยมีบุตรสาวทั้งสองเฝ้าอยู่ข้างๆ ศพของท่านฝังอยู่ข้างขวาถัดจากศพของพระบ๊อบที่อยู่บนภูเขาคาร์เมลในอิสราเอล

    เมื่อท่านสิ้นไปแล้ว หลานชายของท่านชื่อ โชกิ เอฟเฟนดิ ( Shauqi Effendi) ได้รับการยกย่องให้เป็นศาสนภิบาลของศาสนาบาไฮ และเป็นผู้ตีความหมายธรรมลิขิตของ พระบาฮาอุลลาห์ ท่านเป็นคนหนุ่มที่มีการศึกษาดี ในขณะที่ได้ข่าวการมรณภาพของปู่ที่ท่านรัก ท่านอายุเพียง 24 ปี กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ข่าวนี้ทำให้ท่านล้มป่วยด้วยความเศร้าโศกจึงรีบกลับบ้านที่เมืองไฮฟาในอิสราเอล และพบว่าปู่ของท่านได้มอบความ รับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ในการเป็นศาสนภิบาลของศาสนาบาไฮให้แก่ท่าน

   โชกิ เอฟเฟนดิ เป็นหลานที่ปู่รักและมอบความหวังว่าจะช่วยทำงานให้ศาสนาบาไฮได้เป็นอย่างดี เพราะท่านเป็นหน่อพฤกษ์อันศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากท่านมีเลือดเนื้อเชื้อไขที่มาจากคน 2 ตระกูลที่เป็นหลักของศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า มารดาของท่านคือ ซิอาอีเยะห์ คานุบ ธิดาคนโตของอับดุลบาฮา บิดาของโชกิ เอฟเฟนดิ คือ มิร์ซา ฮอดิ ญาติผู้หนึ่งของพระบ๊อบ ท่านจึงเป็นกิ่งก้านซึ่งได้เลือกแล้วให้เป็นผู้พิทักษ์ศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า และต่อจากโชกิ เอฟเฟนดิ ภาระนี้จะต้องตกเป็นภาระของบุตรคนแรกที่สืบเชื้อสายโดยตรง แต่เป็นเรื่องที่ น่าเสียดายมาก เมื่อท่านถึงแก่กรรมอย่างกะทันหัน เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500 ที่กรุงลอนดอน ท่านไม่ได้แต่งตั้งผู้ใดให้สืบทอดตำแหน่งนี้ และชีวิตสมรสของท่านไม่ได้สร้างเลือดเนื้อเชื้อไขให้เป็นสายใยของศาสนาต่อไป ทั้งที่แผนงานต่างๆ ที่ท่านวางไว้นั้นกำลังประสบความสำเร็จ จึงเป็นหน้าที่ของคณะบุคคลที่เรียกว่า พระหัตถ์ศาสนา ซึ่งท่านได้แต่งตั้งขึ้นมาไว้ช่วยงานการปกป้องและเผยแพร่ศาสนา และเป็นการแต่งตั้งตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮา

 

3. คัมภีร์ในศาสนา

   คัมภีร์ศาสนาบาไฮมีหลายเล่ม เพราะถือธรรมนิพนธ์ของศาสดาบาไฮทุกองค์เป็นตัวคัมภีร์ของศาสนาบาไฮ แต่ที่ให้ความสำคัญมาก ก็คือธรรมนิพนธ์ของพระบาฮาอุลลาห์6) ได้แก่

   1.    คัมภีร์ (กิตาบี) อัคคัส ว่าด้วยธรรมวินัยต่างๆ เช่น บาไฮศาสนิกชนต้องสวดมนต์ ต้องถือศีลอด 19 วัน ต้องร่วมงานฉลองบุญทุกต้นเดือน ต้องรำลึกถึงวันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา ต้องดำเนินชีวิตอย่างสุขสงบและสามัคคี ต้องให้การศึกษาแก่บุตรหลาน และต้องเว้นอบายมุข เป็นต้น ชาวบาไฮถือว่า คัมภีร์อัคคัส เป็นคัมภีร์สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เพราะนอกจากเป็นนิพนธ์ของพระบาฮาอุลลาห์แล้ว ท่านยังได้ประทับตราประจำตัวของท่านไว้ด้วย

   2.    คัมภีร์วจนะที่ซ่อนเร้น (The Hiden Words) ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และความจริงพื้นฐานของศาสนาต่างๆ

   3.    คัมภีร์หุบผาทั้ง 7 และทั้ง 4 (The Seven and Four Valleys) ว่าด้วยวิวัฒนาการของมนุษย์ผู้แสวงหาจะต้องพบอะไรบ้าง

 4.  คัมภีร์อิกัน (Igan) คัมภีร์แห่งความมั่นใจ คัมภีร์นี้ว่าด้วยการอธิบายคำสอนที่ยากและซับซ้อนมากในปรัชญาของคัมภีร์เก่าๆ และว่าด้วยพระศาสดาที่พระเจ้าทรงส่งลงมายังโลกมนุษย์เป็นคราวๆ อีกด้วย

 

4. หลักคำสอนที่สำคัญ

   ศาสนาบาไฮเป็นศาสนาสากลที่มีความเป็นอิสระ และมีศาสนิกชนอยู่เกือบทุกประเทศ ศาสนิกชนบาไฮเชื่อว่าศาสนาของพวกเขาไม่ได้เป็นลัทธิหรือนิกายของศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม หรือศาสนาอื่นๆ และมิได้เกิดขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากพระคัมภีร์ของศาสนาใด แต่ศาสนทูตของพวกเขาได้รับแรงดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าให้ลิขิตธรรมขึ้นมา คำสอนในศาสนาบาไฮ จึงเน้นความสามัคคีในระหว่างศาสนา เพราะพวกเขาเชื่อกันว่าพระวิญญาณอันบริสุทธิ์ของพระองค์จะหวนกลับมาในแต่ละยุคในกายของศาสดา ทั้งนี้เพื่อให้มนุษย์ทุกคนได้ทราบ พระประสงค์ของพระองค์ ศาสดาแต่ละองค์จึงอธิบายกฎและคำสอนต่างๆ ที่เข้ากับยุคสมัย และจะมีการทำนายการมาของศาสดาที่จะมาสถาปนาอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าในโลกนี้ ในที่สุดเพื่อจะนำมนุษย์ไปสู่ยุคทองแห่งสันติภาพนั้น หลักคำสอนเบื้องต้นที่สำคัญของบาไฮมี 3 ประการ คือ

4.1 ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพระผู้เป็นเจ้า7)

  ศาสนาบาไฮเชื่อว่า พระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น แต่ที่ชื่อเรียกหลากหลายออกไปเพราะขึ้นอยู่กับสภาพท้องถิ่นของแต่ละชาติแต่ละภาษา แต่แท้จริงแล้วพระเจ้าคือ สัจธรรมที่เที่ยงแท้ เป็นแหล่งวิทยาการทั้งปวง มีอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ครอบจักรวาล และเป็นอยู่ตลอดกาล พระองค์ทรงเป็นนามธรรมที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยภาษาของวัตถุ เราจึงไม่สามารถเห็น หรือเข้าใจพระองค์ได้นอกจากอาศัยศาสดาต่างๆ ซึ่งเป็นผู้แทนของพระองค์ที่พระองค์ได้เลือกแล้ว

4.2 ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของศาสนาทั้งปวง8)

   ศาสนาต่างๆ มาจากที่มาเดียวกันคือ พระเจ้า ดังนั้นคำสอนของศาสดาทั้งหลาย จึงมาจากแหล่งความรู้อันศักดิ์สิทธ์ที่เดียวกัน และมีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกันคือ สอนให้มนุษย์เป็นคนดีและมีความรักในกันและกัน

4.3 ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติ9)

   แม้ว่ามนุษย์จะมีความแตกต่างในด้านเผ่าพันธุ์ ชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี แต่ทั้งหมดนี้มาจากครอบครัวเดียวกัน จึงเปรียบเทียบเหมือนใบไม้เดียวกัน

      คำสอนทั้ง 3 ข้อนี้เป็นพื้นฐานความเข้าใจที่จะนำไปสู่คำสอนทั่วๆ ไป10) ซึ่งสรุปได้ดังนี้

   1.    การแสวงหาความจริงอย่างอิสระ คือ การแสวงหาความจริงด้วยตนเอง ไม่ใช่ยอมรับตามครอบครัวหรือเพื่อน

   2.    ขจัดอคติทุกชนิด อคติในที่นี้ได้แก่ อคติทางด้านเศรษฐกิจ การศึกษา สีผิว เชื้อชาติ และศาสนา เพราะสิ่งเหล่านี้ทำลายล้างความเป็นปึกแผ่นของมนุษย์

   3.    การให้ความเสมอภาค บุรุษและสตรีต้องมีความเท่าเทียมกัน เฉกเช่นปีกสองข้างของนกที่จะต้องช่วยกันกระพือเพื่อเหินขึ้นสู่ท้องฟ้า

  4.    การศึกษาสากล บาไฮเชื่อว่าการศึกษาที่สำคัญ คือ การศึกษาเพื่อให้รักพระผู้เป็นเจ้า และจะต้องมีเจตคติในการรับใช้มนุษยชาติ การศึกษาในเรื่องเหล่านี้เป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต และเป็นสิ่งสำคัญกว่าการจดจำข้อมูล เพราะถ้าการศึกษาเป็นไปตามแนวทางที่ถูกต้อง มนุษยชาติจะเปลี่ยนแปลง และโลกนี้จะเป็นสวรรค์บนดินโดยไม่ต้องรอต่อเมื่อตายไปแล้ว

   5.    การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิธีทางศีลธรรม คือ การตกลงปรึกษาหารือกัน เป็นหุ้นส่วนและแบ่งปันผลกำไรอย่างยุติธรรม การจัดเก็บภาษีจึงควรเป็นด้วยความสมัครใจไม่ใช่การบังคับ โดยแต่ละคนให้ส่วนหนึ่งจากรายได้ของตนหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว

  6.    ศาสนาต้องสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ หากศาสนาอยู่เหนือวิทยาศาสตร์จะทำให้เกิดความบ้าคลั่งและความงมงายทางศาสนา และถ้าวิทยาศาสตร์ไม่ได้รับการนำทางด้วย ศีลธรรมทางศาสนา วิทยาศาสตร์จะเป็นสิ่งทำลายล้าง

   7.    การมีสันติภาพสากลและรัฐบาลแห่งโลก พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานโลกให้แก่มนุษย์แต่มนุษย์เป็นผู้แบ่งแยกโลกออกเป็นเขตแดน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่จะสถาปนาสหพันธ์รัฐแห่งโลกเพื่อบริหารในทุกดินแดนของโลกอย่างยุติธรรมภายใต้รัฐบาลเดียวกัน แต่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่จะต้องปกป้องและอภิรักษ์ไว้ เมื่อนั้นมนุษย์จะเห็นว่าโลกของเราเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน มีความสมานความสามัคคีกัน

  8.    ขจัดความมั่นคงและความยากจนที่มากเกินไป การมีรัฐบาลแห่งโลกจะช่วยใน การบริหารทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน และช่วยขจัดความเกินล้นทางเศรษฐกิจ คือ ความมั่นคงและความขัดสน แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าคนทำงานหนักจะมิได้รับรางวัลสำหรับงานของตน เพราะคนทุกคนจะต้องทำงานให้สุดความสามารถของตนอยู่เสมอ จึงจะได้ชื่อว่าเป็น ผู้ใช้พรสวรรค์ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้ และเป็นผู้ได้รับการสรรเสริญจากพระองค์

   9.    การมีภาษาสากล เมื่อทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียวกันควรมีภาษาใดภาษาหนึ่งใช้เป็นภาษาสากลเพื่อว่าทุกๆ คนจะได้เข้าใจกันและกัน และหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่เกิดจากการสื่อสารไม่ได้เต็มที่

  10.    การมีความจงรักภักดีต่อรัฐบาล การสร้างรัฐบาลแห่งโลกนั้นเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าหาใช่ความประสงค์และแรงจูงใจทางการเมืองของบาไฮ เพราะบาไฮมีข้อห้ามที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือการต่อต้านศาสนานั้น อีกทั้งชาวบาไฮไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองหรือองค์กรลับใดๆ แต่ชาวบาไฮจะต้องรักชาติ ส่งเสริมประโยชน์ให้แก่ประเทศของตนโดยไม่เห็นแก่ตัวและมีความเชื่อฟังในรัฐบาล โดยมียกเว้นเพียงข้อเดียวเท่านั้น คือ ถ้ารัฐบาลนั้นออกคำสั่งให้บาไฮเลิกนับถือศาสนาของตน ชาวบาไฮไม่จำเป็นต้องเชื่อฟัง คำสั่งแม้จะถูกลงโทษหรือถูกฆ่าก็ตาม

   11.    การงดเว้นจากแอลกอฮอล์และยาเสพติด ศาสนาบาไฮห้ามศาสนิกชนทุกคนดื่มเแอลกอฮอล์และเสพยาเสพติด เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีผลต่อการทำลายจิตใจและความเป็นมนุษย์

   12.    ห้ามการนินทา การนินทาลับหลังเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยก ฉะนั้นจึงเป็น ข้อห้ามสำหรับบาไฮ

   นอกจากนี้ยังมีคำสอนอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิตหลังความตาย นรกและสวรรค์ บาไฮเชื่อในความมีอยู่ของจิตวิญญาณมนุษย์ว่า มีความคงทนถาวรตราบเท่าที่อำนาจของพระเจ้ายังมีอยู่ และเป็นสิ่งที่ลึกลับยากแก่การที่จะเข้าใจ เป็นสิ่งแรกในสภาพสิ่งทั้งปวงที่ประกาศ ความสมบูรณ์เลิศของพระผู้สร้าง หากวิญญาณซื่อสัตย์ต่อพระผู้เป็นเจ้า วิญญาณนั้นจะสะท้อนความสว่างของพระองค์และกลับไปหาพระองค์ในที่สุด แต่ถ้าวิญญาณไม่จงรักภักดีต่อ พระผู้สร้างของตนเองแล้ว วิญญาณนั้นจะกลายเป็นเหยื่อของอัตตาและกิเลส และจะต้องหมักจม อยู่ในนั้น วิญญาณจะปฏิบัติในโลกกายภาพนี้ด้วยความช่วยเหลือของร่างกาย เมื่อวิญญาณจากร่างกายไปแล้ว วิญญาณจะปฏิบัติการได้โดยไม่ต้องใช้สื่อกลาง สามารถเดินทางผ่านไปในอีกหลายภพ ซึ่งเป็นภพแห่งวิญญาณ ดังนั้นเมื่อมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ วิญญาณจำเป็นต้องพัฒนาบรรลุคุณธรรมต่างๆ เช่น ความรัก ความเห็นอกเห็นใจ ความเอื้อเฟื้อ ฯลฯ หากไม่ได้บรรลุคุณธรรมเหล่านี้ วิญญาณจะต้องพิการในภายหลังที่ร่างกายตายไป และเข้าไปหาพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างเชื่องช้า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความปรานีของพระองค์

    สำหรับความคิดในเรื่องสวรรค์และนรก11) ชาวบาไฮเชื่อว่าเป็นสภาวะมากกว่าเป็นสถานที่ และเราสามารถอยู่ในสวรรค์หรือนรกได้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า สวรรค์คือภาวะอันประเสริฐที่ได้ใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้าและบรรลุโดยการเชื่อฟังพระประสงค์ของพระองค์ นรกคือการอยู่ห่างไกลจากพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งผลที่ตามมาคือความทุกข์และสิ้นหวัง

4.4 พระเจ้าสูงสุดของศาสนาบาไฮ

    ศาสนาบาไฮเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้ามีเพียงองค์เดียวแต่รู้จักกันตามชื่อที่เรียกต่างๆ กัน แต่ทั้งหมดนี้หมายถึงพระผู้ทรงมีอำนาจสูงสุดนั้น พระผู้ทรงมหิทธานุภาพ พระผู้สร้างสรรพสิ่ง และพระผู้ดำรงอยู่นิรันดร์ ไม่มีใครที่เคยเห็นพระองค์แม้นว่ามีความนึกคิดเกี่ยวกับพระองค์โดยอาศัยการสังเกตความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา พระองค์ทรงอยู่เหนือประสบการณ์ของมนุษย์ และอยู่เหนือทรรศนะของมนุษย์ แต่เพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจจึงอ้างถึงพระองค์ด้วยพระนามต่างๆ

   จากธรรมนิพนธ์บาไฮ12)ได้บอกไว้ว่า ”มนุษย์ไม่สามารถหยั่งรู้สาระของพระผู้เป็นเจ้าได้ เพราะพระองค์ทรงเร้นลับอยู่ในสาระอนันต์ของพระองค์ และสภาวะของพระองค์จะคงซ่อนเร้นจากสายตาของมนุษย์ชั่วนิรันดร์Ž”

   แม้ว่าพระองค์จะมีอยู่ อย่างยากที่มนุษย์จะเข้าใจ แต่พระองค์ก็ทรงส่งครูมาบอกเราว่า พระผู้เป็นเจ้าคืออะไร ครูเหล่านี้ถูกเรียกหลายอย่าง เช่น พระอวตาร ศาสดา และพระผู้ แสดงธรรมของพระผู้เป็นเจ้านั้น ครูเหล่านี้เป็นมนุษย์พิเศษที่ถูกเลือกโดยพระผู้เป็นเจ้า เพื่อชี้แนวทางในการดำเนินชีวิต และนำทางมนุษยชาติตามแผนงานของพระองค์ ครูเหล่านี้มีธรรมชาติ 2 ลักษณะในตัว คือ เป็นมนุษย์เหมือนเรา แต่มีวิญญาณที่อิสระเหนือขีดจำกัดของร่างกาย อำนาจของพระเป็นเจ้าปฏิบัติการผ่านทางครูหรือศาสดาเหล่านี้ ดังนั้นท่านเหล่านี้จึงมีชัยเหนือหัวใจของมนุษย์ในที่สุด

   ครูหรือศาสดาแต่ละท่านจะสะท้อนคุณลักษณะ และคุณสมบัติของพระผู้เป็นเจ้า เช่น ความรัก ความเมตตาปรานี ความเอื้อเฟื้อ ความอดทน และความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นต้น ดังนั้นทางเดียวที่เราจะรู้จักพระเป็นเจ้าได้ คือการมองไปยังครูหรือศาสดาทั้งหลายเหล่านี้และปฏิบัติตามท่าน เมื่อผู้ใดสวดอธิษฐาน ทำสมาธิ เพื่อจะบรรลุคุณธรรมและคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า เราอาจกล่าวได้ว่า ผู้นั้นกำลังพัฒนาตนเพื่อที่เป็นรูปจำลองของพระผู้เป็นเจ้า

 

5. หลักความเชื่อและจุดหมายสูงสุด

   ศาสนาบาไฮสอนว่า ศาสนาบาไฮเป็นศาสนาที่แท้จริงของมนุษยชาติ มีเพียงศาสนาเดียว เป็นศาสนาสากล ส่วนศาสนาอื่นๆ ล้วนแต่มาจากศาสนาบาไฮทั้งสิ้น ศาสนาบาไฮเชื่อว่า ศาสนาต่างๆ มาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน แต่คนอาจเรียกพระองค์ด้วยพระนามต่างๆ กันไป ส่วนศาสดาของศาสนาต่างๆ ก็คือตัวแทนของพระองค์ที่ทรงส่งลงมา เพื่อเปิดเผยสัจธรรมของพระองค์แก่มนุษยชาติ และที่ต้องมีศาสดามากมายในยุคสมัยต่างๆ ก็เพราะสัจธรรมมีมาก หากพระเจ้าจะทรงให้ใครมาเปิดเผยความจริงทั้งหมดทีเดียว ก็เกินวิสัยที่มนุษย์จะรับได้ จึงต้องใช้วิธีแบบค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นพระเจ้าจึงส่งศาสดามาตามยุคสมัยต่างๆ เพื่อนำสัจธรรมที่เหมาะสมกับยุคสมัยนั้นมาให้มนุษย์ปฏิบัติ ดุจเดียวกับการเจริญเติบโตของคนเป็นวัยต่างๆ จากวัยทารก เป็นวัยเด็ก วัยหนุ่มสาว วัยกลางคน และวัยชรา ซึ่งแต่ละวัยก็มีวุฒิภาวะต่างกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องมีครูมาสอนตามสถานศึกษาในระดับต่างๆ ตั้งแต่โรงเรียนอนุบาล ประถม มัธยม วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย

   ดังนั้น ศาสดาแต่ละองค์อาจมีคำสอนแตกต่างบ้าง มีวิธีการสอนแตกต่างกันบ้าง และเรียกศาสนาแตกต่างกัน ก็เพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัยนั้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ศาสดาแต่ละองค์จึงไม่ปฏิเสธคำสอนของศาสดาองค์ก่อนๆ อีกทั้งได้เพิ่มเติมคำสอนใหม่ๆ เข้าไปด้วย

  ศาสนาบาไฮเชื่อว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน เพราะมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน เพราะฉะนั้นแต่ละคนจึงมีศักดิ์ศรีเท่ากัน และด้วยความเชื่อดังที่กล่าวมา จึงไม่ควรมีปัญหาทะเลาะวิวาทกันในเรื่องพระเจ้า ศาสนา และชั้นวรรณะ เพราะทุกอย่างมาจากแหล่งเดียวกัน พระบาฮาอุลลาห์กล่าวว่า ”ศาสนาที่แท้จริงทั้งหลายมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน พระองค์ตรัสสัจธรรมผ่านศาสดาในยุคต่างๆ สัจธรรมได้วิวัฒนาการต่อเนื่องกัน และเป็นอมตธรรมŽ”

   ศาสนาบาไฮเชื่อว่า เมื่อคนตายแล้ว วิญญาณหาได้ตายตามร่างกายไม่ วิญญาณเป็นอมตะและจะรอการพิพากษาในวันสิ้นโลก จากนั้นก็จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกตามกรรมที่ทำไว้ต่อไป ผู้ที่ขึ้นสวรรค์ก็จะได้ไปอยู่กับพระเจ้าชั่วนิรันดร ไม่ต้องกลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีก ดุจนกหลุดออกจากกรงขังสู่โลกกว้างแล้วก็จะไม่ปรารถนากลับสู่กรงขังอีกฉันนั้น เพราะฉะนั้นการตายของร่างกายจึงเป็นการเกิดของวิญญาณในอาณาจักรพระเจ้า

    เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ บาไฮศาสนิกชนเชื่อว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากก้อนดิน ทั้งกำหนดชะตาลิขิตไว้ด้วย แต่พระองค์ก็ทรงสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาด้วย เช่น พระเจ้าทรงสร้างหัวนมพร้อมทั้งน้ำนมให้หลั่งออกมาจากถันทั้ง 2 ของมารดา ทรงสร้างมารดาให้มีตาเพื่อคอยดูแลลูก ทรงสร้างหัวใจให้แก่มารดา เพื่อจะได้รักและเมตตาต่อลูกของนาง นอกจากนี้พระเจ้ายังได้ทรงสร้างสิ่งแวดล้อมต่างๆ สำหรับสอนมนุษย์ให้สำนึกถึงความดีของพระเจ้า จะได้ทำความดีแล้วจะได้กลับไปหาพระองค์อีก

 

6. สถานที่ทำพิธีกรรม

   ศาสนาบาไฮไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยอาคารพิเศษสำหรับบูชา เพราะพระผู้เป็นเจ้านั้นทรงสถิตในทุกๆ ที่ที่มีการกล่าวถึงพระองค์และสรรเสริญพระองค์ บาไฮจึงไม่มีนักบวชที่จะทำพิธีกรรม แต่ทุกคนสามารถทำหน้าที่บูชาพระผู้เป็นเจ้าได้

  ตามปกติแล้วศาสนิกชนบาไฮจะพบปะสังสรรค์กันในบ้านหรือที่ศูนย์บาไฮ นอกจากนี้ยังมีโบสถ์หรือที่เรียกว่า มาชริกุล อัสคาร์ ซี่งมีความหมายว่า สถานะแห่งอรุณของการสรรเสริญพระเจ้า มีลักษณะคือ จะต้องมีด้าน 9 ด้าน มีประตู 9 ประตู มีน้ำพุ 9 สระ มี ทางเดินเข้า 9 ทาง มีประตูใหญ่ 9 ด้าน มีเสาในโบสถ์ 9 ต้น มีสวนดอกไม้ 9 สวนรอบนอกตัวโบสถ์ ในตัวโบสถ์มีพื้นชั้นล่าง และมีระเบียงชั้นบน หลังคาสร้างเป็นรูปโดม และการที่บาไฮนิยมนำเลข 9 เข้ามาสัมพันธ์กับศาสนาอาจเป็นเพราะพยัญชนะในภาษาอาหรับมีค่าเป็นตัวเลข และค่าตัวเลขของคำว่า บาฮา เท่ากับ ”9”Ž เลข 9 จึงมีความสำคัญสำหรับศาสนาบาไฮ

   นอกจากนี้ ยังมีส่วนประกอบที่สำคัญซึ่งถือเป็นรากฐานขั้นต้นของมาชริกุล อัสคาร์ คือมีโรงเรียนสำหรับเด็กกำพร้า มีโรงพยาบาลและสถานให้ยาแก่คนยากจน มีสถานที่อาศัยสำหรับคนพิการและคนที่ไม่สามารถทำงานได้ มีสถาบันวิทยาศาสตร์ขั้นสูง และมีบ้านพักสำหรับผู้เดินทาง มาชริกุล อัสคาร์ตามแบบนี้จะต้องสร้างขึ้นทุกๆ เมือง ภายในโบสถ์จะต้องเปิดให้ประชาชนเข้าไปสวดมนต์ทุกๆ เช้าโดยไม่มีเครื่องดนตรีในโบสถ์ ตามอาคารใกล้ตัวโบสถ์ใช้เป็นที่ประกอบงานพิธีและประชุมกิจการทั้งหลายแต่ไม่มีการเล่นดนตรีและร้องเพลงในโบสถ์

  โบสถ์แรกของศาสนาบาไฮสร้างขึ้นที่เมืองเอชกาบาด ในประเทศรัสเซีย และโบสถ์ที่สองสร้างบนฝั่งทะเลสาบมิชิแกน เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นมีการสร้างโบสถ์ในอีกหลายประเทศ เช่น ที่กรุงปานามา ออสเตรเลีย อูกานดา เยอรมนี และนิวเดลลี เป็นต้น

 

7. พิธีกรรมที่สำคัญ

    ศาสนิกชนของบาไฮมีพิธีกรรมที่ต้องการกระทำ คือ

  1.    การสวดมนต์ทุกวัน ผู้นับถือศาสนาบาไฮถือว่าการสวดมนต์เป็นการติดต่อกับพระเจ้า อีกทั้งเป็นการพัฒนาจิตใจ การสวดมนต์จึงเป็นรากฐานของศาสนาบาไฮ เพราะฉะนั้นศาสนิกชนบาไฮจะต้องสวดมนต์ทุกวันในเวลาเช้า เที่ยงวัน และเวลาค่ำ

   2.    การอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน13) ผู้นับถือศาสนาบาไฮจะต้องอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน ในเวลาตื่นเช้าและเข้านอน การอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน จะช่วยทำให้เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นตามลำดับ จิตใจจะแนบแน่นอยู่กับพระเจ้าเสมอ เมื่อใจแนบแน่นอยู่กับพระเจ้า ก็เท่ากับกำจัดกิเลสโดยอัตโนมัติ

  3.    พิธีสมรส14) เป็นพิธีที่ทั้งสองฝ่ายมีความเต็มใจที่จะร่วมชีวิตกัน โดยต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาของทั้งสองฝ่าย จึงจะแต่งงานกันได้ แต่ต้องติดต่อกับธรรมสภา และในพิธี ทั้งสองฝ่ายต้องกล่าวปฏิญาณต่อกันว่า “    เราทุกคนจะยึดถือพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าด้วยความสัตย์จริง”Ž หลังจากนั้นอาจจะมีการอ่านธรรมนิพนธ์และบทสวดอธิษฐาน นอกเหนือจากนี้เป็นความปรารถนาของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวที่จะจัดเสริมออกไปอย่างไรก็ได้

   4.    การถือศีลอด15) ผู้นับถือศาสนาบาไฮจะถือศีลอดประจำปีตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม ถึงวันที่ 20 มีนาคม เป็นเวลาทั้งหมด 19 วัน ในระยะเวลาช่วงนี้ศาสนิกชนบาไฮจะต้องตื่นก่อนตะวันขึ้นเพื่อรับประทานอาหาร สวดมนต์อธิษฐาน เพราะหลังจากตะวันขึ้นแล้วห้ามมีอะไรผ่านเข้าปากแม้แต่น้ำจนกระทั่งตะวันตกดินจึงจะสวดอธิษฐานและรับประทานอาหารในตอนค่ำ บุคคลที่ถือศีลอดมีอายุระหว่าง 15-70 ปี ยกเว้นผู้ป่วย หญิงมีครรภ์ แม่ที่ให้นมลูก ผู้ใช้แรงงานมาก และผู้ที่เดินทางไกล

   การถือศีลอดนี้ ผู้นับถือบาไฮเชื่อกันว่าเป็นการละความเห็นแก่ตัวและกิเลส อีกทั้งเป็นช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูจิตใจอย่างแท้จริง

  5.    การตาย การทำศพของบาไฮใช้วิธีฝังไม่มีการเผา เพราะร่างกายเป็นบัลลังก์แห่งวิหารภายในของวิญญาณ และต้องการเคารพในร่างกายที่ก่อขึ้นมาทีละน้อยในครรภ์มารดา จึงต้องปล่อยให้สลายเน่าไปทีละน้อย

   นอกจากพิธีกรรมตามที่กล่าวมาแล้ว ยังมีหลักปฏิบัติอย่างหนึ่งของศาสนิกชนบาไฮที่ ไม่จัดเป็นพิธีกรรมหรือวันสำคัญ นั่นคือ การแสวงบุญที่ผู้นับถือบาไฮทุกคนควรหาโอกาสในชีวิตไปชมสักการสถานเหล่านี้ ถึงแม้ว่าสักการสถานของบาไฮมีหลายแห่ง แต่ที่อยู่ในประเทศ-อิหร่านและอิรักนั้นไม่สามารถไปเยี่ยมชมได้ เพราะสถานการณ์ในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวย

  ดังนั้น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของบาไฮส่วนมากจึงอยู่ในอิสราเอล คือ ที่ไฮฟาและอัคคา ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นศูนย์กลางแห่งโลกของศาสนาบาไฮ สภายุติธรรมสากลได้เชิญผู้แสวงบุญ ทั้งหลายให้ไปเยี่ยมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ครั้งละ 9 วัน เพื่อสวดอธิษฐาน ณ สถูปต่างๆ เช่น สถูปของพระบ๊อบ อาคารเก็บหลักฐานทางประวัติศาสตร์ อาคารที่ทำการของสภายุติธรรม สากลบนภูเขาคาเมลในเมืองไฮฟา เมืองอัคคา และสุสานของพระบาฮาอุลลาห์ที่บาห์จี

 

8. วันสำคัญทางศาสนา

   ก่อนที่กล่าวถึงวันสำคัญทางศาสนาของบาไฮ จำเป็นที่เราจะต้องศึกษาปฏิทินของ บาไฮเพราะการนับปีนั้นแตกต่างจากปฏิทินทั่วๆ ไป โดยนับตามปีสุริยคติ แบ่งเป็น 19 เดือน เดือนละ 19 วัน และเรียกชื่อเดือนเหล่านี้เป็นภาษาอาหรับ ซึ่งแสดงถึงคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นช่วงการนับวันของบาไฮจึงไม่ตรงกับปฏิทินสากลที่ใช้กันทั่วไป

8.1 งานฉลองบุญ 19 วัน

   วันแรกของทุกเดือนบาไฮ ธรรมสภาท้องถิ่นของแต่ละชุมชนจะจัดงานฉลองบุญ 19 วัน ระหว่างตะวันตกดินของวันสุดท้ายของเดือนก่อน และตะวันตกดินของวันแรกของเดือนใหม่ เพราะวันของบาไฮเริ่มต้นและสิ้นสุดตอนตะวันตกดิน

   งานฉลองบุญ 19 วันนี้เป็นการฉลองทางจิตใจซึ่งมีเดือนละ 1 ครั้ง แม้ว่ามีเพียง น้ำเปล่าก็ตาม แต่ผลจากการปฏิบัติในงานนี้จะเป็นการบำรุงมิตรภาพและความรัก อีกทั้งยังเป็นการระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า งานฉลองบุญนี้ประกอบด้วย 3 ภาค คือ

1.    ภาคธรรมะ จะมีการสวดมนต์และอ่านธรรมนิพนธ์
2.    ภาคบริหาร จะมีการอ่านจดหมายจากธรรมสภาแห่งชาติ สมาชิกในชุมชนปรึกษาหารือกันเสนอความคิดเห็นให้ธรรมสภาพิจารณา
3.    ภาคสังสรรค์ จะมีการบริการอาหารเครื่องดื่ม ซึ่งถ้าไม่มีอะไรเลย แม้มีเพียง น้ำเปล่าก็ไม่เป็นไร การจัดนั้นขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ของเจ้าภาพ งานฉลองบุญทั้ง 19 วัน มีตามลำดับดังนี้

8.2 อัยยัมมีฮา

   อัยยัมมีฮา ตามปกติแล้วในปีหนึ่งมี 365 วัน บาไฮจะแบ่งเดือนออกเป็น 19 เดือนๆ ละ 19 วัน รวมเป็น 361 วัน ฉะนั้นจะมีวันเหลืออยู่อีก 4-5 วันในปีอธิกสุรทิน วันที่เหลือนี้อยู่ระหว่าง 2 เดือนสุดท้ายของปี คือ ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม เรียกวันที่เหลือเหล่านี้ตามภาษาอาหรับว่า อัยยัมมีฮา เป็นวันที่มีการให้ของขวัญแสดงน้ำใจอนุเคราะห์ต่อผู้ป่วยและคนยากจน นอกจากนี้อาจมีการถือบวช 19 วัน โดยเริ่มตั้งแต่ วันที่ 2 มีนาคม - 20 มีนาคม ของทุกปี

8.3    วันศักดิ์สิทธิ์

   วันศักดิ์สิทธิ์ ในปีของบาไฮจะมีวันศักดิ์สิทธิ์ 9 วัน ซึ่งในวันเหล่านี้ถ้าเป็น ไปได้จะมีการหยุดงานและหยุดโรงเรียน ได้แก่

1.    วันนอร์รูซ คือ วันที่ 21 มีนาคม เป็นวันปีใหม่บาไฮ
2.    วันเทศกาลริสวาน อยู่ระหว่างวันที่ 21 เมษายน - 2 พฤษภาคม วันนี้เป็นวันครบรอบการประกาศศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์ในอุทยานริสวานในแบกแดด ปี พ.ศ.1863 เทศกาลริสวานประกอบด้วยวันศักดิ์สิทธิ์ 3 วัน คือ วันที่ 21 เมษายน ซึ่งเป็นวันแรกของ เทศกาลริสวาน เป็นการรำลึกถึงวันที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงประกาศฐานะอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรก วันที่ 29 เมษายน เป็นวันที่ 9 ของริสวาน ถือเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ และวันที่ 2 พฤษภาคม เป็นวันที่รำลึกถึงการออกจากอุทยานริสวานของพระบาฮาอุลลาห์
3.    วันประกาศศาสนาของพระบ๊อบ ตรงกับวันที่ 23 พฤษภาคม
4.    วันสิ้นชีพของพระบาฮาอุลลาห์ ตรงกับวันที่ 29 พฤษภาคม
5.    วันประหารชีวิตของพระบ๊อบ ตรงกับวันที่ 9 กรกฎาคม
6.    วันเกิดของพระบ๊อบ ตรงกับวันที่ 20 ตุลาคม
7.    วันเกิดของพระบาฮาอุลลาห์ ตรงกับวันที่ 12 พฤศจิกายน
8.    วันแห่งพระปฏิญญาตรงกับวันที่ 26 พฤศจิกายน วันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ แต่สามารถทำงานได้ ไม่ต้องหยุดเหมือน 7 วันศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวมาแล้ว
9.    วันสิ้นชีพของพระอับดุลบาฮา ตรงกับวันที่ 28 พฤศจิกายน วันนี้ไม่ต้องหยุดงานเช่นกัน

    วันศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 9 วันนี้ จะมีการสวดมนต์ สังสรรค์ หรือปิกนิก หรือชุมนุมกันด้วยความสำรวมและเคารพ เราอาจดูรายละเอียดได้จากตารางเวลาดังนี้

 

9. ระบบบริหารงานของศาสนาบาไฮ

    ศาสนาบาไฮไม่มีพระหรือนักบวช และไม่มีแม้แต่ผู้นำศาสนา หลังจากที่โชกิ เอฟเฟนดิ ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2500 ศาสนาบาไฮก็ว่างจากผู้นำทางศาสนา แต่ยังคงมีการปฏิบัติงานในศาสนาโดยอาศัยเครือข่ายของสถาบันที่เลือกตั้งขึ้นมา เรียกว่าระบบบริหารของพระบาฮา-อุลลาห์ ซึ่งท่านได้บัญญัติให้เมืองทุกเมืองในหมู่บ้านจะต้องมีการเลือกตั้งบาไฮจำนวน 9 คน ขึ้นเป็นสภายุติธรรมท้องถิ่น ซึ่งปัจจุบันนี้เรียกว่าธรรมสภาท้องถิ่น ในการประชุมนี้บาไฮจะเลือกผู้ใหญ่ที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไปในท้องถิ่นจำนวน 9 คน เพื่อรับใช้ธรรมสภาท้องถิ่นเป็น เวลา 1 ปี โดยจะต้องทำหน้าที่รับผิดชอบในกิจการต่างๆ ของการเผยแพร่ศาสนา งานศพ และงานที่ส่งเสริมความสามัคคีในหมู่บาไฮ เป็นต้น

   การเลือกตั้งสภาท้องถิ่น จะใช้การลงคะแนนลับของบาไฮผู้ใหญ่ ก่อนการเลือกตั้งจะไม่มีการเสนอชื่อ ไม่มีการหาเสียง แต่คุณสมบัติของผู้ถูกเลือกเป็นไปตามเกณฑ์ของโชกิ เอฟเฟนดิ ซึ่งได้วางแนวทางไว้ก่อนที่จะถึงแก่กรรมว่า ต้องเป็นผู้มีความจงรักภักดี อุทิศตนอย่างไม่เห็นแก่ตัว มีจิตใจที่ฝึกฝนมาดี มีความรู้ความสามารถเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป

   นอกจากธรรมสภาท้องถิ่นแล้ว ยังมีธรรมสภาแห่งชาติที่ทำหน้าที่บริหารกิจการระดับชาติ โดยประสานกับบาไฮทั้งประเทศ การติดต่อนี้จะผ่านทางข่าวสารบาไฮประจำเดือน ซึ่งนำมาอ่านในที่ชุมชนที่เรียกว่างานฉลองบุญ 19 วัน

   การเลือกธรรมสภาแห่งชาตินี้จะกระทำทุกปี โดยบาไฮในแต่ละท้องถิ่นเลือกผู้แทนแล้ว ผู้แทนเหล่านี้จะเข้าร่วมการประชุมแห่งชาติประจำปี ซึ่งนิยมจัดในวันสุดสัปดาห์ในช่วง เทศกาลริสวัน (21 เมษายน - 2 พฤษภาคม) ในการประชุมแห่งชาตินี้ ผู้แทนจะเลือกบาไฮ 9 คน เพื่อทำหน้าที่ธรรมสภาแห่งชาติในปีต่อไป

   สถาบันสูงสุดในระบบบริหารของพระบาฮาอุลลาห์ คือ สภายุติธรรมสากล ทำหน้าที่ชี้แนะและอำนวยกิจการของศาสนาระดับโลก พวกนี้จะทำงานที่เมืองไฮฟา ประเทศอิสราเอล ปัจจุบันสภายุติธรรมสากลมีสมาชิก 9 ท่าน และมีการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2506 นับจากนั้นมาจะมีการเลือกตั้งทุก 5 ปี โดยสมาชิกธรรมสภาแห่งชาติทุกคนจะมาร่วมการเลือกตั้งนี้ในนามบาไฮของแต่ละประเทศ การประชุมครั้งนี้จะกระทำที่ศูนย์กลางแห่งโลกของบาไฮ เมืองไฮฟา ประเทศอิสราเอล

 

10. สัญลักษณ์ของศาสนา

      ในศาสนาบาไฮได้ทำรูปสัญลักษณ์เป็น 2 แบบ คือ

แบบที่ 1 คือคำว่า ยาบาฮาอุลลาห์ภา เขียนตามแบบภาษาอาหรับ มีความหมายว่า ข้าแต่พระผู้ทรงความรุ่งโรจน์ เหนือความรุ่งโรจน์

แบบที่ 2 เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เส้นบนหมายถึง ภพของพระเจ้า เส้นกลางหมายถึงพระศาสดา และเส้นล่างหมายถึงภพของมนุษย์ ส่วนเส้นแนวดิ่งหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สืบจากพระเจ้าผ่านมาทางศาสนา เพื่อนำพระประสงค์ของพระองค์มาให้มนุษย์ทราบ ส่วนดาวสองดวงบ่งบอกว่า ในยุคนี้มีพระศาสดา คือ พระบ๊อบ และพระบาฮาอุลลาห์

 

11. ฐานะของศาสนาในปัจจุบัน

   ศาสนาบาไฮนับตั้งแต่ท่านโชกิ เอฟเฟนดี ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2500 ระบบสืบตำแหน่งแทนก็เป็นอันสิ้นสุด ชาวบาไฮจึงได้จัดตั้งองค์กรมาบริหารศาสนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2506 แบ่งเป็น 3 ระดับ จากต่ำไปหาสูง คือ

1.    ธรรมสภาท้องถิ่น
2.    ธรรมสภาแห่งชาติ
3.    ธรรมสภายุติธรรมสากล

  ศาสนาบาไฮ16) ถึงแม้จะเป็นศาสนาใหม่ล่าสุด แต่ก็กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีศาสนิกของศาสนาบาไฮอยู่เกือบทั่วทุกมุมโลก โดยมีศาสนิกประมาณ 10 ล้านคน มีธรรมสภาแห่งชาติไม่น้อยกว่า 148 แห่ง มีธรรมสภาท้องถิ่นไม่น้อยกว่า 30,304 แห่ง และมีการแปลคัมภีร์ศาสนาบาไฮออกเป็นภาษาต่างๆ ไม่น้อยกว่า 756 ภาษา โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา มีสำนักสาขาอยู่ทุกรัฐ และสำนักงานใหญ่ที่เมืองวิลเมตต์ บนฝั่งทะเลสาบมิชิแกน ใกล้เมืองชิคาโก แม้ในประเทศไทยก็มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซอยหลังสวน ถนนเพลินจิต กรุงเทพฯ และยังมีสาขาต่างจังหวัดที่ เชียงใหม่ สงขลา และยโสธร อีกด้วย

   ศาสนาบาไฮในทรรศนะทั่วไปถือกันว่า เป็นนิกายหนึ่งของศาสนาอิสลาม โดยแยกตัว มาจากนิกายชิอะฮ์ นิกายชิอะฮ์เชื่อว่าหลังจากอิหม่ามหรือกาหลิบอาลีสิ้นชีวิตแล้ว ก็จะมีอิหม่ามสืบสายต่อมาอีก 12 คน แต่คนที่ 12 ได้หายไปในคริสต์ศตวรรษที่ 9 แต่มุสลิมนิกายชีอะฮ์เชื่อว่าสักวันหนึ่งในอนาคตจะมาปรากฏอีก ต่อมาพระบ๊อบได้ประกาศว่า ตัวท่านนี่แหละ คืออิหม่ามที่ 12 ทั้งได้ปฏิรูปศาสนาอิสลามเสียใหม่ อันเป็นเหตุถึงแก่ความตาย เพราะถูกยิงเป้าในปี พ.ศ. 2393 แต่ชาวบาไฮถือว่า ศาสนาบาไฮเป็นศาสนาอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับศาสนาใด เพราะศาสนาบาไฮมีศาสดา หลักการ คัมภีร์ศาสนา ปฏิทินศาสนา โบสถ์ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เป็นต้น เป็นของตน จนได้ทำเรื่องเสนอให้องค์การสหประชาชาติรับรองว่าเป็นศาสนาอิสระศาสนาหนึ่งของโลก เมื่อ พ.ศ. 2490 ซึ่งทางองค์การสหประชาชาติ ก็ได้รับรองสถานะดังที่เสนอมา

   แต่ศาสนาบาไฮในประเทศอิหร่านได้รับความกระทบกระเทือนมาก เพราะในปี พ.ศ. 2522 สมัยปฏิวัติศาสนาอิสลาม โดยมีอยาตอลเลาะห์ รุฮอลลาห์ โคไมนี เป็นหัวหน้าปกครองประเทศอิหร่าน เป็นสมัยที่ศาสนาบาไฮได้รับความเดือดร้อนเป็นที่สุด เพราะถูกถือว่าเป็นศาสนามิจฉาทิฏฐิ ชาวบาไฮถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก ที่ถูกจำคุกก็มีมากมาย ทรัพย์สินและบ้านเรือนถูกยึด สมบัติของศาสนา สุสาน และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ อีกทั้งเตรียมจะออกกฎหมายให้ถือว่า การฆ่าชาวบาไฮไม่ผิดอีกด้วย จึงเป็นเคราะห์ร้ายที่สุดของชาวบาไฮในประเทศอิหร่าน ซึ่งเป็นแผ่นดินที่เกิดของศาสนาบาไฮเอง

 

 

 


1) , 2) สมาคมสภาการศาสนาบาไฮ. ศาสนาบาไฮ, มปป หน้า 4.
3) เอสเซิลมอนท์ เจอี. พระบาฮาลาห์และยุคใหม่, 2526 หน้า 168-169.
4) เอสเซิลมอนท์ เจอี. พระบาฮาลาห์และยุคใหม่, 2526 หน้า 148.
5) เอสเซิลมอนท์ เจอี. พระบาฮาลาห์และยุคใหม่, 2528 หน้า 32.
6) บาไฮแห่งประเทศ, ธรรมสภา. ศาสนาบาไฮ, 2536 หน้า 37.
7) สภาธรรมบาไฮแห่งประเทศไทย. อุทยานใหม่, มปป หน้า 7-8.
8) สมาคมสภาการกลางศาสนาบาไฮ. ศาสนาบาไฮ, มปป หน้า 10.
9) สมาคมสภาการกลางบาไฮ. พระบาฮาอุลลาห์, มปป หน้า 10.
10) เอสเซิลมอนท์ เจ อี. พระบาฉาอุลลาห์และยุคใหม่, 2528 หน้า 147-172.
11) ธรรมสภาบาไฮแห่งประเทศไทย. ศาสนาบาไฮ, 2536 หน้า 48.
12) ธรรมสภาบาไฮแห่งประเทศไทย. ศาสนาบาไฮ, 2536 หน้า 1.
13) สภาธรรมของบาไฮแห่งประเทศไทย. อุทยานใหม่, มปป หน้า 182.
14) ธรรมสภาบาไฮแห่งประเทศไทย. ศาสนาบาไฮ, 2536 หน้า 43.
15) Hopfe lewis M. Religions of the World, 1994 p. 411.
16) เอส เซิลมอนท์ เจ อี. พระบาฮาอุลลาห์และยุคใหม่, 2528 หน้า 533.


หนังสือ DF 404 ศาสนศึกษา
กลุ่มวิชาการทำหน้าที่กัลยาณมิตร

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0037240982055664 Mins