สั่งการปัดระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

วันที่ 19 กย. พ.ศ.2559

สั่งการปัดระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2,พระมงคลเทพมุนี(สด จนฺทสโร),บทความประจำวัน

 

สั่งการปัดระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

ในช่วงที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด กองกำลังทหารญี่ปุ่นได้เข้ามายังประเทศไทย ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการใช้เป็นฐานทัพในการสู้รบ เพื่อบุกยึดพม่าและอินเดีย โดยใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางคมนาคมในการลำเลียงอาวุธ ไพร่พลและเสบียง ดังนั้นกองกำลังทหารสหรัฐฯ จึงนำเครื่องบินมาทิ้งระเบิดเพื่อบุกโจมตีและตัดเส้นทางคมนาคมของญี่ปุ่น ตามจุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ เช่น สะพานข้ามกรุงเทพ-ธนบุรี ประตูน้ำอ่างทอง ประตูน้ำบางยาง ประตูน้ำนกแขวก รวมทั้งคลองภาษีเจริญ ซึ่งอยู่ใกล้กับวัดปากน้ำ อีกทั้งยังทำลายแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในการสู้รบ ซึ่งก็คือ โรงไฟฟ้าวัดเลียบ ซึ่งในช่วงที่บ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟนี้เอง หลวงปู่ท่านก็ได้คุมทีมงานทำวิชชาเอาชีวิตเป็นเดิมพัน คือ ทำกันตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อแก้ไขเหตุการณ์บ้านเมือง เพื่อให้สงครามยุติ ซึ่งหลวงปู่ท่านถึงกับพูดว่า “จะไม่ยอมหนีไปไหน และถ้าวัดปากน้ำหรือประตูน้ำภาษีเจริญถูกระเบิดลง ก็จะยอมตาย...”
 
และหลังจากที่หลวงปู่ท่านลั่นวาจาอย่างนี้ ไม่ว่ากองกำลังทหารสหรัฐฯ จะบุกเอาเครื่องบินมาทิ้งระเบิดมากสักเท่าไหร่ ก็พลาดเป้าหมายแทบทุกครั้ง อีกทั้งชาวบ้านยังพูดกันหนาหูว่า วัดปากน้ำเป็นที่ที่ปลอดภัยจากระเบิดมากที่สุด เพราะหลวงปู่ท่านไม่ยอมให้ระเบิดลงที่นี่หรอก
 
ด้วยเหตุนี้...จึงให้ชาวบ้านและทหารกรมพื้นที่...แห่กันมาอพยพหลบภัยที่ตึกขาวในวัดปากน้ำ (ปัจจุบันคือหอเจริญวิปัสสนา) และที่น่าทึ่งไปกว่านั้น..ยังมีผู้คนจำนวนมาก เห็นแม่ชีในลักษณะโปร่งแสงลอยอยู่เหนือน่านฟ้า โดยเอามือปัดระเบิด ในขณะที่เครื่องบินรบกำลังมาทิ้งระเบิด จนสร้างความตะลึง-งง-งัน ให้แก่ผู้คนเป็นจำนวนมาก จนหนังสือพิมพ์ต้องเอาข่าวนี้มาลงเพราะทึ่งในความมหัศจรรย์นั้น!!
 
และที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะหลวงปู่ท่านได้คุมพวกทำวิชชา ให้ทำการปาฏิหาริย์กายขึ้นไปปัดระเบิด อีกทั้งยังใช้วิชชาธรรมกายเนรมิตเมืองเป็นป่าบ้าง..เป็นน้ำบ้าง และเนรมิตแม่น้ำให้เป็นบ้าน..เป็นเมืองแทน จนทำให้ทหารที่มาทิ้งระเบิดเข้าใจผิด และทิ้งไม่โดนเป้าหมายสักที

ในช่วงนั้น หลวงปู่ท่านเลือกให้คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เป็นหัวหน้าเวรการทำวิชชากะดึก ซึ่งท่านได้ถามพวกทำวิชชาว่า “เครื่องบินข้าศึกจะมากี่โมง..?” คุณยายอาจารย์ฯ ท่านตอบว่า “ตี 1 เจ้าค่ะ...” และพอถึงตี 1 สัญญาณเตือนภัยระเบิดก็ดังจริง ๆ ตรงนี้..เป็นความอัศจรรย์ของวิชชาธรรมกายแบบสุด ๆ เพราะพวกทหารอเมริกันก็ไม่ได้มาบอกอะไรคุณยายอาจารย์ฯ ถึงแผนการในการทิ้งระเบิดเลย แต่คุณยายอาจารย์ฯ กลับรู้เวลาในการทิ้งระเบิดที่แน่นอน !!!

และขณะที่สงครามกำลังดุเดือดอยู่นั้น หลวงปู่ท่านก็ถามคุณยายว่า “เยอรมันแพ้หรือชนะวะ..?” ซึ่งคุณยายอาจารย์ท่านก็ดูในขณะที่ตอบว่า “แพ้เจ้าค่ะ” และสุดท้าย..เยอรมันก็แพ้สงครามจริง ๆ ในวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 ซึ่งตรงนี้ก็แปลกอีก..เพราะขณะที่เกิดการสู้รบห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่า ฝ่ายใดจะชนะ แต่คุณยายอาจารย์ฯ ก็สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่า เยอรมันจะต้องแพ้แน่ ๆ

ก่อนที่หลวงปู่ท่านจะถามคำถามพวกที่ทำวิชชานั้น หลวงปู่ท่านจะเห็นและรู้คำตอบอย่างแจ่มแจ้งในสิ่งนั้นอยู่ก่อนแล้ว แต่เนื่องจากท่านต้องการตรวจสอบญาณทัสสนะลูกศิษย์อีกทั้งยังเป็นการปรับให้ญาณทัสสนะของทุกคนให้ตรงกัน...

จากนั้นหลวงปู่ท่านก็ค้นต่อจนเห็นในที่ว่า มีระเบิดประหลาดที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกทั้งยังแตกต่างกับระเบิดลูกอื่นที่ใช้ในสงครามซึ่งก็คือ ระเบิดปรมาณู จึงทำให้หลวงปู่ถามคุณยายอาจารย์ ว่า “ถ้าลูกนี้มาลงจะเป็นยังไงวะ..??”

ซึ่งคุณยายอาจารย์ฯ ท่านก็เข้าที่แล้วตอบว่า “ถ้าลงที่เมืองไทย ก็จะราบเป็นหน้ากลอง ไม่เหลืออะไรเลยเจ้าค่ะ..!!!” พอถึงตรงนี้ก็ทำให้รู้สึกประหลาดใจหนักเข้าไปอีกว่า หลวงปู่กับคุณยายอาจารย์ฯ และพวกที่ทำวิชชารู้เรื่องระเบิดนี้ได้อย่างไร ในเมื่อสหรัฐอเมริกาเร่งทำโครงการพัฒนาระเบิดปรมาณูอย่างลับ ๆ เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ อีกทั้งระเบิดปรมาณูลูกแรก ก็ยังไม่เคยทดลองทิ้งที่ใดเลย แต่ด้วยอานุภาพของวิชชาธรรมกาย กลับทำให้สามารถเห็นถึงอำนาจการทำลายล้างอันมหาศาลของระเบิดปรมาณูได้อย่างเหลือเชื่อ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เกิดการระเบิดขึ้น..!!!

ภายหลังจากที่เยอรมันประกาศแพ้สงครามแล้ว สหรัฐฯ ก็คิดระเบิดปรมาณูได้สำเร็จในเวลาต่อมา ซึ่งช่วงนั้น..เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ และกำลังจะแพ้สงครามอยู่แล้ว ถ้าสหรัฐฯ ไม่เอาระเบิดปรมาณูไปทิ้งที่ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็ต้องแพ้สงครามอยู่ดี แต่อยู่ ๆ ทางสหรัฐฯ เกิดอะเลิร์ตอะไรก็ไม่ทราบ คือพอคิดระเบิดปรมาณูเสร็จ แทนที่จะเก็บไว้เฉย ๆ ก็คิดอยากจะเอาไปทดลอง โดยเลือกเป้าหมายในการทิ้งระเบิดไว้เกือบ 20 แห่ง แต่สุดท้ายก็ตัดตัวเลือกออกจนเหลืออยู่ 2 แห่ง คือ เมืองฮิโรชิมากับนางาซากิ จนเป็นเหตุทำให้มีคนตายทันทีมากถึง 880,000 คน และตายในเวลาต่อมามากถึง 2 ล้านคน

ตรงจุดนี้..แสดงว่าต้องมีบางสิ่งที่สอดละเอียดทำให้มนุษย์เหล่านั้น..เกิดอะเลิร์ตคิดเช่นนี้.!!! ซึ่งตลอดเวลาที่ทำวิชชาให้สาวไปถึงต้นตอ หรือแหล่งที่มาของความคิดว่า ใคร..เป็นผู้ทำให้มนุษย์คิดสู้รบกัน.?? โดยท่านจะถามว่า “ใครสอดมาวะ..??” จากนั้นทีมงานทำวิชชาของท่านก็เข้าที่ไปดูว่า ใครเป็นผู้สอดละเอียดมา โดยไปดูว่า..ต้นตอของกระแสที่สั่งใจนั้นมาจากไหน..ซึ่งเมื่อไปพบต้นตอสาเหตุแล้ว หลวงปู่ท่านก็ไปดับที่นั่น คือ ต้องไปดับที่ต้นเหตุหรือแหล่งผลิตกระแสที่ทำให้มนุษย์คิดรบราฆ่าฟันกัน ซึ่งพอเหตุดับปุ๊บ..ผลก็ไม่เกิด สุดท้ายมนุษย์ก็เลิกรบราฆ่าฟันกัน

แต่เนื่องจากตอนนั้น..อยู่ในช่วงที่หลวงปู่กำลังรวบรวมพวกทำวิชชาอยู่ คือ ทีมงานทำวิชชายังมีอยู่น้อย หรือมีปริมาณไม่มากพอที่จะทำวิชชาให้ชนะเขา ก็เลยทำให้การทำวิชชาแก้ไขเรื่องภัยสงคราม ทำไปได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น...


Cr. ร. ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.040149982770284 Mins