ท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป

วันที่ 27 มิย. พ.ศ.2561

ท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป
 

dhammakaya , Dhammakaya Temple , Meditation , ธรรมกาย , วัดพระธรรมกาย , พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) , พระผู้ปราบมาร , หลวงพ่อวัดปากน้ำ , วัดปากน้ำภาษีเจริญ , หลวงปู่สด , หลวงพ่อสด , ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย , วิชชาธรรมกาย , ธรรมกาย , ตามรอยพระมงคลเทพมุนี , วิสุทธิวาจา , ประวัติหลวงพ่อสด , ประวัติพระมงคลเทพมุนี , รวมพระธรรมเทศนา หลวงพ่อวัดปากน้ำ , สมาธิ , วิปัสสนา , สัมมาอะระหัง , หลวงพ่อวัดปากน้ำ , อานุภาพหลวงปู่..ยุคต้นวิชชา , อานุภาพพระผู้ปราบมาร , ท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป

        เรื่องนี้ เป็นเรื่องของลุงเปล่ง ซึ่งเป็นบุคคลยุคต้นวิชชา ที่ชอบมาเล่าเรื่องราวของหลวงปู่ให้หลวงพ่อธัมมชโยฟังบ่อยๆ อีกทั้งยังเคยมาวัดพระธรรมกายตั้งแต่ครั้งยังเป็นทุ่งนาฟ้าโล่งอีกด้วย

         ลุงเปล่งเป็นทานบดีของวัดปากน้ำ ที่ชอบมาถวายภัตตาหารกับหลวงปู่ พร้อมกับภรรยาอยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ลุงเปล่งคุ้นเคยกับหลวงปู่ แต่ทว่า แม้จะคุ้นเคยกับหลวงปู่มากสักแค่ไหน ลุงเปล่งก็จะไม่ค่อยเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่สักเท่าไร ที่บอกอย่างนี้ไม่ใช่เพราะลุงเปล่งไม่เคารพหรือลบหลู่หลวงปู่ แต่เป็นเพราะลุงเปล่งไม่ค่อยเข้าใจ และตามไม่ทันในเรื่องการทำวิชชาของหลวงปู่ โดยลุงเปล่งจะชอบพูดว่า "หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป" อีกทั้งยังไม่ค่อยเชื่อในอานุภาพของวิชชาธรรมอีกด้วย

       ด้วยเหตุนี้..ลุงเปล่งจึงเป็นคนพิเศษเพียงคนเดียวที่แม้ยังไม่เข้าถึงพระธรรมกาย แต่หลวงปู่ท่านก็เอ็นดู และอนุญาตให้เข้าไปในโรงงานทำวิชชาซึ่งก็คือกุฏิของท่าน เพื่อให้ลุงเปล่งได้ประจักษ์ในความศักดิ์สิทธิ์ของวิชชาธรรมกายด้วยตัวเอง ทั้งๆ ที่ในสมัยนั้น ผู้ที่จะเข้าไปในโรงงานทำวิชชาได้ ต้องเป็นพวกที่เข้าถึงพระธรรมกายเท่านั้น แต่สำหรับลุงเปล่งแล้ว หลวงปู่จะพาท่านเข้าไปที่ประตูของโรงงานทำวิชชาแล้วบอกว่า..

          "เปล่ง..เวลาเอ็งเข้ามานี่ เอ็งเอามือล้วงข้างล่าง แล้วดันไม้อย่างนี้นะ แล้วประตูมันจะเปิดเอง และถ้าเอ็งเข้าไปแล้ว ก็ให้นั่งเฉยๆ นะ อย่าส่งเวียงพูดอะไร เพราะเขากำลังทำวิชชากัน" 

            ซึ่งพอลงเปล่งลองเขาไปจริงๆ ท่านกออกมาเล่าว่า   “พอเขาไปแล้ว..เราเหมือนคนบ้านะ เพราะไม่รู้เขาพูดอะไรกัน พูดกันอยู่ 2 คํา คือ ทําให้ละเอียด ..ละเอียดลงไป ..ละเอียดหรือยัง ซึ่งถ้าเป็นผู้หญิงก็จะตอบหลวงปู่ว่า ละเอียดแล้วเจ้าค่ะ ถ้าเป็นพระ..ก็จะตอบว่า ละเอียดแล้วครับ คือ ฟังแล้ว..ไม่เห็นจะมีอะไร มีแต่คําว่าละเอียด และพอหลวงปถามพวกที่ทําวิชชาว่าสว่างหรือยังเขาก็ตอบออกมาว่า สว่างแล้วเจ้าค่ะ...”

         จากนั้นหลวงปู่ก็บอกลุงเปล่งว่า “..เออ เปล่ง.!! ไหนเอ็งลองออกไปดูสิ ท้องฟ้าสว่างหรือยัง” ซึ่งลุงเปล่งก็ได้แต่ไม่เข้าใจ คือไม่รู้ว่าเขากําลังทําอะไรกัน แต่พอเปิดประตูออกมาดูนอกโรงงานทําวิชชา ทันใดนั้น..ลุงเปล่งก็เห็นท้องฟ้าสว่างจ้าเลย แต่ลุงเปล่งก็แค่นึกในใจว่า “..เอ..!! ตอนเราเขามาวัดใหม่ ๆ ท้องฟายังมึดตื้ออยู่เลย...มืดจนน่ากลัว เอ๊ะ..!! แต่ทําไมตอนนี้มันสว่างจ้าเลย...”

         จากนั้นก็กลับเข้ามารายงานหลวงปู่ทั้ง ๆ ที่ยังงงไม่หายว่า..  “สว่างแล้วครับ” ซึ่งพอหลวงปู่ฟังเสร็จ ท่านก็นิ่ง ๆ ต่อไปโดยไม่พูดอะไรจากนั้นลุงเปล่งก็คิดในใจว่า.. “เรานั่งมาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจะ มีอะไร มีแต่พูดคําว่าละเอียด ..ออกไปดีกว่า..ขืนอยู่ในนี้ต่อไป..บ้ากันพอดี”

          ในช่วงนั้น..นอกจากลุงเปล่งจะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการทําวิชชาแล้ว  ลุงเปล่งยังเชื่อและศรัทธาในวิชาโหราศาสตร์อีกด้วยเพราะในช่วงที่ลุงเปล่งหัดเป็นหมอดู ท่านจะชอบมาคุยอวดให้หลวงปู่ฟังว่าตําราโหราศาสตร์... มันดีอย่างนั้น..อย่างนี้แม่นอย่างนั้น..อยางนี้ซึ่งพอหลวงปู่ฟังเสร็จ ท่านกบอกว่า “..สู้ “สัมมา อะระหัง” ไม่ได้หรอกวะ เพราะเป็นทางมรรคผลนิพพาน”

            แต่ลุงเปล่งก็ยังไม่เข้าใจเท่าไร แถมยังยืนยันความเชื่อของตัวเองอยู่ดี คือ เมื่อลุงเปล่งมาหาหลวงปู่ทีไร ก็จะบอกแต่ว่าโหราศาสตร์แม่นอย่างนั้น..อย่างนี้..อยู่เรื่อย จนหลวงปู่รําคาญ จึงพูดกลับไปว่า.. “เปล่ง..ข้าให้เอ็งดูแม่นสัก 10 ปี คือในช่วง 10 ปีนี้..เอ็งจะแม่นมากทีเดียว แต่หลังจากนั้น ตอนท้ายของชีวิตนี่..เอ็งจะจําได้แค่ “สัมมาอะระหัง” วิชาอย่างอื่นเอ็งจะลืมหมดเลย.!!!”

           ซึ่งตอนนั้น..ไม่ว่าหลวงปู่จะพูดยังไงลุงเปล่งก็ไม่เชื่อ หนำซํ้ายังไม่คิดว่าจะเป็นไปได้เลย เพราะช่วงนั้นลุงเปล่งเป็นหมอดูที่แม่นมาก  คือ แมนในระดับเทพเรียกทวด เพราะไม่ว่าลุงเปล่งจะจับตำราไหนมาอ่าน ก็เขาใจทะลุปรุโปร่งหมด  แถมยังแตกฉานถึงขนาด เขียนตำราหมอดูเองได้ แต่หลังจาก 10 ปีผ่านไปเท่านั้นเอง...ลุงเปล่ง..เกดเป็นอะไรไปก็ ไม่ทราบ  ทายใครก็แค่เกือบถูก ซึ่งก็แปลว่าไม่ถูก แถมไม่แม่นเหมือนเก่า เพราะทเคยศึกษามามันลืมไปจริงๆ ซึ่งลุงเปล่งบอกว่า ที่พอจะจําได้บ้าง..ก็เป็นพวกคาถาอาคม และเมื่อเป็นอย่างนี้ ลุงเปล่งก็เลยเกิดอาการเสียเซลฟ์ (Self)  เพราะดูดวงใครก็ไม่ถูก จึงกลับมากราบเรียนถามหลวงปู่ว่าเพราะอะไร..ทําไมมันดูไม่แม่น ซึ่งท่านก็ตอบลุงเปล่งไปว่า “..ก็มันครบ 10 ปีแล้วนี่หว่า”

           ซึ่งพอลุงเปล่งนับเวลาดูท่านก็ต้องทึ่ง เพราะเมื่อนับเวลาดูแล้วมันเลย 10 ปีไปแค่ 1 วัน เท่านั้นเอง ลุงเปล่งก็กลายเป็นหมอดูที่ดูไม่แม่นแล้ว และที่น่าทึ่งมากไปกว่านั้น คือ ในบั้นปลายชีวิตของลุงเปล่ง ก็เป็นไปตามที่หลวงปู่บอกไว้เป็ะเลย คือ ลุงเปล่งบอกว่า.. “เป็นไงก็ไม่รู้ คาถง..คาถา หมอดง..หมอดู อะไรที่เคยเรียนมามันลืมไปหมดเลย เหลือแต่ “สัมมา อะระหัง” อย่างเดียวจริงๆ ซึ่งทําไมมันลืมก็ไม่รู้เหมือนกัน ทั้งๆ ที่พยายามนึก ๆ แล้ว แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก”

           ซึ่งภรรยาลุงเปล่งเล่าให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยฟังที่อาคารดาวดึงส์ว่า   “คุณเปลงเขาจำอะไรไม่ได้เลยจริงอย่างที่หลวงพ่อพูดไว้ไม่มีผิด คือไม่รู้..คุณเปล่งแกเป็นอะไร เขาบอกจาอะไรไม่ค่อยได้เหลือแต่ “สัมมา อะระหัง” อยางเดียวเท่านั้น”

           จากการที่ลุงเปล่งไม่ค่อยเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่เลยทำให้มีคนไปถามลุงเปล่งว่า  ทําไม.. ถึงไม่ค่อยเชื่อหลวงพ่อ? ซึ่งลุงเปล่งก็จะตอบทันทีเลยว่า “ก็จะให้เชื่อได้ยังไง เพราะเคยเห็นเกจิอาจารย์แทบทุกคนเลย  เวลาเขาจะทำของขลัง หรือทำอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไร เขาจะมีพิธีรีตอง จะต้องท่องคาถา ต้องเขียนเลขสักยันต์ หรือไม่ก็เสกเป่าอะไรสักอย่างเพื่อให้มันศักดิ์สิทธิ์ แต่นี่..ไม่เห็นหลวงพ่อท่านทำอะไรเลยสักอย่าง คือ พอเราพูดหรือขออะไรเสร็จ.. แป๊บเดียว..ยังไม่ทันไรเลย..หลวงพ่อท่านก็พูดกลับมาว่า..เรียบร้อยแล้ว หรืออย่างขณะที่หลวงพ่อกำลังนั่งฉันอยู่ พอมีญาติโยมเข้ามาขอบารมีให้ท่านช่วยอะไรสักอย่าง ท่านก็ทำแค่ส่งเสียง อือ ๆ ...แถม อือ..ไป..ฉันไปอีกต่างหาก...”

         อย่างมีอยู่ครั้งหนึ่ง ลุงเปล่งก็ขนเอาผ้าเช็ดหน้าที่พิมพ์รูปหลวงปู่ ที่ทำไว้แจกญาติโยมที่มาร่วมงานมุทิตาหลวงปู่ในครั้งที่ท่านได้รับเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นจํานวนร้อย ๆ ผืน... มาให้หลวงปู่ช่วยทำให้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งลุงเปล่งก็เอาไปวางไว้ข้าง ๆ สํารับอาหารของหลวงปู่ เพราะหลวงปู่ว่าให้วางไว้นั่น แล้วท่านก็นั่งฉันไปเรื่อย ๆและพอฉันเสร็จ ท่านก็บอกลุงเปล่งว่า “เสร็จเรียบร้อยแล้ว เอ็งยกออกไปได้เลย”

          พอลุงเปล่งเห็นดังนั้น..แทนที่จะอะเลิร์ตดีอกดีใจ กลับขัดอกขัดใจมาก อีกทั้งยังรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีเพราะมองว่าหลวงปู่ไม่ยอมทำอะไรให้สักอย่าง คิดว่าหลวงปู่ท่านไม่ยอมเสกผ้าเช็ดหน้าให้และเมื่อคิดดังนี้..ก็เลยเอาผ้าเช็ดหน้านั้น เที่ยวไล่แจกญาติโยมจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือเลยแม้แต่ผืนเดียว แถมไม่ยอมเก็บไว้เป็นของตัวเองเลยสักผืน เพราะมัวแต่คิดว่า ผ้าเช็ดหน้าทั้งชุดนี้.. จะศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร  เพราะหลวงปู่ท่านไม่ยอมเสกให้แต่ที่ไหนได้... หลังจากที่ลุงเปล่งแจกเขาจนหมดแล้ว ไม่นานต่อมา ปรากฏว่ามีคนเจออานุภาพกันมากมาย อีกทั้งยังมาเล่าเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของผ้านั้นให้ลุงเปล่งฟังว่าเจออานุภาพอย่างนั้น..อยางนี้เช่นบางคนไปทดลองเอาปืนยิงผ้า ซึ่งปรากฏวาปืนพังไปเลย คือ ยิงไม่ออก

           ด้วยเหตุนี้..เลยทําให้ลุงเปล่งนึกเสียดายขึ้นมาทันทีจนพูดออกมาว่า “ตายแล้ว..ๆ ไม่มีแล้ว ...แจกเขาไปหมดแล้ว” และพอลุงเปล่งมารู้ทีหลังว่า ผ้าเช็ดหน้านั้นศักดิ์สิทธิ์ ลุงเปล่งก็เกิดคาใจขึ้นมาว่า ..อยู่ ๆ ผ้าเช็ดหน้าเกิดศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้อย่างไร ในเมื่อหลวงปู่ไม่ได้เสก ไม่ได้เป่าอะไรเลย!!

          ด้วยความคาใจอย่างแรงนี้เอง ลุงเปล่งก็เลยเข้าไปถามท่านว่า “หลวงพ่อ..ทํายังไงหรือครับ ไม่เห็นเสกเป่าอะไรกับเขาเลย แล้วทําไมเขาเอาไปยิงแล้ว..ยิงไม่ออก...”

            ซึ่งหลวงปู่ก็ตอบแบบนิ่ง ๆ ว่า “ก็นึกๆ เอา...” ลุงเปล่งก็ถามต่ออีกว่า “นึกยังไง..??” หลวงปู่ก็ตอบเพิ่มว่า “..ก็นึกในตําแหน่งที่นึก ๆ แล้วมันสําเร็จสิ” ซึ่งก็คือศูนย์กลางกายฐานที่ 7 นั่นเอง...

           และนี่ก็คือสาเหตุหนึ่งที่ทําให้ลุงเปล่งชอบพูดว่า “หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์เกินไป” คือ ดูภายนอกเหมือนหลวงปู่ท่านไม่ทำอะไร แต่จริงๆ ท่านทำงานภายในตลอดเวลา จนเป็นเรื่องปกติธรรมดาของท่าน จึงทําให้ท่านเป็นมหาปูชนียาจารย์ที่ศักดิ์สิทธิ์และมีอานุภาพอันไม่มีประมาณ...

            หรืออีกคราวหนึ่ง ลุงเปล่งและภรรยาได้ไปถวายภัตตาหารเพลกับหลวงปู่และคณะพระภิกษุสงฆ์ที่วัดปากนํ้า และพอหลวงปู่ฉันเสร็จ ท่านก็พูดกับลุงเปล่งว่า.. “เออ..! พระจะให้พรแล้วนะ เดี๋ยวพระพุทธเจ้าท่านเสด็จลงมานี่นะ เอ็ง..จะเอากี่องค์ ..เดี๋ยวให้ท่านมาให้พรเอ็งสักหมื่นองค์ ศักดิ์สิทธิ์นัก..อธิษฐานเอาเลยนะ เอ็งอธิษฐานเอา..ศักดิ์สิทธิ์ เดี๋ยวท่านมาหมื่นองค์” แถมท่านยังยํ้าอีกว่า “มาแน่นอน..!!!”

         พอลุงเปล่งฟังหลวงปู่พูดอยางนี้ ก็เกิดอาการเป็นงง ไม่เข้าใจ และคิดในใจว่า “เราคงบ้าแน่ ท่านพูดอะไรของท่านไม่รูู้..พระพุทธเจ้าจะเสด็จลงมาให้พรได้ยังไง”

          ซึ่งการที่ลุงเปล่งคิดอย่างนี้ เนื่องจากลุงเปล่งไม่เข้าใจเรื่องการทาวิชชา ก็เลยไม่เข้าใจความหมายที่หลวงปู่พูด แต่ถ้าพวกที่ทำวิชชาเป็นได้มาฟัง ก็จะเข้าใจทันทีว่า การอาราธนาพระพุทธเจ้ามาแค่หมื่นองค์ เป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว หรือเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งนอกจากลุงเปล่งจะไม่เข้าใจคําพูดที่หลวงปู่พูดแล้ว ลุงเปล่งก็ยังมีแนวร่วม คือ ภรรยาของลุงเปล่งที่มาด้วยกัน และไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูดเหมือนกัน ซึ่งภรรยาลุงเปล่งบอกว่า “ไม่รู้ว่าหลวงพอท่านพูดอะไร ของท่าน เราก็เลยอธิษฐานส่งเดชไป เพราะตอนนั้น..ไม่คิดว่า..ท่านจะศักดิ์สิทธิ์จริง เพราะหลวงพ่อท่านก็แค่พูดนิ่ง ๆ เฉย ๆ อีกทั้งยังไม่เห็นมีพิธีรีตองอะไร เรากเลยนึกว่าไม่มีอะไร...”

          และจากการที่ลุงเปล่งไม่ค่อยเข้าใจ  และไม่ค่อยเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่นี่เอง ลุงเป่ลงก็เลยไม่คิดที่จะอธิษฐานขออะไรที่มันใหญ่โตมาก  คือ แทนที่ลุงเปล่งจะอธิษฐานขอให้เป็นมหาเศรษฐี ระดับโลก มีกินมีใช้เหลือเฟือ จะได้ไม่ต้องทํามาหากินอีกแล้วแต่กับคิดและอธิษฐานขอแค่ว่า ให้ได้ทํางานอยู่บริษัทบอร์เนียวไปจนกว่าบริษัทจะเจ้ง ซึ่งนั้นก็หมายถึง ลุงเปล่งอยากจะทำงาน ไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากบริษัทบอร์เนียวเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงสั่งมาก  แต่แม้บริษัทบอร์เนียวจะมั่นคงขนาดไหน  แต่สิ่งที่ไม่มั่นคงก็คือ สถานภาพของลุงเปล่ง เพราะลุงเปล่งทะเลาะกับหัวหน้าที่เป็นฝรั่งทุกวัน ท่านก็เลยกลัวว่า จะโดนไล่ออก เพราะคนที่ทะเลาะกับฝรั่งโดนไล่ออกไปกันหลายคนแล้ว คือ ถูกยื่นซองขาวจนซองขาวข้ามหัวไปข้ามหัวมา   ซึ่งลุงเปล่งก็กลัวมากว่าตัวเองจะต้องเป็นรายต่อไป  ...

        สวนคุณป้าที่เป็นภรรยาของลุงเปล่งก็พอกัน.. สมกบเป็นภรรยา ของลุงเปล่งจริง ๆ คือ แทนที่จะอธิษฐานขออะไรใหญ่ ๆ โต ๆ ก็อธิษฐานขอแค่ให้มีตึกสักหลัง แถมยังบอกว่า เอาไม่ต้องใหญ่ ขอหลังเล็ก ๆ ที่พอมีบริเวณสนามหญ้านิดหน่อย มีรั้วแค่นี้ก็พอแล้วและพอลุงเปล่งและภรรยาอธิษฐานเสร็จ หลวงปู่ท่านก็พูดย้ำเพิ่มความมนใจให้อีกว่า “ที่อธิษฐานนี่นะ..สำเร็จทุกอย่าง เอ้า..ให้ตั้งใจรับพร” ซึ่งพอท่านขึ้นยถาฯ ให้พรจนจบ ขณะที่ท่านลุกเดินเข้าโรงงานทําวิชชา ท่านก็ยังหันหน้าไปยํ้าลุงเปล่งอีกว่า “เปล่งเอ๊ย..สิ่งที่เอ็งอธิษฐานน่ะ ..สําเร็จ.!!!..”

       แต่ลุงเปลงก็ไม่ถึงกับเชื่อหลวงปู่ เพราะหลังจากนัั้น ลุงเปล่งก็ยังมากราบเรียนหลวงปู่อยู่ เรื่อยๆ ว่า “หลวงพ่อครับ เขาจะไล่ผมออกแล้วครับ เพราะผมทะเลาะกับฝรั่งหนักขึ้นทุกวัน ทํายังไงดีครับ..?”

           และพอหลวงปู่ฟังดังนั้น ท่านก็บอกว่า “เออ..เดี๋ยวข้าจะฝาก เขาให้” ซึ่งทันทีที่ลุงเปล่งได้ฟังประโยคนี้ ลุงเปล่งก็ยิ่งงงใหญ่เลยและเพื่อให้หายงง จึงรีบถามหลวงปู่กลับว่า “ เขาไหนครับ ??” แต่ท่านก็นิ่งๆ ไม่ยอมตอบอะไร เพราะตอบไปลุงเปล่งก็ไม่รู้เรื่อง

           แต่เรื่องมันก็ไม่จบง่ายอย่างนั้นหรอก เพราะวันต่อ ๆ มาลุงเปล่งก็ร้อนรนมากราบเรียนหลวงปู่ใหม่อีกว่า “หลวงพ่อครับ ๆซองขาวมันใกล้เข้ามาแล้วนะหลวงพ่อ ผมทะเลาะกับฝรั่งหนักเลย”ซึ่งพอหลวงปู่ได้ยิน ท่านก็บอกอีกว่า “เออ..!! ไม่เป็นไรหรอกข้าฝากเขาไว้แล้ว” ซึ่งการที่หลวงปู่ตอบอย่างนี้ ทําให้ลุงเปล่งงงหนักเข้าไปอีกว่า “เขาไหน..?? ใครคือเขา..!!” แต่พอลุงเปล่งพยายามถามหลวงปู่ทีไร ท่านก็ไม่ยอมตอบสักทีก็เลยทำให้ลุงเปล่งนึกถามตัวเองในใจว่า “เขานี่ คือ พวกอธิบดง..อธิบดีหรือปลัดกระทรง..กระทรวงอะไรรึเปล่า”

          ต่อมาจนกระทงหลวงปู่มรณภาพไปแล้ว ลุงเปล่งก็ยังไม่รู้เลยว่า “เขา” ที่หลวงปู่ว่า คือ ใคร แต่ตอนหลังลุงเปล่งมารู้คําเฉลยว่าเขา..คือใคร ก็ตอนที่ได้มากราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยและคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์  ขนนกยูง และหลังจากรู้แล้ว ลุงเปลงก็เรียนถามคุณยายอาจารย์ฯ ใหญ่เลยว่า “แลวทำไมตอนนั้นหลวงปู่ท่านไม่บอกล่ะ ??” คุณยายท่านก็ตอบกลับว่า “ถ้าบอกไปตอนนั้น..คุณก็ไม่เชื่อ..!!!”

           ขอย้อนกลับมาเรื่องที่ลุงเปล่งทะเลาะกับฝรั่งต่อ..เพราะเรื่องนี้มันแปลกมาก อีกทั้งยังน่าอัศจรรย์ใจสุด ๆ คือ หลังจากที่หลวงปู่ฝากเขาไว้แล้ว ไม่ว่าลุงเปล่งจะทะเลาะกับนายฝรั่งมากขนาดไหนก็ไม่โดนไล่ออกสักที ทั้ง ๆ พวกที่ทะเลาะกับฝรั่งน้อยกว่าลุงเปล่งตั้งเยอะ กลับถูกยื่นซองขาวให้ออกกันไปหมดแล้ว

          และสุดท้าย..ก็เป็นไปตามที่ลุงเปล่งอธิษฐานไว้จริง ๆ คือได้ทํางานอยู่ที่บริษัทบอร์เนียวนานสมใจอยาก  เพราะนานจนกระทั่งบริษัทบอร์เนียวเปลี่ยนเจ้าของไปจริง ๆ ส่วนคุณป้าที่เป็นภรรยาของลุงเปล่งก็เช่นกัน คือ สุดท้ายก็ได้บ้านตกหลังเล็ก ๆ มีสนามหญาหน่อย ๆจริง ๆ อยู่แถวเทเวศร์ซึ่งคุณป้าก็พูดว่า “หากรู้ว่าหลวงปู่ศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้.. รู้งี้..อธิษฐานขอบ้านให้มันใหญ่ๆโต ๆไปเลยดีกว่า...”

           สวนเรื่องที่น่าทึ่งอีกเรื่องหนึ่ง เกิดขึ้นตอนที่ลุงเปล่งพาภรรยามาถวายภัตตาหารเพลที่วัดปากนํ้า ซึ่งพอเลี้ยงพระเสร็จ หลวงปู่ท่านก็เห็นในที่ของท่านว่า จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับภรรยาของลุงเปล่ง ก็เลยทําให้หลวงปู่บอกภรรยาลุงเปล่งว่า “เดี๋ยวค่อยเดี๋ยว..อย่าเพิ่งไปไหน .!!!”

            จากนั้นหลวงปู่ท่านก็หายเข้าไปในโรงงานทําวิชชาประมาณครึ่งชั่วโมง พอออกมา ท่านกบอกว่า “ต่ออายให้แล้ว!!!” ซึ่งพอภรรยาลุงเปล่งฟังดังนั้น ท่านก็งง และราพึงว่าา “เอ๊ะ..เรากแข็งแรงดีไม่ได้เจ็บได้ป่วยอะไรเลย ทําไมหลวงพ่อมาบอกว่า ต่ออายุให้เรียบร้อยแล้ว!!!” ซึ่งต่อมาหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้คือภรรยาลุงเปล่งโดนหมาบ้ากัด ทําเอาเกือบตาย แต่ในที่สุด..ก็รอดจึงทําให้ภรรยาลุงเปล่งถึงกับบอกว่า “นี่..ถ้าหลวงปู่ไม่ต่ออายุไว้สงสัยตายไปแล้ว!!!”

           ..และนี่คือความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ ที่ลุงเปล่งกับภรรยาได้ประจักษ์กับตวเอง  ซึ่งเปนเรื่องมหัศจรรย์ เหนือความคาดหมาย ทําให้ท่านทั้งสองเกิดอาการคาดไม่ถึงแทบทกเรื่อง จนท่านทั้งสองชอบพูดเน้น ๆ ยํ้า ๆ อยู่บ่อย ๆ ว่า หลวงพ่อท่าน..ศักดิ์สิทธิ์เกินไป!!!

 

 


จากหนังสือ อานุภาพหลวงปู่..ยุคต้นวิชชา

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0011485854784648 Mins