ขยะทองคำ 

วันที่ 28 มีค. พ.ศ.2563

ขยะทองคำ 

                กาลครั้งหนึ่ง ไม่นานนักกลางดึกคืนหนึ่ง ณ กองขยะเเห่งหนึ่ง
 

(ลูก)พี่ใหญ่ : พ่อบุญธรรมทำไมเเถวนี้ถึงมีเสียงเด็กร้องได้ รู้สึกเสียงจะมาจากกองขยะนู่นเเน่ะ


พ่อบุญธรรม : ก็คงมีคนใครเอาเด็กมาทิ้ง เพราะเลี้ยงไม่ไหวนั่นเเหละ อย่าไปสนใจเลย


(ลูก)พี่ใหญ่ : เเต่ถ้าเราปล่อยไว้เช่นนี้ เด็กคนนี้จะไม่ตายหรอกหรือ


พ่อบุญธรรม : จะสนทำไม เรื่องของคนอื่น ลำพังตัวเราเอง ก็จะเอาตัวไม่รอดอยู่เเล้ว


(ลูก)พี่ใหญ่ : ทำไม ท่านไม่เก็บไปเลี้ยง เหมือนกับที่ท่านเก็บข้ามาเลี้ยงล่ะครับ ท่านจะได้มีคนคอยช่วยงานท่านเพิ่มขึ้นอย่างไรล่ะ


พ่อบุญธรรม :โอ๊ย! จะเอามาเลี้ยงทำไมให้เปลืองข้าว ต่อให้ทำงานได้ก็ไม่รู้จะคุ้มหรือเปล่า เดี๋ยวนี้ยิ่งข้าวยากหมากเเพงอยู่ด้วย


(ลูก)พี่ใหญ่ : อย่างนั้นข้าจะกินข้าวน้อยลงหน่อยก็ได้ ท่านเก็บเด็กคนนี้ไปเลี้ยงด้วยเถอะนะครับ ข้าจะช่วยท่านเลี้ยง ช่วยด้วยอีกเเรงเอง


พ่อบุญธรรม : เออๆ ก็ได้ เจ้ารับปากเเล้วนะ หากทำไม่ได้อย่างที่พูดล่ะก็ ข้าจะนำกลับมาทิ้งไว้เหมือนเดิม เข้าใจไหม


(ลูก)พี่ใหญ่ : เข้าใจครับ


                 พ่อบุญธรรมที่เก็บทารกมาเลี้ยงนั้น ทำอาชีพเป็นพวกลักเล็กขโมยน้อย ฉกชิง วิ่งราว เเละล้วงกระเป๋า เค้าจึงสอนให้เด็กทั้งสองเป็นลูกมือ คอยเป็นนกต่อบ้าง ดูต้นทางบ้าง สารพัดลูกไม้ ตามวิถีทางของมิจฉาชีพ เด็กทั้งสองจึงเติบโตมา ในสิ่งเเวดล้อมที่คนทั่วไป เรียกว่า ขยะสังคม

 

(ลูก)น้องเล็ก : พ่อบุญธรรม วันนี้ข้ากับพี่ใหญ่ ไปวิ่งราวกระเป๋า ได้เงินมาเยอะเลยครับ


พ่อบุญธรรม : ดีมากพวกเจ้าจำไว้ เราเป็นพวกที่ไม่มีใครต้องการ ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเห็นใจใคร  คนที่เป็นเหยื่อของเรา คือพวกที่โง่ ไม่ทันคนเอง เข้าใจไหม


(ลูก)น้องเล็ก : เข้าใจครับ


              เมื่อพ่อบุญธรรมของพวกเค้า ตายจากไป ทั้งสองก็ได้ดำเนินชีวิตในเเนวทางมิจฉาชีพนั้นต่อ  หลายต่อหลายครั้งที่ถูกจับได้จนต้องติดคุกติดตาราง เเต่พอพ้นโทษก็กลับมาทำผิดเหมือนเดิมอีก ใช้ชีวิตเข้าออกคุกวนเวียนอยู่อย่างนี้ โดยไม่ได้รู้สึกรู้สา เพราะนี่คือวิถีทางที่พวกเขาทำมาตลอดอย่างชาชิน จนไม่ได้สำนึกว่า เป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด ไปเสียเเล้ว 

 

น้องเล็ก : วันนี้ข้าโชคไม่ดี โดนจับได้อีกเเล้ว เดี๋ยวพ้นโทษ ค่อยเจอกันอีกนะพี่ใหญ่


พี่ใหญ่ : เออ ถือซะว่า ได้เปลี่ยนบรรยากาศ ไปกินข้าวฟรี ฮ่าๆๆๆ


ผู้พิพากษา : ล้วงกระเป๋าอีกเเล้วหรือ จำคุก 6 เดือน ปิดศาล!!

 

ทหารผู้คุม : 6 เดือนผ่านไป เอาล่ะ เจ้าพ้นโทษเเล้ว  ออกไปอย่าทำผิดซ้ำอีกล่ะ  ครั้งต่อไป  ถ้าข้าจับเจ้าได้อีกล่ะก็ ข้าว่า ข้าจะตัดมือเจ้าเสียก่อน ถึงจะเอาเข้าคุก


น้องเล็ก : โอ๊ย ชอบขู่ เสียจริง  ถ้าท่านทำอย่างนั้น ท่านก็จะมีความผิดด้วย  คิดว่าข้าไม่รู้กฎหมาย หรืออย่างไร


ทหารผู้คุม : พวกขยะสังคม อย่างไรก็เป็นขยะอยู่วันยังค่ำ


               เมื่อชายหนุ่มออกจากคุก เขาก็ได้เดินไปที่นั่งพักริมทาง เพื่อรอให้พี่ใหญ่ของเขามารับตามที่ได้นัดเเนะกันไว้ ซึ่งที่นั่นก็ได้มีนักพรตผู้หนึ่ง นั่งอยู่ก่อนเเล้ว เพื่อรอขึ้นรถม้า นักพรตผู้นั้นคือ เฉินกุ้ยเซียน นั่นเอง

             เมื่อชายหนุ่มเห็นเฉินกุ้ยเซียน ก็ได้เอ่ยถามว่า 

น้องเล็ก : ท่านนักพรต ท่านนั่งอยู่ที่นี่ ท่านเห็นพี่ใหญ่ของข้า ที่เป็นชายท่าทางกำยำ ล่ำสัน มารอข้าบ้างหรือไม่


เฉินกุ้ยเซียน : อือ  ตั้งเเต่ข้ามาที่นี่ ก็ยังไม่เห็นผู้ใดเลย 


น้องเล็ก :  ฮื้อ ถ้าอย่างนั้น เเสดงว่าคราวนี้ ข้าได้ปล่อยตัวเร็วกว่าทุกครั้งสินะ


เฉินกุ้ยเซียน : เจ้าพูดเช่นนี้ เเสดงว่า เข้าออกคุกอยู่บ่อยๆ อย่างนั้นรึ


น้องเล็ก : ถูกต้องเเล้ว คุกคือบ้านหลังที่สองของข้า ฮ่า ๆๆๆ


เฉินกุ้ยเซียน : คุกเป็นสถานที่จองจำ ให้คนได้สำนึกผิด เหตุใดเจ้าจึงได้ถือว่า เป็นเรื่องธรรมดาเช่นนั้นล่ะ

 

น้องเล็ก :  สำนึกไปจะได้ประโยชน์อะไร คนอย่างพวกข้า มีเเต่คนเรียก ขยะสังคม ขยะก็คือขยะ จะให้กลับไปเป็นสิ่งที่มีค่าไปได้อย่างไร

 

               ขณะนั้นก็ได้มีรถม้าผ่านมาพอดี เฉินกุ้ยเซียนจึงได้เดินไปขึ้นรถ ก่อนที่รถม้าจะออกไป เฉินกุ้ยเซียนก็ได้เอ่ยทิ้งท้ายขึ้นมาว่า 

 

เฉินกุ้ยเซียน :  เจ้าเข้าใจผิดเเล้ว หากขยะเป็นสิ่งไร้ค่า นกกาหมาเเมวก็คงไม่ชอบไปคุ้ยเขี่ยหรอก ขยะไม่ใช่สิ่งไร้ค่า มีเเต่คนที่ไม่ยอมมองเห็นคุณค่าของมันเอง

 

เมื่อเฉินกุ้ยเซียนจากไปเเล้ว พี่ใหญ่ของชายหนุ่มก็กลับมารับพอดี

 

พี่ใหญ่ : อ้าว คราวนี้ได้ปล่อยตัวเร็วหรือ 

น้องเล็ก : ใช่ครับ พี่ใหญ่

พี่ใหญ่ : เจ้าถูกปล่อยตัวก็ดีเเล้ว พอดีข้ามีงานใหม่ให้ช่วย งานสบายกว่าเดิมเยอะ

น้องเล็ก : งานอะไรหรือพี่ใหญ่ 

พี่ใหญ่ : รับจ้างทวงหนี้น่ะสิ เจ้าพร้อมทำงานเลยไหมล่ะ

น้องเล็ก : พร้อมสิ ข้าพักในคุกมาเยอะเเล้ว

 

เเละเเล้วพวกเขาก็ได้เริ่มงานทวงหนี้ที่ว่าไว้ทันที 

 

พี่ใหญ่ : ว่าไงเถ้าเเก่ หนี้ที่ค้างไว้ ถึงกำหนดจ่ายเเล้วนะ

เถ้าเเก่ : วันนี้ข้ายังไม่มีเลย ขอผัดผ่อนเป็นงวดหน้าเถิด  

พี่ใหญ่ : ไม่ได้ ไม่ได้ ถ้าไม่มีจ่าย ต้องพังร้าน นี่คือกฎ น้องเล็กจัดการ

เถ้าเเก่ :  เดี๋ยวๆๆ  ข้ามีเงินเเล้ว อย่าพังร้านข้าเลย

พี่ใหญ่ : เออ รู้จักให้ง่ายๆ ตั้งเเต่เเรกก็หมดเรื่อง  ไป! เราไปร้านอื่นต่อ

 

เเละเเล้วทั้งสองก็ได้เดินต่อไป ในร้านน้ำเต้าหู้ ของหญิงสาวคนหนึ่ง เพื่อไปทวงเงินเช่นเดิม  ว่าอย่างไรน้องสาว หนี้ที่ค้างไว้ เตรียมเงินไว้จ่ายเเล้วหรือยัง

 

หญิงสาว : ข้าเพิ่งเปิดร้านใหม่ คนยังไม่ค่อยรู้จัก ยังขายของไม่ดีเลย ขอผัดผ่อนไปอีกสักหน่อยได้หรือไม่

พี่ใหญ่ :  อีกเเล้ว ถ้าไม่มีจ่าย ก็ต้องพังร้าน ตามกฎ

หญิงสาว : โปรดเห็นใจข้าด้วยเถิด ข้าไม่มีเงินเลยจริงๆ

พี่ใหญ่ : พวกติดหนี้เป็นอย่างนี้ทุกคน ชอบปั้นเรื่อง ขอความเห็นใจ น้องเล็กจัดการ

หญิงสาว : ได้โปรดเถิด พวกท่าน

น้องเล็ก : เดี๋ยวก่อนที่จะพัง ข้าขอกินสักถ้วยก่อน เสียดายของ กินเสร็จเเล้ว พังได้!

พี่ใหญ่ : เอาล่ะ ข้าให้เวลาเจ้าอีก 3 วัน เตรียมเงินไว้ให้พร้อม มิเช่นนั้น จะเจอหนักกว่านี้

 

               เเล้วพวกเขา ก็เดินจากไปอย่างไม่สนใจ ไยดี  หลังจากเสร็จงาน พวกเขาก็พากันไปดื่มกินกัน อย่างสำราญใจ

พี่ใหญ่ : กินให้เต็มอิ่มเลยนะน้องรัก ถือว่าวันนี้ฉลองออกจากคุก ฮ่าๆๆๆ

             หลังจากกินเสร็จเเล้ว 

พี่ใหญ่ : วันนี้มีงานเเข่งชกมวยในเมือง ไปดูกันไหมล่ะ

น้องเล็ก : ไม่ล่ะ พี่ใหญ่ วันนี้ข้าเพลีย เพิ่งออกจากคุกมา ยังปรับตัวไม่ค่อยได้  ข้าขอกลับบ้านไปนอนก่อนก็เเล้วกัน

พี่ใหญ่ : ตามใจ

 

                ชายหนุ่มจึงเดินทางกลับบ้าน เเต่ในระหว่างทางเขาก็ได้เดินทางผ่านตลาด เห็นหญิงสาวคนเมื่อเช้า ยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม เธอพยายามที่จะซ่อมเเซมโต๊ะที่เขาได้ทำพังไปเมื่อเช้า อย่างทุลักทุเล ชายหนุ่มนั้น เเม้เขาจะเคยสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนมามากมาย เเต่ก็ไม่เคยได้เห็นเลยว่า ผลจากการกระทำของเขานั้น ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ร้อนมากเพียงใด เขาจึงได้เดินเข้าไปถาม ด้วยความเเปลกใจว่า 

 

น้องเล็ก : เเม่นาง จะมืดค่ำอยู่เเล้ว ทำไมเจ้า ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง เสียล่ะ ของเสียก็เสียไปสิ

หญิงสาว : พรุ่งนี้ข้าต้องเปิดร้านขายของให้ได้ มิเช่นนั้น ข้าคงไม่มีเงินไปใช้หนี้ อย่างเเน่นอน

น้องเล็ก : อ้าว รู้ว่าไม่มีปัญญาจ่ายเเล้วไปกู้เงินเขามาทำไมล่ะ

หญิงสาว : ข้าจำเป็นต้องกู้มาเพื่อเปิดร้านเเห่งนี้ นี่ล่ะ คิดว่า ขายของได้ก็จะมีเงินจ่ายคืน เเต่ก็กลับขายไม่ดีอย่างที่เหมือนตั้งใจไว้ เลยต้องเป็นเช่นนี้

น้องเล็ก : เฮ้อ นี่เเหละที่เขาเรียกว่า คิดอะไรไม่รอบคอบ เอาล่ะๆส่งฆ้อนมา ข้าจะช่วยซ่อมโต๊ะให้เอง มือไม้อ่อน อย่างเจ้า ทำถึงเช้าก็คงไม่เสร็จหรอก

 

ชายหนุ่มจึงอาสาซ่อมโต๊ะที่เขาทำพัง ให้เเก่หญิงสาว 

 

น้องเล็ก : เอาล่ะ เสร็จเเล้ว  อีก 3 วัน อย่าให้ข้าต้องกลับมาพังมันอีกนะ  ว่าเเต่คิดลู่ทางหาเงินได้หรือยังล่ะ

หญิงสาว : ข้ายังคิดหาหนทางอื่นไม่ออกเลย เหตุใดจึงไม่ค่อยมีคนซื้อก็ไม่รู้

น้องเล็ก : อืม น้ำเต้าหู้ของเจ้า ข้าได้ลองกินดูเมื่อเช้า ก็อร่อยดีนี่นา เเสดงว่ามีบางอย่างที่คนต้องการ เเต่เจ้ากลับไม่มีเป็นเเน่ อย่างไรก็คิดออกให้ทันเวลาล่ะ  ถ้าอีก 3 วัน เจ้าไม่มีเงินจ่าย ข้าคงต้องพังร้านเจ้าอีกตามกฎ 

 

                ว่าเเล้วชายหนุ่ม ก็ได้เดินจากไป เเต่ก่อนที่ชายหนุ่ม จะได้เดินออกไปนั้น หญิงสาวก็ได้เอ่ยตามหลังมาว่า

หญิงสาว :  ขอบคุณท่านมาก ที่ได้มีน้ำใจช่วยเหลือข้า ข้านึกว่า คนที่ทำอาชีพอย่างท่าน จะเป็นคนไร้น้ำใจเสียอีก ข้าจะพยายามหาเงินมาใช้หนี้ให้พวกท่านให้ได้นะ

               ชายหนุ่มเดินไป ก็พลางคิด อยู่ในใจตลอดทางว่า นี่ข้าเป็นคนมีน้ำใจอย่างนั้นหรือ ตั้งเเต่เกิดมาเพิ่งมีคนพูดกับข้าเช่นนี้เป็นครั้งเเรก

 

 

              ชายหนุ่มได้เดินต่อไป เเต่ระหว่างทางนั้นก็ได้บังเอิญพบกับนักพรตคนเดิม นั่งอยู่บนรถม้า เพื่อรอให้รถม้าออกพอดี   ด้วยความสงสัยในการสนทนาเมื่อเช้า เขาจึงได้เดินเข้าไปหานักพรตผู้นั้น เเล้วเอ่ยถามว่า

น้องเล็ก : ท่านนักพรตเมื่อเช้าที่ท่านบอกว่า ขยะก็สามารถมีคุณค่าได้ เเสดงว่า ขยะสังคมอย่างข้าก็ยังมีโอกาสมีคุณค่าได้ เหมือนเช่นคนอื่นอย่างนั้นหรือ

เฉินกุ้ยเซียน :  ถูกต้องเเล้ว 

น้องเล็ก : ไม่เห็นจะเป็นอย่างนั้นเลย วันนี้มีผู้หญิงคนหนึ่ง นางทำน้ำเต้าหู้ได้อร่อย เเต่กลับไม่มีคนซื้อ เเม้ว่าข้าอยากจะช่วยเหลือนาง เเต่ข้าก็กลับทำไม่ได้เพราะข้ามันเป็นเพียงเเค่ขยะสังคม คงทำอะไรไม่ได้ คงทำได้เพียงเเค่มองดูเฉยๆ เท่านั้น

 

           ขณะนั้นที่รถม้า เฉินกุ้ยเซียน นั่งอยู่ได้ออกตัวพอดี เฉินกุ้ยเซียนได้เอ่ยทิ้งท้ายด้วยประโยคปริศนาเช่นเดิมว่า

 

เฉินกุ้ยเซียน :  ขยะไม่ใช่สิ่งไร้ค่า มีเเต่คนที่ไม่ยอมเห็นคุณค่าของมันเอง

 

              ชายหนุ่มได้ฟัง สิ่งที่เฉินกุ้ยเซียนกล่าว ก็ยิ่งสงสัยขึ้นไปอีก เขาจึงคิดขึ้นในใจว่า นักพรตนั่นพูดอะไรไม่รู้เรื่อง   เอ๊ะ! หรือว่านักพรตนั่นกำลังบอกใบ้อะไรบางอย่าง หรือว่ากองขยะจะมีสิ่งมีค่าซ่อนอยู่

 

              เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มจึงรีบเดินทางไปที่กองขยะที่ท้ายตลาดทันที เมื่อไปถึงเขาก็ได้คุ้ยเขี่ยกองขยะออกมาดู เพื่อหาว่ามีของมีค่าอะไรซ่อนอยู่ดังที่นักพรตได้บอกไว้หรือไม่ เเต่ก็ไม่พบสิ่งมีค่าใดๆเลย

น้องเล็ก : ไหนล่ะสิ่งมีค่า สงสัยจะโดนนักพรตนั่นหลอกให้เหนื่อยเปล่าเสียเเล้ว

เเต่ทันใดนั้น เขาก็ได้สังเกตเห็นว่า ในกองขยะนั้นได้มีขวดเเละไห อยู่มากมาย 

น้องเล็ก : เอ๊ะ ทำไมเดี๋ยวนี้ขยะจึงมีพวกขวด ไห อยู่เยอะเเยะนะ เเต่ก่อนไม่ค่อยเห็นมีนี่นา อ๋อ ข้านึกออกเเล้ว เดี๋ยวนี้คนนิยมซื้อของกลับไปกินบ้านหรือกลับไปกินที่อื่นนั่นเอง ร้านของเเม่นางนั่น มีเเต่ให้นั่งกินที่ร้าน จึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของคนซื้อได้เพียงพอนั่นเอง  พรุ่งนี้ข้าต้องรีบไปบอกนางเสียเเล้ว

 

รุ่งเช้า ชายหนุ่มก็ได้เดินกลับไปหาหญิงสาวที่ร้านขายน้ำเต้าหู้อีกครั้ง 


ชายหนุ่ม ได้ตัดเอากระบอกไม้ไผ่ติดตัวไปด้วย เพื่อให้หญิงสาวเอาไปใส่น้ำเต้าหู้ขาย 
น้องเล็ก : เเม่นางข้าคิดออกเเล้วล่ะว่า เจ้าต้องเพิ่มช่องทางการขาย เเบบให้ลูกค้าซื้อกลับไปกินที่บ้านได้ด้วย

เเล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ

 
ลูกค้า : เดี๋ยวนี้ห่อกลับบ้านได้ด้วยหรือ ดีเลย ข้ากำลังรีบอยู่พอดี งั้นเอาให้ข้ากระบอกหนึ่งก็เเล้วกัน


วันนั้นลูกค้าต่างให้การตอบรับเป็นอย่างดี เเม้จะไม่มากมายนัก เเต่ก็ดีขึ้นกว่าเดิม

 

เเละเมื่อกำหนดจ่ายหนี้มาถึง 

พี่ใหญ่ : ว่าอย่างไรน้องสาว วันนี้มีเงินจ่ายหนี้หรือยัง คงไม่ต้องให้พังร้านอีกนะ

หญิงสาว : ข้าเตรียมเงินไว้ให้เเล้ว เเต่วันนี้ข้าขอเเค่จ่ายขัดดอกเบี้ยไปก่อนได้หรือไม่

พี่ใหญ่ : อือ ก็ยังดี อย่างนั้นเดือนหน้า ข้าจะมาเก็บใหม่ อย่าลืมเตรียมเงินไว้ล่ะ  เอาล่ะ ! พวกเรากลับ  

เเล้วชายทั้งสองก็เดินจากไป

 

 

วันต่อมา ชายหนุ่มก็ได้เเวะมาดูหญิงสาวขายน้ำเต้าหู้อีกเช่นเคย

น้องเล็ก :  น้ำเต้าหู้ของเจ้า ก็ขายดีอยู่หรอก เเต่ขายได้เท่านี้คงพอทำได้เเค่จ่ายดอกเบี้ยเท่านั้น ข้าว่าเจ้าน่าจะหาอย่างอื่นมาขายเพิ่มอีกดีกว่านะ จะได้มีรายได้เพิ่มขึ้น นอกจากน้ำเต้าหู้เเล้ว เจ้ายังทำอย่างอื่นเป็นอีกหรือไม่

หญิงสาว : จริงๆข้าก็ทำปาท่องโก๋เป็นอยู่นะ เเต่ข้าคนเดียวให้ทำทั้งน้ำเต้าหู้เเละปาท่องโก๋คงทำไม่ไหว ข้าจึงตัดสินใจเเค่ขายน้ำเต้าหู้เพียงอย่างเดียว

น้องเล็ก : เอาอย่างนี้ไหมล่ะ  เจ้าสอนให้ข้าทำสิ ข้าจะช่วยเจ้าทำขายไปก่อน เดี๋ยวถ้าขายดีเเล้วเจ้าค่อยไปจ้างคนอื่นมาทำเเทนข้าก็เเล้วกัน

หญิงสาว : อย่างนั้นก็ขอบคุณท่านมาก

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น พวกเขาก็ได้ดำเนินการ ตามที่คิดไว้ทันที  หญิงสาวทำน้ำเต้าหู้ ส่วนชายหนุ่มก็ช่วยทำปาท่องโก๋ ให้หญิงสาวขายเเล้วพวกเขาก็ไม่ลืมที่จะพับถุงกระดาษมาใส่ปาท่องโก๋ ให้ลูกค้าซื้อกลับไปด้วย ซึ่งลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี เเต่อย่างไรก็ตาม ยอดขายก็ยังไม่มากพออยู่ดี

น้องเล็ก : นี่ก็ขายมาหลายวันเเล้ว  ขายก็ขายได้อยู่หรอก เเต่ยอดขายเท่านี้ คงไม่พอใช้หนี้ได้อย่างเเน่นอน

หญิงสาว : เราเพิ่งเปิดตัวสินค้าใหม่ คนยังไม่รู้จัก ข้าว่าขายได้เท่านี้ ก็ดีมากเเล้ว

น้องเล็ก : มันก็จริง ทำอย่างไรคนจึงจะสนใจสินค้าของเราได้โดยเร็วนะ  

เฮ้อ ! ข้าว่าข้าลองไปหานักพรตคนเดิมดีกว่า บางทีท่านอาจจะมีคำชี้เเนะอีกก็ได้

 

            เมื่อคิดได้ เย็นวันนั้น ชายหนุ่มจึงไปดักรอนักพรตที่พักริมทางในเวลาเดิม เเล้วก็ได้พบกับนักพรตอย่างที่ตั้งใจไว้  ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปถามว่า  

 

น้องเล็ก : ท่านนักพรตสิ่งที่ท่านชี้เเนะข้าในวันนั้น ช่างล้ำลึกยิ่งนัก ท่านพอจะให้คำชี้เเนะข้าน้อยอีกอย่างได้หรือไม่

เฉินกุ้ยเซียน :  มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ อันใดอย่างนั้นหรือ

เเละเเล้วชายหนุ่มก็ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ เฉินกุ้ยเซียน ฟัง...
น้องเล็ก : ข้าน้อยก็อุตส่าห์ทำถุงกระดาษให้ลูกค้าห่อกลับไปบ้านได้ เเต่ก็ขายได้ไม่มากอย่างที่คิดเลย พอจะมีหนทางให้คนสนใจสินค้าของข้าน้อยโดยเร็วได้หรือไม่

เฉินกุ้ยเซียน :  ถ้าไม่รู้จะทำอย่างไร ก็จงเอาถุงกระดาษเหล่านั้นไปทิ้งถังขยะ

เเล้วรถม้าที่เฉินกุ้ยเซียน นั่งอยู่ ก็เคลื่อนตัวออกไปพอดี  ทิ้งให้ชายหนุ่มฉงนงงงวยเป็นอย่างมาก

น้องเล็ก : นักพรตเเนะนำอะไรเเปลกๆอีกเเล้ว ครั้งที่เเล้วคงเเค่บังเอิญเเค่นั้นเเหละมั้ง เเต่เราก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเเล้ว จะลองเชื่อๆดูอีกหนก็เเล้วกัน

 

เเละเเล้วชายหนุ่มก็นำถุงกระดาษที่พับไว้จำนวนหนึ่ง ไปทิ้งที่ถังขยะดังที่เฉินกุ้ยเซียนได้ชี้เเนะ อย่างกังขา 

น้องเล็ก : เอาเเต่ถุงที่พับเสีย ที่พับไม่ได้รูปก็เเล้วกัน เผื่อไม่ได้เรื่องจะได้ไม่เสียของ

 

เเละเเล้ว..เช้าวันต่อมา ชายหนุ่มก็มาช่วยหญิงสาวขายปาท่องโก๋อีกเช่นเคย

น้องเล็ก : ดูเเล้วก็ไม่มีวี่เเววอะไรจะขายดีขึ้นเลย ข้านึกเเล้วเชียวว่าต้องโดนหลอก

 

เเต่เเล้วปรากฎว่า ...

"นั่นไงร้านปาท่องโก๋ที่พวกเราตามหา" 

 

วันนี้มีคนมาซื้อมากเป็นพิเศษด้วยความเเปลกใจ

ชายหนุ่มจึงได้ถามลูกค้าคนหนึ่งว่า..

น้องเล็ก : พี่ชายเหตุใดวันนี้พวกท่านถึงได้อยากกินปาท่องโก๋ที่ร้านนี้ขึ้นมาได้ล่ะ

ลูกค้า 1 : ก็เมื่อวานตอนเย็น ขณะที่พวกข้ากำลังเอาขยะไปทิ้งน่ะสิ ก็เหลือบไปเห็นถุงขยะร้านนี้อยู่เต็มถังขยะเลย   นี่ถุงกระดาษอะไรเนี่ย เยอะเเยะมีอยู่เต็มถังขยะเลย

ลูกค้า 2 : อ๋อ นี่มันถุงกระดาษของร้านปาท่องโก๋ของร้านท้ายตลาดน่ะสิ รู้สึกเพิ่งจะทำขายนะ 

ลูกค้า 1 : ข้าก็ยังไม่เคยได้ลองชิมเลย หืม ถุงกระดาษเต็มถังขยะขนาดนี้ ท่าทางจะขายดีนะ พรุ่งนี้เราลองไปชิมกันดีไหม

ลูกค้า 2 : อือ ดีๆ ข้าก็อยากลองชิมดูเหมือนกัน ...เรื่องของเรื่องก็เป็นเเบบนี้เเหละ เเล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆด้วย

 

เมื่อลูกค้าได้ลองชิม ปาท่องโก๋ของพวกเขาเเล้วก็ติดใจ เเละเเวะเวียนมาอุดหนุนอยู่ไม่ขาด 

 

เเละเเล้วก็ถึงกำหนดที่จะต้องจ่ายหนี้อีกครั้ง

พี่ใหญ่ : เอาล่ะ วันนี้ว่าไง ..วันนี้มีเงินมาจ่ายหนี้หรือยัง

หญิงสาว :  ข้าเตรียมไว้เเล้ว ทั้งหมดเลย ทั้งต้นทั้งดอก

พี่ใหญ่ : โอ้โห จ่ายหมดเลยหรือ ทั้งต้นทั้งดอกเลยหรือ  หาเงินเก่งจังเลยน้องสาว  น้องเล็กเจ้ากลับไปเอาสัญญามาสิ 

น้องเล็ก : ข้าเตรียมมาเรียบร้อยเเล้วครับพี่ใหญ่ 

พี่ใหญ่ : เอ้า ทำไมรู้งานจัง

 

เเละเเล้ววันต่อมา ชายหนุ่มก็กลับมาหาหญิงสาวอีกครั้ง 

น้องเล็ก : เอาล่ะ เมื่อเจ้าใช้หนี้จนหมดเเล้ว ต่อไปข้าคงเลิกช่วยเจ้าเเล้วล่ะนะ

หญิงสาว : ทำไม ท่านไม่ทำต่อไปเลยล่ะ ข้ายกกิจการให้ขายปาท่องโก๋ ให้กับท่านเลยก็ได้นะ ข้าขายเเต่น้ำเต้าหู้ก็พอเเล้ว

น้องเล็ก : ไม่ล่ะ คนอย่างข้าจะไม่เหมาะที่จะทำงานเเบบนี้หรอก เพราะคนอย่างข้า มันเป็นขยะสังคม ขยะจะกลายเป็นของดีไปไม่ได้หรอก

หญิงสาว : เหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนั้น  ที่ข้าผ่านพ้นวิกฤตมาได้ เพราะได้ท่านคอยช่วยเหลือทั้งสิ้น หากท่านจะเป็นคนดีก็ย่อมทำได้อย่างเเน่นอน

น้องเล็ก : ที่ผ่านมามันก็เเค่ความบังเอิญเท่านั้นเอง บังเอิญว่าข้าเเค่เห็นว่า ในถังขยะมีเเต่เศษขวดเศษไห จึงรู้ว่าคนเดี๋ยวนี้ชอบซื้อของกลับไปกินบ้าง เเละบังเอิญคนเห็นถุงพับที่ข้าไปทิ้งขยะจึงเกิดความสนใจ อยากลองมากินที่ร้านนะ ก็เเค่นั้นเอง  

พี่ใหญ่ : เเต่นั่นก็เเสดงให้เห็นเเล้วว่า เเม้เเต่ขยะก็สามารถกลับมามีประโยชน์ได้ มิใช่หรือ

 

...ดุจดั่งสายลมเเห่งปัญญาได้พัดผ่านเข้ามา...

 

น้องเล็ก : พี่ใหญ่นี่ท่านรู้เรื่องเเล้วอย่างนั้นหรือ 

พี่ใหญ่ : น้องเล็ก ข้าว่าหากเจ้ามีลู่ทางชีวิตที่ดีกว่า ที่พวกเราทำอยู่นี่ ก็ไปทำเถิด เพราะงานที่พวกเราทำอยู่นี่มีเเต่คนเกียจชัง หาความเจริญไม่ได้ ไม่รู้ว่าวันไหนจะโดนจับอีก หากมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าก็ควรไปซะ  

น้องเล็ก : เเล้วท่านล่ะ ท่านจะทำอย่างไรต่อไป

พี่ใหญ่ : ข้าก็อยากถอนตัวออกจากวงการนี้อยู่เหมือนกัน เเต่ข้าอยู่ในวงการนี้มานานกว่าเจ้า ศัตรูก็เยอะ คนเกียจก็เเยะ คงอีกนานต้องอีกสักระยะถึงจะเป็นไปได้

 

ทันใดนั้น ก็ได้มีเสียงชายคนหนึ่ง ตะโกนมาเเต่ไกลว่า

"นั่นไง เจ้าคนที่วางยานักมวยของสำนักเรา ให้ชกเเพ้ ไปจัดการมันเลย "

พี่ใหญ่ : อุ้ยนั่นไง โจทย์มาเเล้ว ข้าว่าข้าจะหลบไปอยู่ป่าสักพัก หากมีโอกาสคงได้กลับมาเจอกันอีกนะ

 

น้องเล็ก : เเม่นางเจ้ายังอยากให้น้ำเต้าหู้ มาอยู่คู่กับปาท่องโก๋  อยู่อีกหรือไม่ 

หญิงสาว : อยากสิท่าน

เเละเเล้ว...ชายหนุ่มผู้ซึ่งไม่เคยคิดว่า ตัวเองมีคุณค่า ก็กลับตัว กลับใจ หันมาเป็นคนดี หันมาสร้างเนื้อสร้างตัว ในหนทางที่สุจริต นับเเต่นั้นมา 

 

ข้อคิดจากเรื่องนี้

                   ไม่มีสิ่งใดที่ไร้คุณค่า ทุกสิ่งล้วนมีคุณค่า หากเรารู้วิธีการใช้ประโยชน์ สุดยอดฝีมือเเม้กิ่งไม้ก็ใช้เป็นอาวุธได้ คนเรานั้นไม่ว่าจะมีพื้นฐานชีวิตอย่างไร เพียงรู้จักค้นหาคุณค่าในตนเอง มองในสิ่งที่มี อย่างมองเเต่สิ่งที่ขาด เเละหมั่นฝึกฝนพัฒนาตนเองให้ดียิ่งๆขึ้น ก็ย่อมสามารถสร้างประโยชน์เเละกลายเป็นคนที่มีคุณค่าได้เช่นกัน  

ที่มา  shorturl.at/jtM68

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.00114373366038 Mins