ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง

วันที่ 20 พค. พ.ศ.2563

ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง

 

 

ดาวทิ้งฟ้ามาอยู่ในอู่กาย

ซ้อนเรียงรายกลายเป็นหนทางขาว

อริยะผุดผ่านเส้นทางดาว

ตั้งแต่เช้ายันค่ำฉ่ำชื่นใจ

                                                   ตะวันธรรม

 

                 เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้วต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ  ตอนดับ คือ ตอนตาย จะมาเริ่มต้นตายตรงฐานที่ ๗ เมื่อถึงคราวหมดอายุขัยหรือหมดบุญ ซึ่งมีหลักวิชชาอยู่ว่า

                 ถ้าจิตผ่องใส ไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่ไป ถ้าจิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ทุคติเป็นที่ไป นี่คือหลักวิชชาความรู้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบมา 

 

                 ถ้าตายไม่เป็นอันตราย เพราะเมื่อชีวิตไปอยู่ปรโลกสุขทุกข์ในปรโลกนั้นยาวนานเหลือเกิน มากกว่าชีวิตตอนที่เป็นมนุษย์ ถ้าสุขก็สุขนาน เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านปี เป็นหลาย ๆ ล้านปี และถ้าทุกข์ก็ทุกข์นานในทำนองเดียวกัน แต่ทุกข์จะนานกว่าความสุข อย่างเช่น อายุขัยของสวรรค์ชั้นที่ ๑ เท่ากับแค่ ๑ วัน ๑ คืนของนรกขุมที่ ๑ นี่มันเป็นอย่างนี้ เราจึงจำเป็นจะต้องศึกษาเอาไว้ แล้วก็ต้องจำ แล้วก็ต้องทำให้ได้

 

                ทีนี้ความใสกับหมอง มันอยู่ที่ใจของเรา กับการกระทำที่เราทำผ่านมาตอนยังแข็งแรงอยู่ ถ้าทำบุญใจก็ใส ทำบาปใจก็หมอง 

 

                บุญที่เกิดจากการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้นจะเป็นเหตุให้ใจใส เวลาใจใส ถ้าใสเต็มส่วนเต็มที่จะเห็นเป็นดวงใส ๆ ปรากฏเกิดขึ้นในกลางกายของเรา ใสเหมือนเพชรเหมือนน้ำ เหมือนกระจก หรือยิ่งกว่านั้น มันใสเกินใส ถ้าเห็นอย่างนี้มั่นใจได้ว่าปิดประตูอบายไปสวรรค์ได้อย่างแน่นอน

 

                   หรือใสในอีกระดับหนึ่งคือ รู้สึกปลื้มในกุศลธรรมความดีที่เราทำผ่านมา ก็จะมีภาพการทำความดีมาปรากฏให้เห็นตรงนี้ซึ่งจะนำความปีติและภาคภูมิใจมาให้

 

                  คำว่า “ตรงนี้” ไม่ใช่ว่ามีพื้นที่แคบ ๆ แค่ภายในบริเวณท้องนะ คือเห็น ณ ตรงนี้ แต่เวลาเห็น เราจะเห็นเป็นเรื่องเป็นราว มันกว้างเหมือนชีวิตจริงที่ปรากฏเกิดขึ้นอย่างนั้น เขาเรียกว่า“กรรมนิมิต” และหลังจากนั้นก็จะเห็นเป็น “คติ” คือ หนทางที่จะไป

 

                   พอเห็นภาพของการกระทำก็จะเห็นหนทางที่จะไป แล้วเวลาไปก็จะเริ่มจากฐานที่ ๗ ไปฐานที่ ๖ (กลางท้อง) ไปฐานที่ ๕ (ปากช่องคอเหนือลูกกระเดือก) ฐานที่ ๔ (เพดานปากที่อาหารสำลัก) ฐานที่ ๓ (กลางกั๊กศีรษะระดับเดียวกับหัวตา)ฐานที่ ๒ (ที่หัวตา หญิงซ้าย ชายขวา) ฐานที่ ๑ (ปากช่องจมูก หญิงซ้าย ชายขวา) แล้วก็ออกไปเกิดกันใหม่ ไปเกิดเป็นอะไรนั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่จะเริ่มต้นตรงนี้แหละ

 

                    เพราะฉะนั้น ความใสสำคัญนะ ต้องทำให้มี ให้เป็นขึ้นมา หรืออยากจะไปนิพพาน ก็ต้องเริ่มต้นตรงนี้ ต่างแต่ว่าต้องเดิน เข้าไปสู่ภายในเรื่อยๆ ใจของเราที่แวบไปแวบมาจะต้องมาหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งแต่เดิมเราไม่เห็นอะไรเลยพอนิ่งถูกส่วน มันจะโล่ง ว่าง โปร่ง เบา สบาย ตัวจะขยายออกไป แล้วใจก็จะตกศูนย์วูบลงไป มีดวงใส ๆ ลอยขึ้นมาอยู่กลาง

 

                   ท้อง เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ดวงจะกลม ๆ เหมือนดวงแก้วที่เจียระไนแล้ว

                   อย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศอย่างกลางขนาดพระจันทร์วันเพ็ญอย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน หรือใหญ่กว่านั้นตามกำลังบารมี

 

                  หรือโตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ กลมใสบริสุทธิ์ปรากฏเกิดขึ้นในกลางกาย แล้วใจก็จะอยู่ตรงนั้น หยุดนิ่งเป็นอัปปนาสมาธิ ไม่เขยื้อน ไม่ไปไหนเลย คือ มันแนบแน่น นิ่งแน่น แล้วดวงจะขยายออกไป มีดวงใหม่เกิดขึ้นทีละดวง ทีละดวง มี ๖ดวง กลมเหมือนกัน แต่ว่าใสบริสุทธิ์ต่างกัน

 

                ดวงแรกพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ เรียกว่า ดวงธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน หรือดวงปฐมมรรค และดวงที่ซ้อนกันอยู่ภายในถัดไป คือดวงก่อนจะขยายแล้วจุดกึ่งกลางของดวงนั้นจะขยายมาเป็นดวงถัดไป ท่านเรียกว่า ดวงศีล

 

                ในกลางดวงศีลมี ดวงสมาธิ
                ในกลางดวงสมาธิมี ดวงปัญญา
                ในกลางดวงปัญญามี ดวงวิมุตติ
                ในกลางดวงวิมุติมี ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ จะผุดจากกลางดวงนั่นแหละ จุดเล็ก ๆ กลางดวงขยายมาเป็นดวง

 

               ในกลางดวงวิมุติญาณทัสสนะ ดวงที่ ๖ จุดตรงกลางแทนที่จะขยายเป็นดวงกลับเป็น กายมนุษย์ละเอียด ปรากฏเกิดขึ้นหน้าตาเหมือนตัวเราเลย ท่านหญิงก็เหมือนท่านหญิง ท่านชายก็เหมือนท่านชาย นั่งขัดสมาธิเจริญสมาธิภาวนา กายตรงไม่นั่งหลังงอ สง่างามกว่ากายหยาบ แล้วก็ดูสดใสกว่า

 

             เบื้องต้นก็จะเป็นกายเล็ก ๆ ต่อไปก็ขยายเต็มส่วนก็เหมือนตัวเราอย่างนั้นแหละ แต่สุกใสกว่า กายนี้เรียกว่า กายมนุษย์ละเอียด ที่เรียกกายมนุษย์ละเอียดก็เพราะเหมือนกายมนุษย์หยาบ แต่ว่าละเอียดเหมือนเราส่องกระจก กายในกระจกจะละเอียดกว่ากายที่ยืนหน้ากระจก

 

            อีกนัยหนึ่ง เขาเรียกว่า กายฝัน หรือกายไปเกิดมาเกิดเวลาเรานอนหลับ กายนี้ออกไปทำหน้าที่ฝัน ฝันเรื่องราวอะไรต่าง ๆ เยอะแยะ ฝันบางทีก็เข้าเรื่อง บางทีก็ไม่เข้าเรื่องบางทีก็จำได้ บางทีก็จำไม่ได้ บางทีก็เป็นเรื่องกุศล บางทีก็เป็นอกุศล บางทีก็เป็นกลาง ๆ ซึ่งก็จะมีโปรแกรมเมอร์ดีไซน์ความฝัน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าศึกษาไปอีก ถ้ามีเวลานะ

 

            กายละเอียดนี้แหละ จะออกไปทำหน้าที่ฝัน จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง พอตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ตรงนี้ แต่ถ้ากายหยาบทำสมาธิมันก็จะเนื่องไปถึงกายฝัน กายฝันก็จะทำสมาธิ เพราะฉะนั้นหลับแล้วก็จะไม่ค่อยฝัน จะอยู่ตรงนี้ตลอด แต่ถ้าหากว่าคนที่ไม่ได้ฝึกสมาธิจนติดเข้าไปข้างในก็จะฝันไปเรื่อยเปื่อย

 

              แล้วถัดจากกายนี้ไปก็จะเห็นในทำนองเดียวกัน ในกลางกายของกายมนุษย์ละเอียด เมื่อกายขยายออกไป ก็จะเข้าถึงดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง มี ๖ ดวง ในทำนองเดียวกัน ผุดซ้อน ๆกันขึ้นมาในกลางนั้น จะเป็นทำนองอย่างนี้เรื่อยไป ก็จะไปถึงกายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม กระทั่งถึงกายธรรม

 

           ดวงธรรม ๖ ดวง จะเป็นเครื่องกลั่นใจเราให้ใส และเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงให้ไปถึงแต่ละกาย กายที่สำคัญ คือ กายธรรม

 

พุทธรัตนะ

            กายธรรมนั้นคือ พุทธรัตนะ รัตนะ แปลว่า แก้ว, หินที่มีค่าที่ใสบริสุทธิ์เหมือนเพชรเหมือนพลอยอย่างนั้น แต่ยิ่งกว่านั้น       

 

            พุทธะ แปลว่า ผู้รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย

 

            พุทธรัตนะ จึงแปลว่า กายของผู้รู้ที่ใสเป็นแก้ว เป็นเพชรหรือยิ่งกว่านั้น

 

            พุทธรัตนะ กายนี้สำคัญมาก เพราะเป็นกายที่เห็นทั้งสิ่งที่อยู่ในภพ ๓ และสิ่งที่ออกไปนอกภพ ๓ ด้วยธรรมจักษุและด้วยญาณทัสสนะ เห็นได้ด้วยธรรมจักษุ รู้แจ้งด้วยญาณทัสสนะ

 

           ธรรมจักษุที่เห็นนั้น เห็นได้วิเศษ แจ่มแจ้ง และแตกต่างจากการเห็นด้วยตาของมนุษย์ ของเทวดา ของพรหม ของอรูปพรหม

 

           การเห็นได้วิเศษ ได้แจ่มแจ้งและแตกต่างจากกายดังกล่าวนั่นแหละ เรียกว่า วิปัสสนา เพราะฉะนั้นการเห็นอย่างวิเศษ อย่างแจ่มแจ้ง และแตกต่างนั้น เขาจะใช้ต่อเมื่อเข้าถึงพระธรรมกาย ถ้าไม่ถึงพระธรรมกาย ถ้าใช้คำนี้ก็แค่ขอยืมใช้แต่ว่ายังไม่ได้ใช้จริง เพราะว่ายังไม่ได้เข้าถึงคุณสมบัติดังกล่าวเลย ซึ่งมีอยู่ในพระธรรมกาย

 

           พระธรรมกายนี้แหละ คือ สรณะ ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเรา มีอานุภาพมาก ไม่มีประมาณ กายก็งดงามเพราะประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ พร้อมด้วยอนุพยัญชนะ อย่างน้อยก็ ๘๐ ประการ และมีพระคุณมากมาย จนกระทั่งท่านผู้รู้ทั้งหลายไม่อาจพรรณนาคุณได้หมดแม้มีเป็นล้านปาก พรรณนาโดยไม่ซ้ำกันเลย พูดไม่ขาดปากไม่หยุดเลยเป็นกัปปี ก็ยังไม่หมดสิ้นคุณของพระธรรมกาย
พระธรรมกายนี้ (กายพุทธรัตนะ) จึงเป็นกายที่สำคัญที่สุด

 

 ธรรมรัตนะ


              ในกลางกายพุทธรัตนะจะมี ธรรมรัตนะ มีหน้าที่ทรงรักษากายพุทธรัตนะเอาไว้ เป็นแหล่งกำเนิดแห่งความรู้ เป็นคลังแห่งความรู้ที่แท้จริง เป็นความรู้ที่จะทำให้เราพ้นจากทุกข์ทั้งปวง อยู่ภายในกายนี้สังฆรัตนะ

 

               ในกลางธรรมรัตนะจะมี สังฆรัตนะ มีหน้าที่ทรงจำรักษาความรู้นี้ไว้อีกทีหนึ่ง คือมีแหล่งของความรู้คือ ธรรมรัตนะ และก็มีผู้รักษาความรู้ คือสังฆรัตนะ จะซ้อนอยู่ในกลางธรรมรัตนะ

 

             ทั้งสามอย่างนี้ (พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ) ต้องไปพร้อม ๆ กัน เหมือนเพชรที่มีสี มีแวว มีความใสรวมอยู่ในเพชรเม็ดเดียวกัน พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ก็รวมอยู่ในคำว่า สรณะที่พึ่งที่ระลึก อย่างเดียว นี่คือสิ่งที่อยู่ในตัวของเรา ที่เราจะต้องเข้าถึงให้ได้ ให้ไปรู้จักท่านว่า นี่คือที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงนะ สิ่งอื่นไม่ใช่

 

             เข้าถึงแล้วจะอบอุ่น ใจ ปลอดภัย มีความสุข ที่แท้จริง ที่ไม่มีขอบเขต มีความรู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในข้อสงสัยทั้งหลายคือจะไปทำลายความสงสัยทั้งหลายที่มีอยู่ในใจให้หมดสิ้นไปความไม่รู้อันใดที่บังเกิดขึ้นในจิตใจจะหมดไป จะแปรเปลี่ยนมาเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว คือ รู้แล้ว เห็นแล้ว ตื่นแล้วจาก
โลกมายา จากความหลับใหลเพราะกิเลสอาสวะ

 

             คนหลับนี่มันไม่รู้เรื่องรู้ราว ควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่เป็น 

 

            อิสระ แต่ถ้าตื่นตัวตื่นตาตื่นใจแล้วมันเป็นอิสระ เพราะฉะนั้นใจก็จะเบิกบาน คือมีอาการขยายออกไป ไม่คับแคบ เหมือนดอกบัวที่เบ่งบานยามต้องแสงอาทิตย์อุทัยอย่างนั้น แต่ดอกบัวบานยังมีขอบเขตจำกัด แต่ความเบิกบานของใจนี้มันไร้ขอบเขต

 

            ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว รวมประชุมอยู่ใน พุทธรัตนะธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ สามอย่างนี้เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง มีอยู่ในตัวของเราและของมวลมนุษยชาติ โดยไม่จำกัดเชื้อชาติศาสนา และเผ่าพันธุ์

 

          พูดง่าย ๆ ว่า ที่ไหนมีมนุษย์ ที่นั่นมี พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ แต่ว่าเขาจะรู้หรือไม่รู้เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นมีมนุษย์ที่ไหนก็มีที่นั่น แต่ถ้าหากยังเข้าไม่ถึง มีก็เหมือนไม่มีเหมือนน้ำที่อยู่ใต้ดินถ้าเจาะไปไม่ถึงก็เอาน้ำมาใช้ไม่ได้ รัตนะทั้งสามแม้อยู่ในตัวเรา ถ้าเราไม่ทำความเพียรให้ถูกหลักวิชชาก็เข้าถึงไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องมีความเพียรแล้วก็เข้าถึงให้ได้

 

            ถ้าเข้าถึงได้เเล้วเราก็มีหลักของชีวิต จับหลักของชีวิตได้แล้วจะมีความสุขในทุกหนทุกแห่ง เมื่อเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวเห็นชัดใสแจ่มตลอดเวลา จะหลับตาลืมตาก็ยังเห็นชัดใสแจ่ม ถ้าได้อย่างนี้แล้วจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ในโลก ตั้งแต่เกาะกลางทะเลไล่เรื่อยมาถึงชายทะเล ชายหาด ทุ่งราบ เชิงเขา เนินเขา ภูเขา

 

            ยอดดอย แม้ออกไปอยู่นอกโลก ไปที่ไหนก็มีความสุข เพราะว่าเข้าไปถึงแหล่งแห่งความสุข ความบริสุทธิ์ ความรู้แจ้งภายในและเป็นแหล่งกำเนิดสิ่งที่ถูกต้องดีงาม

 

            ถ้าเข้าถึงพระรัตนตรัยได้ อยู่ตรงไหนก็ได้มีความสุขทุกหนทุกแห่ง ถ้ายังเข้าไม่ถึงอยู่ตรงไหนก็ไม่ค่อยได้ มันอยู่แบบซังกะตาย จะเป็นพระ เป็นเณร เป็นเถร เป็นชี อุบาสก อุบาสิกา ฆราวาส ไม่ว่าชาติไหน ภาษาไหน อยู่ตรงไหนก็ลำเค็ญ มีชีวิตแบบหน้าชื่นอกตรม ต้องหาเรื่องเพลิน ๆ อยู่กันไปวัน ๆ หนึ่ง เพื่อให้หมดเวลาของชีวิต และจากโลกนี้ไปอย่างเฉาชีวิต อย่างผู้ไม่รู้ อย่างมืด มนอนธการ

 

         ดังนั้น พระรัตนตรัยจึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง การทำมาหากินแม้มีความจำเป็นเพื่อดำรงชีพก็ตาม แต่เรามีชีวิตอยู่ก็เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง ซึ่งพระนิพพานจะแจ้งได้ก็ต้องแจ้งด้วยรัตนะทั้งสาม

 

             ถ้าไม่มีพระรัตนตรัยมันแจ้งไม่ได้ จะเอากล้องส่องทางไกลไปดูนิพพาน มันดูไม่ได้ ยวดยานพาหนะอันใดก็ไปไม่ถึง

 

             เพราะว่าเป็นของละเอียด ของลึกซึ้ง จะเข้าถึงได้ก็ต้องสิ่งที่ละเอียดพอ ๆ กัน ซึ่งมีเพียงประการเดียวคือพระรัตนตรัยในตัว

 

             พุทธรัตนะนั่นแหละเป็นหลัก ที่ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ พร้อมด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ประการ เป็นอย่างน้อย เกตุดอกบัวตูมเหมือนดอกบัวสัตตบงกชที่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ตั้งอยู่บนจอมกระหม่อม ที่เราเข้าใจผิดว่าเป็นมวยผม แต่จริง ๆ แล้วเป็นลักษณะพิเศษของท่าน เฉพาะผู้มีบุญเต็มเปี่ยมแล้ว ตั้งอยู่บนจอมกระหม่อมบนพระเศียรที่มีเส้นพระศก หรือเส้นผมขดเวียนเป็นทักษิณาวรรตหมุนขวาตามเข็ม
นาฬิกา เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ นี่คือกายธรรม แต่ลักษณะมหาบุรุษจะไม่มีเกตุดอกบัวตูม แต่ถ้าพระธรรมกายก็เพิ่มดอกบัวตูมอยู่บนพระเศียร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการตรัสรู้ธรรม เป็นกายของผู้รู้จะแตกต่างกันออกไป กายนี้อยู่ในกลางตัวกลางท้องของเรา จะต้องปฏิบัติให้เข้าถึงให้ได้ จึงจะเอาตัวรอดได้

 

               เมื่อเราจำเป็นจะต้องดำรงชีพ เราก็ต้องทำมาหากิน แต่เรามีชีวิต อยู่เพื่อทำ พระนิพพานให้แจ้งดังนั้นเศรษฐกิจกับจิตใจก็ต้องไปด้วยกัน จะเอาอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ มันเกื้อกูลกันพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เหมือนคนกับเงาอย่างนั้น ต้องไปด้วยกัน

 

              เมื่อเราเข้าถึงได้แล้วก็แน่ใจได้ว่า เราจะมีความสุขทั้งในปัจจุบัน ทั้งในปรโลกที่เราละโลกไปแล้ว จะไปเลือกอยู่ภพภูมิไหนก็ได้ เพราะเรามีพระธรรมกายปรากฏชัดใสแจ่มอยู่ในกลางกายเลือกเอาเลยจะไปสวรรค์ชั้นไหนได้ทั้งนั้น

 

             เหมือนท่านธัมมิกะอุบาสก เมื่อท่านเป็นพระอริยบุคคลมีพระรัตนตรัยปรากฏชัดใสแจ่มเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระรัตนตรัย ชาวสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ยังต้องมาอัญเชิญ อยากได้ท่านไปเป็นสหาย ไปเป็นพวกเป็นพ้อง เพราะหากบุคคลที่ได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน ชั้นนั้นได้ชื่อว่าเป็นมงคล มีสิ่งอันประเสริฐที่เลิศบังเกิดขึ้นแล้ว จึงมาอัญเชิญให้ท่านเลือกเอาว่า จะไปอยู่ในภพภูมิไหน เลือกเกิดได้

 

             เมื่อเรามีพระรัตนตรัยในตัว มีอานุภาพมาก จะไปเกิดในภพภูมิไหนก็ได้ ในระหว่างที่พักกลางทางก่อนไปพระนิพพานแต่สำหรับพวกเรานั้นเรามุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม เพราะฉะนั้นที่ของเราจะพักกลางทางคือสวรรค์ชั้นดุสิต ที่เราเรียกกันว่าดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์

 

             เราต้องให้ได้เข้าถึงพระรัตนตรัยกันเสียก่อน ส่วนจะไปที่ไหนก็ไปเถอะ ให้มีหลักของชีวิตอย่างนี้แล้วมันจะไม่เป๋ เพราะ

 

              ว่าเมื่อเราไปอยู่ที่ไหน เราจะต้องไปเจอสิ่งแวดล้อมใหม่ มีคนสัตว์ สิ่งของใหม่ ๆ สังคมใหม่ ถ้าหากไม่มีหลักของชีวิต เดี๋ยวเราก็จะไปยึดหลักว่า เข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตาม คือเขาหลิ่วเราก็หลิ่วไปกับเขาด้วย คือเขาพิการ เราก็พิการตาม หรือเข้าเมืองตาบอดก็ต้องควักลูกนัยน์ตาทิ้งตาม อะไรอย่างนั้น ซึ่งมันไม่ถูก ถ้าเข้าเมืองตาหลิ่ว เราต้องตาดี แล้วก็ควรชวนคนที่เขาหลิ่วตาน่ะ ให้ดีตามเราด้วย

 

             ทีนี้จะเป็นอย่างนั้นได้ เราก็ต้องมีหลักของชีวิต คือต้องมีพระรัตนตรัยปรากฏอยู่ภายในตัวของเรา จะไปทำมาหากินต่างแดนก็ดี จะไปเรียนหนังสือก็ดี ก็จะต้องมีพระรัตนตรัยภายในเป็นหลักก่อน ให้เข้าถึงกันเสียก่อน ให้เห็นพระชัดใสแจ่มอยู่ภายใน ถ้าเห็นอย่างนี้แล้ว ไปเถอะ ทุกหนทุกแห่ง จะอยู่ในน้ำบนบก ในอากาศ ไปได้ทั้งนั้น

 

            อยู่อย่างผู้มีหลัก อายมุากขึ้นเขาก็เรียกว่าผู้หลักผู้ใหญ่มีทั้งหลักด้วยและเป็นผู้ใหญ่ตามกาลเวลาด้วย เป็นทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นที่พึ่งกับตัวเองได้ และเป็นที่พึ่งกับผู้ที่ใกล้ชิดได้ต่อเราและโลกได้

 

            เราจะต้องปฏิบัติให้เข้าถึงพระรัตนตรัยให้ได้ซึ่งวิธีเข้าถึงพระรัตนตรัยก็มีเพียงประการเดียวคือใจหยุดนิ่งเฉย ๆ ให้นิ่งอย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้ อย่าให้มีความคิดขึ้นมาในใจทำเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีมันสมอง ไม่ต้องคิดไม่ต้องพูด ไม่ต้องทำะไรทั้งสิ้น หยุดนิ่งเฉย ๆอย่างสบาย ๆ เดี๋ยวใจก็จะค่อย ๆ ละเอียดลงไปถึงระดับหนึ่งที่เราจะเข้าถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัว ซึ่งเป็นของละเอียดเท่ากับความละเอียดของใจเรา หลักวิชชามีเพียงแค่นี้อย่าไปทำให้ผิดหลักวิชชานะ มันจะช้า

 

           ฝึกใจให้หยุดนิ่ง ๆ โดยจะนึกเป็นภาพหรือไม่นึกเป็นภาพก็ได้ นิ่งเฉย ๆ จะประคองใจด้วยคำภาวนา สัมมา อะระหังไปด้วยก็ได้ หรือไม่อยากจะภาวนา อยากนิ่งเฉย ๆ ก็ได้หยุดนั่นแหละเป็นตัวสำเร็จ ให้ได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวต้องหยุดให้ได้นะ

 

            ผู้ที่หยุดได้ มนุษย์เทวดาเขากราบไหว้ เขาสรรเสริญผู้ที่หยุดได้แล้ว

 

           เช้านี้อากาศกำลังสดชื่น เหมาะสมต่อการประพฤติปฏิบัติธรรม ให้ลูกทุกคนตั้งใจปฏิบัติธรรมกันให้ดี เช้านี้ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุก ๆ คนต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบ ๆ นะ

พระเทพญาณมหามุนี

วันอาทิตย์ที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗

จากหนังสือ ง่ายเเต่ลึก เล่ม 2
                                                                                                โดยคุณครูไม่ใหญ่

            

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.034617185592651 Mins