มองที่กลาง

วันที่ 28 มีค. พ.ศ.2567

280367b01.jpg


มองที่กลาง
๗ เมษายน ๒๕๓๔
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
 โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)


                ต่อจากนี้ขอเรียนเชิญทุกท่านตั้งใจนั่งหลับตาเจริญภาวนากันนะจ๊ะ ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตาอย่ากดลูกนัยน์ตา หลับพอสบาย ๆ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก เราจะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย ท่านั่งจึงมีความจำเป็นจะต้องเหมาะสม ให้ขยับให้พอดีคะเนให้เลือดลมในตัวเดินได้สะดวก ทุก ๆ คนนะจ๊ะ 

 


                เมื่อหลับตาแล้วก็ให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างให้หมดสิ้น ลืมอากาศที่ร้อนอบอ้าว อย่าไปสนใจ ที่นั่งที่ไม่นุ่มนวล ลืมให้หมดสิ้น อารมณ์อะไรต่าง ๆ ที่คั่งค้างมา ลืมออกไปซะให้หมด อารมณ์ที่ไม่ดีเนี่ย ที่จะทำให้เราหงุดหงิดงุ่นง่านฟุ้งซ่านรำคาญใจ ลืมให้หมดเลย กระทั่งภารกิจการงานเครื่องกังวลต่าง ๆ การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องธุรกิจการงาน หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ลืมให้หมดเลย สลัดทิ้งไปให้หมด ทำใจให้ปลอดโปร่งให้ว่างเปล่า ปราศจากความคิดทั้งหลายทั้งมวล ประหนึ่งว่าเราได้นั่งอยู่คนเดียวในโลก ไม่เคยพบปะเจอะเจอภารกิจต่าง ๆ มาก่อนเลย 

 


                ทำใจให้ปลอดโปร่งให้ว่างเปล่าให้ใสให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ จะได้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รองรับบุญบารมีที่เราจะได้จากการบำเพ็ญทานบารมีในวันนี้ ให้ใจเราใส ให้ใจเราสะอาด ให้ใจเราบริสุทธิ์ และก็แผ่ความปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ มีบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ญาติพี่น้องของเราเป็นต้น ตลอดจนกระทั่งเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายน่ะ ทั่วแสนโกฏิจักรวาลอนันตจักรวาลนะ ให้มีแต่ความสุขกายสุขใจ พ้นจากทุกข์โศกโรคภัย ให้จิตใจเค้าสว่างไสว มีแต่กระแสแห่งความสุขหลั่งไหลเข้ามาแทนที่ 

 


                ส่งความปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างนี้นะจ๊ะ การที่เราแผ่เมตตาไปอย่างนี้ ส่งความปรารถนาดีนะ จะทำให้ใจของเรานี้เกลี้ยง เกลี้ยงเกลาจากความโกรธ ความผูกโกรธ ความขัดเคืองใจ เมื่อใจเราเกลี้ยงจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ใจที่ขุ่นมัวก็จะผ่องใส เราจะได้ความเบาสบาย ความสุขกายสุขใจเป็นเบื้องต้น การไม่มีเวรกรรม ไม่มีภัยซึ่งกันและกันน่ะ ทำให้ใจเราใสใจเราสบาย ใจใสใจสบายนี่แหละเป็นใจที่เหมาะสมที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน เพราะฉะนั้นแผ่ความปรารถนาดี ส่งความปรารถนาดีออกจากตัวของเราออกจากใจของเราไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย 

 


                เมื่อเราส่งความปรารถนาดีไปแล้วกายวาจาใจของเราก็จะได้สะอาดบริสุทธิ์ มีแต่สิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลเกิดขึ้น ต่อจากนี้ไปเราจะได้เริ่มลงมือปฏิบัติธรรมกัน เราจะต้องฝึกใจของเราให้หยุดให้ได้ใจจะหยุดนิ่งได้นั้น จะต้องมีบริกรรม ๒ อย่างเป็นเครื่องประกอบกัน คือบริกรรมนิมิตอย่างหนึ่งกับบริกรรมภาวนา บริกรรมนิมิตก็คือการสร้างเครื่องหมาย สมมติเครื่องหมายขึ้นมาในมโนภาพ เป็นเครื่องหมายที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมวโตเท่ากับแก้วตา เราจะต้องสร้างมโนภาพน่ะ ขึ้นที่ศูนย์กลางกาย คือนึกถึงภาพดวงแก้วที่ใสสะอาดบริสุทธิ์เป็นเครื่องหมายใสสะอาดบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมว ไม่มีขีดไม่มีข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา  

 


                เราจะต้องนึกถึงความใสบริสุทธิ์ของบริกรรมนิมิตนี้ นึกอย่างสบาย ๆ นึกธรรมดา ค่อยๆ นึกไป อย่างสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานึกถึงภาพดอกบัว ภาพดอกกุหลาบ ภาพน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัว หรือน้ำค้างที่ปลายยอดหญ้า นึกให้ง่าย ๆ คล้าย ๆ กับการนึกสิ่งเหล่านั้น อย่างสบาย ๆ ให้นึกอย่างสบาย ๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้นึกอย่างสบาย ๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ คือในกลางท้องของเราในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ในกลางท้องของเราเหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ให้กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นที่ตรงนี้ 

 


                นึกถึงดวงใสสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนเพชรลูกที่เจียระไนแล้วไม่มีขนแมวนะ โตเท่ากับแก้วตาของเรา เราจะต้องค่อย ๆ นึกสร้างมโนภาพขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ให้ได้ นึกถึงดวงใสสะอาดบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้วไม่มีขนแมวโตเท่ากับแก้วตาของเรา นึกตามไปนะจ๊ะ นึกเป็นดวงใสสะอาดบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมว โตเท่ากับแก้วตา นึกไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นึกอย่างสบาย ๆ นึกอย่างสบาย ๆ ให้ง่าย ๆ คล้าย ๆ กับเรานึกถึงดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว หรือง่าย ๆ คล้าย ๆ กับเรานึกถึงน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัวหรือน้ำค้างที่ปลายยอดหญ้า ให้นึกอย่างสบาย ๆ อย่างนั้น นึกง่าย ๆ ให้ต่อเนื่องกันไป 

 

 

                นึกให้ต่อเนื่องกันไปอย่าให้ขาดตอน อย่าให้เผลอแวบไปคิดเรื่องอื่น ให้นึกอย่างง่าย ๆ อย่างสบาย ๆ ให้ต่อเนื่องกันไปน่ะ อย่าให้เผลอไปคิดเรื่องอื่น ถ้าเผลอแวบไปคิดเรื่องอื่นก็ให้ภาวนาในใจ สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๆ โดยให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากจุดกึ่งกลางกาย ให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากจุดกึ่งกลางกายฐานที่ ๗ ตรงนั้นน่ะ สัมมาอะระหัง ๆ ๆ เมื่อใจแวบไปคิดถึงเรื่องอื่น ก็ให้กำหนดบริกรรมภาวนาสัมมาอะระหังอย่างนี้ ควบคู่กันไปกับการนึกถึงภาพดวงใสสะอาดบริสุทธิ์ของบริกรรมนิมิต อย่าลืมให้นึกอย่างธรรมดา ๆ สบายๆ ค่อย ๆ นึก อย่าไปตั้งใจมากเกินไป ถ้าตั้งใจมากเกินไปจะทำให้เกิดความตึงเครียดที่ร่างกายของเรา เราจะมึน เราจะซึม เราจะปวดศีรษะ ไม่ได้ผล ต้องค่อย ๆ นึก นึกง่าย ๆ สบาย ๆ น่ะ คล้ายนึกถึงภาพน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัว หรือน้ำค้างปลายยอดหญ้า ให้นึกถึงความใสสะอาดบริสุทธิ์ไปตามความเป็นจริงของเพชรน่ะ ว่าใสอย่างไร นึกอย่างง่าย ๆ นึกอย่างธรรมดา นึกอย่างสบาย ๆ ให้ต่อเนื่องกันไปนะจ๊ะ ถ้าใจแวบไปคิดเรื่องอื่น เราก็ภาวนาสัมมาอะระหัง ๆ ๆ 

 

 

                ถ้าเราไม่เผลอจากบริกรรมทั้ง ๒ ถ้าเราไม่เผลอจากบริกรรมทั้ง ๒ คือบริกรรมภาวนากับบริกรรมนิมิต ถ้าเราไม่เผลอ เมื่อไม่เผลอไม่ช้าใจก็จะหยุดนิ่ง ถ้าไม่เผลอใจก็จะหยุดนิ่ง หยุดนิ่งอยู่ในกลางกายของเรา หยุดนิ่งทีเดียว พอถูกส่วน พอถูกส่วนน่ะ เราจะเห็นดวงใสได้ชัดเจน ชัดเจนคล้าย ๆ กับเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก ถ้าใจหยุดนิ่งได้ถูกส่วน ภาพนั้นจะปรากฏได้ชัดเจนคล้าย ๆ กับเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก ถ้าใจหยุดถูกส่วนจะเห็นอย่างนี้นะจ๊ะ ถ้าเราไม่เผลอจากบริกรรมทั้ง ๒ คือบริกรรมนิมิตดวงใสกับบริกรรมภาวนาสัมมาอะระหัง ใจก็จะหยุดนิ่ง พอถูกส่วนถูกส่วนก็เห็นดวงใสบริสุทธิ์อยู่ในกลางกายคล้าย ๆ กับเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก เมื่อเห็นได้อย่างนี้แล้วก็ให้ประคองต่อไป 

 

 

                ประคองรักษาดวงใสที่เกิดขึ้นที่กลางกายน่ะ อย่าให้หายไปจะต้องหมั่นตรึกเอาไว้เรื่อย ๆ ทั้งนั่งทั้งนอน ทั้งยืน ทั้งเดิน ตรึกไว้เรื่อยเลย ให้เห็นดวงใส ให้ใสที่กลางกายอย่างนั้นทุกอริยาบถ พอเราฝึกชำนาญหนักเข้าเอาใจไปนึกคิดที่กลางดวงใสหนักเข้า พอถูกส่วนดวงใสนั้นจะขยายส่วนกว้างออกไปคล้ายกับเราโยนก้อนหินลงไปในน้ำน่ะ มันจะเป็นวงกว้างออกไป จะขยายกว้างออกไปเอง พอขยายกว้างออกไปน่ะ ก็จะมีดวงใหม่มาแทนที่ ดวงใหม่ที่ใสกว่าเดิม สวยกว่าเดิมกลมรอบตัว ดวงใหม่ที่เกิดขึ้นจะใสกว่าเดิม จะสวยกว่าเดิม เกิดขึ้นมาเอง เราก็ดูเรื่อยไปดูไปตรงจุดกึ่งกลางน่ะ 

 

 

                ดูเรื่อยไปตรงจุดกึ่งกลางของดวง ดวงใหม่ที่เกิดขึ้น ดวงนั้นก็จะขยายกว้างออกไป และก็จะมีดวงใหม่ที่สวยกว่า ใสกว่าเกิดขึ้นมาแทนที่ จะเป็นอย่างนี้แหละในทำนองอย่างนี้เรื่อยไปเลย จนกระทั่งครบ ๖ ดวง พอสุดดวงที่ ๖ เราจะพบกายภายใน พอสุดดวงที่ ๖ ก็จะพบกายภายในลักษณะเหมือนตัวของเราเองนะ นั่งขัดสมาธิอยู่ ท่านหญิงก็เหมือนท่านหญิง ท่านชายก็เหมือนกับท่านชาย นั่งขัดสมาธิอยู่ในกลางกายของเรา ใหม่ ๆ ที่เราเห็นก็จะเห็นเหมือนกับเรามองจากด้านบนลงไป กายนั้นก็ยังเล็กอยู่พอเรามองไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดอะไรน่ะ มองไปเฉย ๆ สบาย ๆ พอถูกส่วนกายนั้นก็ขยายโตขึ้น จนกระทั่งเท่ากับตัวของเรา ขยายโตเท่ากับตัวของเราเลย มองต่อไปเรื่อย ๆ ที่ศูนย์กลางกายนั้นก็จะพบดวงธรรมกลมรอบตัวที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ เกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของกายมนุษย์ละเอียดนั้น 

 

 

                 ก็ให้มองเรื่อยไป มองตรงกลางเรื่อยไปซ้ายขวาหน้าหลังล่างบนไม่ไป มองอยู่ตรงกลางอย่างสบาย ๆ ไม่ต้องคิดอะไร อย่าให้มีคำถามอะไรเกิดขึ้นในใจแล้วก็ไม่ต้องมัวไปแสวงหาคำตอบ ให้มองเฉย ๆ มองธรรมดา มองสบาย ๆ มองเรื่อย ๆ ไปด้วยใจที่เยือกเย็นมองไปตรงกลางตรงนั้น กลางของกลางนั้นน่ะ พอถูกส่วนก็จะมีปรากฏการณ์เกิดขึ้นมาเหมือนตอนแรกคือดวงธรรมนั้นก็จะขยายกว้างออกไปอีกและก็จะมีดวงใหม่เกิดขึ้นมาเป็นชั้น ๆ เข้าไปอย่างนี้ จนกระทั่งพอสุดดวงที่ ๖ ก็จะเข้าถึงอีกกายหนึ่ง พบอีกกายหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในกลางนั้น เห็นใหม่ ๆ ก็ตัวนิดเดียว


        
                เหมือนมองจากด้านบนลงไป พอมองไปอย่างสบาย ๆ เรื่อย ๆ กายนั้นก็ขยายกว้างขึ้นกระทั่งโตเท่าตัวเรา แล้วก็ใหญ่กว่าตัวเรา เป็นกายที่แตกต่างจากกายมนุษย์ละเอียด สวยงามมากยิ่งขึ้น มีเครื่องประดับประดาสวยงามทีเดียวเรียกว่ากายทิพย์ ให้มองอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ มองไปตรงกลางฐานที่ ๗ ของกายทิพย์ พอถูกส่วนก็มีปรากฏการณ์เกิดขึ้นเหมือนเดิม คือมีดวงธรรมเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เราก็มองเรื่อยไป มองอย่างสบายๆ น่ะ ซ้ายขวาหน้าหลังล่างบนไม่ไป เข้ากลางอย่างเดียว ไม่คิดเรื่องอะไร ไม่ให้มีคำถามเกิดขึ้น ไม่มัวแสวงหาคำตอบ ไม่วิตกวิจารณ์ วิจัยวิจารณ์ประสบการณ์ มองเรื่อยไป พอถูกส่วนดวงธรรมนั้นก็จะขยายกว้างเกิดขึ้นซ้อน ๆ กันเป็นชั้น ๆ เข้าไป 

 

 

                พอสุดดวงที่ ๖ ก็พบอีกกายหนึ่งเกิดขึ้นมา กายนั้นก็นั่งขัดสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับเราเช่นเดียวกันน่ะ เป็นกายที่สวยงามหนักยิ่งขึ้น มีเครื่องประดับประดาพร้อมงามกว่าเดิมงามอย่างไรเนี่ยไปดูเอาเองนะจ๊ะ พอเข้าถึงเราก็เห็นล่ะ ใหม่ ๆ ก็ยังเล็กอยู่ พอมองเรื่อยไปไม่ได้คิดอะไร ก็โตขึ้น โตขึ้นสุกใสขึ้นไปตามลำดับ พอเรามองดูได้ทั่วถึงแล้ว ก็ปล่อยใจเข้ากลางนั้นต่อไปอีก กลางของกลางเรื่อยไป ก็จะพบดวงธรรมต่าง ๆ ซ้อน ๆ กันอยู่ ไปตามลำาดับ พอสุดดวงที่ ๖ ก็พบอีกกายหนึ่งทีงามกว่าเดิมหนักยิ่งขึ้น ทุกกายนั่งขัดสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเราหมด เราก็มองเรื่อยไปเลย กายอรูปพรหมนี้สวยงามกว่ากายรูปพรหมเพิ่มขึ้นไปอีก ก็มองอย่างนี้เข้าไปเรื่อย กลางของกลาง เข้าไปเรื่อย ๆ พอถูกส่วนก็พบดวงธรรมอยู่ในกลางกายฐานที่ ๗ ของกายอรูปพรหม ก็มองต่อไปอีก ซ้ายขวาหน้าหลังล่างบนไม่ไป เข้ากลางของกลางอย่างเดียวน่ะ 

 


                พอถูกส่วนก็เห็นดวงธรรมซ้อน ๆ กัน สุดดวงที่ ๖ ก็จะพบกายธรรมเกิดขึ้น กายธรรมที่พูดกันบ่อย ๆ น่ะ ลักษณะเป็นอย่างไรนี่ให้ไปดูเอานะ พอเข้าถึงแล้วเราจะรู้จักทันทีว่าโอ้นี่กายธรรมที่เรียกว่าพระพุทธเจ้า ลักษณะเป็นอย่างนี้เอง สวยงามมาก งามไม่มีที่ติ งามกว่ากายอรูปพรหม งามกว่ากายรูปพรหม งามกว่ากายทิพย์ งามกว่ากายมนุษย์ละเอียด เป็นกายมาตรฐานทีเดียว เราจะรู้จักว่ากายมาตรฐานเนี่ย มาตรฐานที่ที่สวยงามจริง ๆ นั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ต้องมองที่กายธรรม ต้องเข้าถึงกายธรรมให้ได้ แล้วมองที่กายธรรม มองไปให้รอบตัวทีเดียว มองที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของกายธรรม ให้เห็นรอบตัวทีเดียว

 

 

                เราจะพบว่ากายที่สมบูรณ์ที่สุดนั้นจะต้องงามไม่มีที่ติ จะมองซ้ายขวาหน้าหลังล่างบนหรือมองตรงไหนรอบตัวก็ตามงามไม่มีที่ติ นั่นแหละถึงจะเรียกว่ากายมาตรฐาน สวยงามจริง ๆ ที่เราได้ยินบ่อยๆ ว่าลักษณะมหาบุรุษจะรู้จักได้ต้องเข้าถึงกายธรรม และกายธรรมนี้เป็นกายที่สำคัญที่สุด เพราะว่ามีความเห็นได้รอบตัว มีความรู้ได้รอบตัว เห็นได้วิเศษ เห็นได้แจ่มแจ้ง เห็นได้แตกต่างกว่าดวงตาของกายต่าง ๆ ที่อยู่ในภพทั้ง ๓ เพราะฉะนั้นกายนี้จึงเป็นกายที่สำคัญ เราจะศึกษาความรู้ในทางพระพุทธศาสนาหรือเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตว่าเป็นมาอย่างไร ทั้งอดีตทั้งปัจจุบันและในอนาคต ตลอดจนกระทั่งเป้าหมายปลายทางของแต่ละชีวิตนั้นเป็นอย่างไร 

 

 

                ต้องเข้าถึงกายธรรม กายธรรมนี้แหละเป็นผู้รู้ รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอด เป็นผู้ตื่นแล้วเป็นผู้มีความเบิกบานเป็นนิจ มีความสุขอยู่ตลอดเวลา นี่คือเป้าหมายของชีวิตของพวกเราทุก ๆ คน ตอนนี้ก็ให้ตั้งใจให้หยุดให้นิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นึกถึงบริกรรมทั้ง ๒ ดังกล่าวนี้ คือตรึกนึกถึงดวงใสอย่างสบาย ๆ เอาใจหยุดไปที่จุดกึ่งกลางของความใส ถ้าฟุ้งก็ภาวนาในใจประกอบควบคู่กันไป สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ต่างคนต่างทำกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ เราก็เอาใจหยุดไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ใจหยุดในหยุด หยุดในหยุด นิ่งในนิ่งให้ดีนะจ๊ะทุก ๆ คน  

 

 

                วางใจของเราเบา ๆ อย่างสบาย ๆ ค่อย ๆ นึกถึงอารมณ์เบา ๆ ทำความรู้สึกให้มันเบา ๆ ปลอดโปร่งโล่งเบาสบายที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างสบาย ๆ อย่าส่งใจไปที่อื่นนะจ๊ะ ให้ใจของเราหยุดให้ใจของเรานิ่ง ศูนย์กลางกายนี้เป็นทางไปสู่อายตนนิพพาน เป็นทางเสด็จไปของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านไปสู่อายตนนิพพาน โดยอาศัยเส้นทางสายกลางกายนี้ ถ้าวางใจหยุดถูกส่วนก็จะเห็นดวงธรรมเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายดังกล่าวแล้ว ที่ได้แนะนำไปเบื้องต้น แล้วก็จะเห็นกายในกายซ้อนๆ กันอยู่ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม กายธรรมโคตรภู พระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา พระอรหัต ซ้อนกันอยู่เป็นชั้น ๆ เข้าไป กายที่ละเอียดกว่าก็ซ้อนอยู่ที่กายที่หยาบกว่าเป็นชั้น ๆ กิเลสมันก็หุ้มเป็นชั้น ๆ เข้าไป 

 

 

                กายที่หยาบกว่ากิเลสหยาบก็หุ้ม ตั้งแต่อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ คือกิเลสหยาบออกมาแต่ตระกูลเดียวกัน ตระกูลเดียวกันน่ะ คือตระกูลโลภะ โทสะ โมหะ เป็นแต่เพียงหยาบละเอียดแตกต่างกัน หยาบก็เรียกอย่าง ละเอียดก็เรียกไปอีกอย่างหนึ่ง มันหุ้มเห็นจำคิดรู้ ธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้ กายต่าง ๆ หุ้มหมดทุกกายเลย หุ้มตั้งแต่กายมนุษย์หยาบ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม กายธรรมโคตรภู โสดา สกิทาคา กายธรรมพระอนาคาหุ้มเป็นชั้น ๆ เข้าไปแล้วก็เจือจางลงไปตามลำดับจนกระทั่งถึงกายธรรมอรหัต กายอรหัตนั้นเป็นกายที่หลุดพ้นจากกิเลสจากอาสวะทั้งหลายเนี่ย ความโลภ ความโกรธ ความหลง สังโยชน์เบื้องต่ำเบื้องสูงหลุดหมดเลย กิเลสอาสวะที่จะบังคับไม่มีอยู่ในกายธรรมอรหัต มีแต่อยู่ในกายต่าง ๆ

 

 

                พระพุทธเจ้าพระอรหันต์นี่แต่เดิมท่านก็เป็นปุถุชนคนธรรมดาเช่นเดียวกับพวกเราที่มีกิเลสหนาปัญญาหยาบ มีกิเลสบังคับหุ้มกันอยู่อย่างนี้แหละเป็นชั้น ๆ ไป แต่ว่าท่านปล่อยใจเข้าไปสู่ตรงกลาง ปล่อยเข้าไปเรื่อยๆ เป็นชั้น ๆ เข้าไปเรื่อย ๆ กิเลสก็กะเทาะร่อนเป็นชั้นไป จนกระทั่งเข้าถึงกายธรรมอรหัต เข้าถึงกายธรรมเบื้องต้นคือกายธรรมโคตรภูก็เป็นโคตรภูบุคคล เข้าถึงกายธรรมพระโสดาเป็นพระโสดาบัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเข้าถึงกายธรรมพระสกิทาคาก็เป็นพระสกิทาคามีบุคคล กิเลสก็ร่อนไปอีก เข้าถึงกายธรรมพระอนาคามีก็เป็นพระอนาคามีบุคคล กิเลสก็ร่อนไปอีก 

 

 

                เข้าถึงกายธรรมอรหัตหมดกิเลสเลย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมอรหัตใสบริสุทธิ์ หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วาเกตุดอกบัวตูม ใสสะอาดหมดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปเลย เมื่อถึงกายธรรมอรหัตแล้วใจก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอารมณ์ของพระนิพพาน สะอาดบริสุทธิ์มีแต่สุขอย่างเดียวเกิดขึ้น เมื่อถึงเวลาที่กายมนุษย์หยาบจะแตกกายทำลายขันธ์ ท่านก็ดับขันธปรินิพพานถอดกายธรรมออกไปเลยถอดกายธรรมอรหัตออก ทิ้งกายอื่น ๆ ไว้หมด ที่ปรากฏด้วยตามนุษย์ก็คือกายมนุษย์หยาบ แล้วก็เข้าสู่อายตนนิพพาน เพราะฉะนั้นศูนย์กลางกายนี่จึงเป็นทางเสด็จไปของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นแผนผังของชีวิตของมนุษย์ทุก ๆ คน 

 

 

                ถ้าหากเราอยากมีกิเลสเราก็เอาใจมาหยุดอยู่ที่กายมนุษย์หยาบที่อยู่กันอย่างนี้แหละ พออยู่ที่กายมนุษย์หยาบก็มีเครื่องที่เกี่ยวพันกับกายมนุษย์หยาบ ธุรกิจการงาน เรื่องครอบเรื่องครัว เรื่องปัญหาสารพัดอย่างเกิดขึ้นมาหมด และก็แก้ปัญหากันไป กิเลสหยาบก็บังคับให้วนเวียนอยู่ในกองทุกข์อย่างนั้นแหละตั้งแต่ตื่นนอนกระทั่งเข้านอน ตั้งแต่ลืมตาดูโลกกระทั่งหลับตาลาโลกไปน่ะ ตลอดวันตลอดคืนตลอดเวลา ถ้าอยากจะหลุดพ้นก็ปล่อยใจเข้าไปในกลางอย่างนั้น ปล่อยเข้าไปเรื่อย ๆ ไปตามลำดับ ถ้าอยากเข้าสู่เส้นทางพระนิพพานก็เข้าถึงกายธรรมไป ปล่อยเข้าไปน่ะ แต่ต้องเดินในทางสายกลางนี้ทั้งนั้น ในกลางกายนี้ทั้งนั้น นี่เป็นแผนผังของชีวิตมนุษย์ทุก ๆ คน 

 


                ใครที่เพิ่งเริ่มต้นมาใหม่ก็เอาใจหยุดไป ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ กำหนดบริกรรมนิมิตให้ใสบริสุทธิ์ ที่เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียดก็เอาใจหยุดที่กลางกายมนุษย์ละเอียด ที่เข้าถึงกายทิพย์ก็เอาใจหยุดที่กลางกายทิพย์ ที่เข้าถึงกายรูปพรหมก็เอาใจหยุดที่กลางกายรูปพรหม ที่เข้าถึงกายอรูปพรหมก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายอรูปพรหม ที่เข้าถึงกายธรรมก็เอาใจหยุดไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของกายธรรม แล้วก็หยุดในหยุด ๆ นิ่งในนิ่งให้ใจใสบริสุทธิ์ที่เดียวนะ ให้ใจใสจนกระทั่งความใสความบริสุทธิ์ปรากฏเกิดขึ้นในกลางหยุดกลางนิ่ง แล้วก็กราบพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ กราบทูลท่านว่าเครื่องไทยธรรมเหล่านี้เป็นของพวกเราทุกคน ขอบุญบารมีรัศมีกำลังฤทธิ์อำนาจสิทธิของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ให้แก่พวกเราทั้งหลาย ให้ได้ผลบุญเป็นปัจจุบันทันตาเห็น เป็นอัศจรรย์ ให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข ให้ทำมาค้าขึ้นประสบความสำเร็จในชีวิตในธุรกิจการงานและสิ่งที่พึงปรารถนา 

 

 

                ที่ทำธุรกิจการงานก็ให้ซื้อง่ายขายคล่องกำไรงาม อย่าได้มีอุปสรรคอันใดเกิดขึ้นมาขัดมาขวางเลย ที่รับราชการก็ขอให้ไปได้ตลอดรอดฝั่งทะลุปรุโปร่งไปถึงที่สุดในเส้นทาง ท่านที่ศึกษาเล่าเรียนก็ให้มีสติปัญญาอันเลิศแตกฉานแทงตลอดในวิชชาความรู้ ให้เป็นบัณฑิตเป็นนักปราชญ์สำเร็จการศึกษา ให้ครอบครัวนี้อยู่เย็นเป็นสุข อย่าได้มีการขัดแย้งกันเลยน่ะ อย่าเจ็บอย่าป่วยอย่าไข้ ให้ร่างกายแข็งแรง ให้อายุยืน ๆ มีจิตใจใสสะอาดบริสุทธิ์ พวกพร้องบริวารก็ให้ซื่อสัตย์สุจริต ให้บริสุทธิ์กายวาจาใจ คนภัยคนพาลก็ให้ห่างไกลกันออกไป อย่าได้เข้ามาใกล้ อัคคีภัย โจรภัย ราชภัย ภัยทุกชนิดจะเป็นศาสตราวุธเขี้ยวงา หมอเสน่ห์ เล่ห์กลมนต์คาถา จ้าวทรงผีสิงหรืออะไรก็แล้วแต่ ให้ห่างไกลให้หมด ให้ใจยึดมั่นอยู่ในทาน ศีล ภาวนา ในพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ให้หลับเป็นสุขอื่นเป็นสุข นั่งนอนยืนเดินเป็นสุขคิดอะไรก็ให้สมความปรารถนา ให้ทำความดีตั้งแต่ตื่นนอนกระทั่งเข้านอน เนี่ยขอบุญบารมีรัศมีกำลังฤทธิ์อำนาจสิทธิของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์

 

 

                คุณยายกราบทูลพระพุทธเจ้าธรรมกายพระพุทธเจ้าให้ปกปักรักษาพวกเรา จะเดินทางไปไหนมาไหนก็ให้ปลอดภัยหมดจากภัยพิบัติทั้งหลาย ให้เป็นที่รักของทุก ๆ คน จะไปแห่งหนตำบลใดก็ให้ได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่ง เป็นที่ยินดีของทุกคน ให้เค้าเมตตาปราณีสงสารรักใคร่เอ็นดูช่วยเหลือส่งเสริมสนับสนุน ให้มีถ้อยคำนั้นใสสะอาดบริสุทธิ์มีพลัง จะชักจูงแนะนำใคร ให้ตั้งอยู่ในกุศลธรรมก็ให้ชนะใจเค้าหมด ให้สร้างความศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัยให้ได้ ให้ท่านถ่ายทอดลงรักษาให้หมดทุกคนเลย ให้เป็นสัมมาทิฏฐิกันทุกคนทั้งบ้านทั้งครอบครัวทั้งปู่ย่าตายาย สามีภรรยา ลูกเต้า พวกพร้องบริวาร ญาติสนิทมิตรสหายทั้งหมดเลย เป็นสัมมาทิฏฐิให้หมดและให้กระแสธารแห่งบุญนี้ให้ประเทศชาติของเราอยู่เย็นเป็นสุข เจริญรุ่งเรืองเป็นปิ่นนานาประเทศประเทศชาติศาสนาวิชชาธรรมกาย 

 

 

                พระมหากษัตริย์ราชวงศ์ทั้งหลายเนี่ย ให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองหมด ให้มนุษย์ทั้งหลายเป็นสัมมาทิฏฐิยึดมั่นในพระรัตนตรัย ความเห็นผิด รู้ผิด หลงผิดต่าง ๆ ให้ละลายหายสูญไปให้หมด ให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ข้าวยากหมากแพงแห้งแล้งเหี้ยนเตียนต่าง ๆ ให้ละลายหายสูญให้หมด ให้ทุกคนมีศีลมีธรรมมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ให้เข้าถึงธรรมกาย ให้เข้าถึงวิชชาธรรมกายให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานขอบุญบารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์และให้อานุภาพแห่งทานบารมีที่ทำในวันนี้เนี่ย ให้สมบูรณ์ด้วยสมบัติทั้ง ๓ ติดไปในภพเบื้องหน้าคือรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ รวมทั้งได้ลาภยศสรรเสริญสุขมรรคผลนิพพาน ให้ได้หมดทุกคน ให้มีสมบัติได้เกิดขึ้นได้สร้างบารมีไม่รู้จักหมดจักสิ้น มีสมบัติแล้วก็ให้มีสติปัญญาในการใช้จ่ายสมบัติให้เป็นไปเพื่อการสร้างบารมี อย่าได้มีความตระหนี่หวงแหนในทรัพย์สมบัติ ให้ใช้สมบัติเป็น  

 

 

                เมื่อบริจาคทำทานแล้วอย่าได้เสียดาย ให้เกิดปิติเกิดความอิ่มอกอิ่มใจ มีความเบิกบานใจ ให้มีสติปัญญาอันเลิศ เฉลียวฉลาดแตกฉานแทงตลอดทั้งทางโลกทางธรรม ทะลุปรุโปร่งหมดเลย ให้ใจติดอยู่ในเส้นทางสายกลาง กลางของกลางอย่างนี้เรื่อยไปเลยเนี่ย คุณยายขอศีลขอพรขอบุญบารมีรัศมีกำลังฤทธิ์อำนาจสิทธิของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เลย ให้ธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้ของเราสะอาดหมด พวกเราทุกคนก็ตั้งจิตอธิษฐานที่ศูนย์กลางกายกันทุก ๆ คนนะจ๊ะ เอาใจหยุดใจนิ่งให้ใจใสใจสะอาด ใจบริสุทธิ์ ตั้งความปรารถนาไปที่ศูนย์กลางกายกันทุก ๆ คนเลย ตั้งความปรารถนาไป และคุณยายคุมบุญพิเศษพวกที่จะทำบุญนะ ทำบัตรเศรษฐีก็ดี สนับสนุนโครงงานพระศาสนาก็ดี ทำบุญสร้างกุฏิที่ประพฤติปฏิบัติธรรมก็ดี หรือจะทำบุญอะไรก็แล้วแต่ในวันนี้ ให้ได้ผลบุญเป็นพิเศษทันตาเห็น คุณยายคุมให้ดี พวกเราก็อธิษฐานจิตกันให้ดีทุก ๆ คนเลยนะจ๊ะ ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะ 


 

 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0025236169497172 Mins