อานุภาพหยุดเป็นตัวสำเร็จ
ปรับกาย
เมื่อเราบูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ
ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้ายให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ
หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะจ๊ะ
ปรับใจ
แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลดให้ปล่อย ให้วาง ทําใจให้ว่างๆ
คราวนี้เราก็มาสมมติว่า ภายในร่างกายของเราปราศจากอวัยวะ ไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น สมมติให้เป็นที่โล่งๆว่างๆ เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรงกลวงภายใน คล้ายๆ ท่อแก้วท่อเพชรใสๆ
วางใจ
คราวนี้เราก็มานึกถึงคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ที่ท่านสรุปคำสอนเอาไว้ว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จ คือ ใจของเราปกติมันไม่หยุด มันวิ่งไปในอารมณ์ต่างๆคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้สารพัด เรื่องคน สัตว์ สิ่งของ ตึกรามบ้านช่องครอบครัว เป็นต้น มันไม่หยุด ไม่นิ่งเลย
เอาใจที่แวบไปแวบมา มาหยุดมานิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้ เป็นที่หยุดใจอย่างถาวร ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ หยุดอย่างเดียว ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นเลย
อานุภาพหยุดเป็นตัวสำเร็จ
หยุดอย่างเดียวนี่น่าอัศจรรย์จริงๆ ไม่มีค่าสอนไหนจะวิเศษเท่าคำว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จ คือ ไม่ต้องอ่าน ไม่ต้องท่องจำ ไม่ต้องขีดเขียน ไม่ต้องไปค้นคิด เขียนก็ไม่ต้องเขียน อ่านก็ไม่ต้องอ่าน ฟังก็ไม่ต้องฟังอะไรมาก คิดก็ไม่ต้องคิด หยุดอย่างเดียว
พอหยุดถูกส่วนเข้า ร่างกายเราจะโปร่ง โล่ง เบา สบาย ตัวจะขยาย แล้วก็หายไปเลย แสงสว่างคือแสงแห่งความบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นแสงแก้วจะเกิดขึ้นเรืองรองเหมือนฟ้าสางๆ แล้วก็สว่างเพิ่มขึ้นเหมือนดวงอาทิตย์ ๗ โมงเช้า ๘ โมง ๙ โมง ๑๐ โมง ๑๑ โมงถึงเที่ยง ไม่มีบ่าย ไม่มีคล้อย สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันหรือยิ่งกว่านี้ คือ ดวงอาทิตย์เที่ยงวัน ๒ ดวงบ้าง ๓ ดวงบ้างหลายๆ ดวงบ้าง เอาความสว่างทั้งหมดมารวมกัน แต่เป็นแสงที่เนียนตา ละมุนใจ แสงแห่งความบริสุทธิ์ของใจ ที่ปราศจากนิวรณ์ปราศจากความหมองของใจ ใจจะใสๆ
แล้วก็จะเห็นความใสปรากฏเกิดขึ้นในกลางแสงสว่าง เป็นดวงใสๆ ใสเหมือนเพชร หรือยิ่งกว่านั้น ใหม่ๆ อาจใสเหมือนน้ำเหมือนกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า เหมือนแก้ว เหมือนเพชร หรือยิ่งกว่าเพชร จะใสๆ แล้วก็จะเห็นจุดสว่างเล็กๆ เท่ากับปลายเข็มอยู่ในกลางดวงใสๆ แล้วหยุดต่อไปเรื่อยๆ พอหยุดไปเรื่อยๆดวงสว่างก็ขยาย ดูอย่างเดียวนะ ไม่ต้องไปทำอะไรเลย
เดี๋ยวก็จะเห็นดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ แล้วก็เห็นกายในกาย
กายมนุษย์ละเอียด หน้าตาเหมือนตัวเรา ท่านหญิงเหมือนท่านหญิง ท่านชายเหมือนท่านชาย นั่งขัดสมาธิเจริญสมาธิภาวนาหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวเรา แล้วไม่ต้องคิดอีก ไม่ต้องพิจารณา หยุดอย่างเดิมอย่างเดียว
เดี่ยวกายก็ขยาย เห็นดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง แล้วจะเข้าถึงกายทิพย์หยาบ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหมหยาบ กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหมหยาบ กายอรูปพรหมละเอียด
กายธรรมโคตรภูหยาบ กายธรรมโคตรภูละเอียด เป็นกายองค์พระ ชัด ใส แจ่ม หยุดอย่างเดียวรู้เรื่องเลย กายนี้เรียกว่า พระธรรมกาย พอหยุดก็เห็น เห็นก็รู้ ทั้งรู้ ทั้งเห็น เป็นกายผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว
จนกระทั่งเห็นกายธรรมพระโสดาบัน หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา
กายธรรมพระสกิทาคามี หน้าตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา
กายธรรมพระอนาคามี หน้าตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา
กายธรรมพระอรหัต หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา ใส บริสุทธิ์
เห็นไปตลอดเลย เห็นไปรู้ไปด้วยหยุดอย่างเดียว ไม่หยุดไม่สว่าง ไม่สว่างก็ไม่เห็น ไม่เห็นก็ไม่รู้ มันเรียงกันอย่างนี้ เห็นเลย
เห็นถึงไหน รู้ถึงนั่น
แล้วก็เห็นกิเลสที่บังคับกายมนุษย์ แล้วก็รู้ด้วยเรียกว่าอะไรอภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ ลักษณะเป็นอย่างไร เห็นด้วย รู้ด้วยเป็นอย่างนี้ๆ ไม่ต้องไปพิจารณาอะไร ไม่ต้องไปคิดอะไรเลย แม้คิดก็คิดไม่ออก เพราะมันอยู่เหนือความนึกคิด หยุดอย่างเดียวเดี๋ยวก็รู้
อันนี้เรียก โลภะ โทสะ โมหะ
อันนี้ ราคะ โทสะ โมหะ
อันนี้ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัย
อันนี้ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เป็นต้น
เรื่อยไปเลย จนกระทั่งอันนี้เรียก อวิชชา
ไม่ได้คิด ไม่ได้เขียน ไม่ได้อ่าน ไม่ต้องไปพิจารณาอะไร นิ่งอย่างเดียว เห็นไปเรื่อยๆ เห็นไปรู้ไป เห็นไปรู้ไปเขาถึงเรียกว่า ตรัสรู้ จนกระทั่งหลุดไปเป็นชั้นๆ เลย หลุดไปเรื่อย เห็นขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ แต่ละอย่างมีอยู่อย่างนี้ขันธ์ ๕ มีอะไรบ้าง ก็เห็นไป เห็นแล้วก็รู้ว่าเรียกอย่างนั้นอย่างนี้มีคุณสมบัติอย่างนี้อย่างนั้น
กระทั่งเห็น อริยสัจ ๔ ก็ไม่ได้พิจารณา เห็นว่าทุกข์เป็นอย่างนี้ สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ นิโรธเป็นอย่างนี้ มรรคเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยเลย
หยุดเป็นตัวสำเร็จตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ ถอดกายออกเป็นชั้นๆ ได้ก็เพราะหยุด จะไปนรก ไปสวรรค์ ก็หยุดอย่างเดียว หยุดนิ่งอยู่ในกลางกายธรรม เมื่อทำเป็นวสีมีความชานาญแล้วจะโน้มน้าวไปตรงไหนก็ได้ พอไปถึงก็เห็น พอเห็นก็รู้
เช่น ตรงนี้เรียกว่า ยมโลก มีกำแพงอย่างนี้ เป็นอย่างนั้นๆมองตามไปเรื่อยๆ เห็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ หยุดอย่างเดียว ไม่ได้ทําอะไรเลย ไปถึงสวรรค์ชั้นนี้เป็นอย่างนี้ หยุดเข้าไป ธรรมกายละเอียดขยาย เราจะดูภพภูมิไหนก็ตั้งภพภูมินั้นเป็นกสิณ เดินสมาบัติในนั้น ก็จี๊ดลงไป หยุดอย่างเดียว ก็ไปรู้ไปเห็น
นี่ชั้นจาตุมหาราชิกา มีท้าวมหาราชทั้ง ๔ ปกครองในทิศต่างๆ เราก็มองไป
นี่ชั้นดาวดึงส์ มีท้าวสักกเทวราชจอมเทพปกครอง มีวิมานเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีปราสาทเวชยันต์ มีสวน มีสระ มีธรรมสภามีอะไรต่างๆ ก็หยุดอย่างเดียว ต้องหยุดให้สนิท
เห็นไหมว่า อานุภาพของหยุดยิ่งใหญ่มหาศาล พระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย จึงสรุปมาว่า หยุดเป็นตัวสําเร็จ หยุดอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไร
เพราะฉะนั้น ตอนนี้จะมืดหรือสว่างไม่ต้องไปคำนึงถึงหยุดให้เป็นเสียก่อนนะลูกนะ ฝึกหยุดฝึกนิ่ง ฝึกทุกวัน นั่งนอน ยืน เดิน เราฝึกไปอย่างสบายๆ ถ้าลำบากไม่มีทางเห็นต้องสบาย หน้ายิ้มๆ สบายๆ ให้อะเลิร์ต (alert) หน่อย มีชีวิตชีวา ใจหยุด ใจนิ่ง ใจใส ถ้าไปนั่งทอดถอนใจอย่างนี้ เห็นยากถ้านั่งแบบสบายๆ เดี๋ยวก็หยุดได้
อยู่เย็นเป็นสุข
ใจชอบสบายนะ เราคงได้ยินคำว่า อยู่เย็นเป็นสุข ที่ตรงไหนเย็น ที่ตรงไหนสบาย ที่ไหนเป็นสุข ใจชอบอยู่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้ใจสบาย ให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น หยุดอย่างเดียว เห็นไหม มันเริ่มง่ายเข้า เราเริ่มหมดความกังวลว่าจะเห็นภาพหรือไม่เห็นภาพก็ตาม ไม่คำนึงถึงแล้ว จะฝึกหยุดฝึกนิ่งอย่างเดียว มืดก็หยุด สว่างก็หยุด เห็นดวงก็หยุด เห็นกายก็หยุดเห็นองค์พระก็หยุด หยุดเข้าไปเรื่อยๆ ง่ายอย่างนี้นะ ไม่ได้ยากจนกระทั่งเหลือวิสัย
ไม่มีทางลัดอื่นใด ต้องสั่งสมหยุดกับนิ่ง ให้มีชั่วโมงหยุดชั่วโมงนิ่ง ชั่วโมงกลางให้เยอะๆ ไม่ว่าเราจะทำภารกิจอะไรก็ตามต้องฝึกหยุดฝึกนิ่งให้ใจใสๆ แช่มชื่น เบิกบาน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อะไรก็ตาม ก็ต้องชุ่มชื่น เบิกบานในทุกสถานการณ์ใจใสๆ อย่างนี้ จึงจะเป็นตัวสำเร็จ
จับหลักให้ได้นะลูกนะ จับแล้วก็ฝึกให้ได้ด้วย ให้สม่ำเสมอรักธรรมะให้มากๆ เพราะธรรมะจะเป็นเพื่อนตายสำหรับเราอยู่เคียงข้างเราตลอดไป ไม่ว่าเราจะอยู่ตามลำพัง ในป่า เขาห้วย หนอง คลอง บึง ไม่มีเหงา ไม่มีเศร้าสร้อย ซึม เซ็ง เครียดเบื่อกลุ้ม ไม่มีเลย มีแต่ความสบาย ธรรมะเป็นเพื่อนตายสำหรับเรา เป็นที่พึ่งที่ระลึกสิ่งอื่นไม่ใช่
นั่งธรรมะสนุกกว่าดูหนังดูละคร
ใครว่านั่งธรรมะไม่สนุก สู้ดูหนังดูละครไม่ได้ โอ้ ธรรมะสนุกกว่าดูหนังดูละครอีก พอเราหยุดใจได้ ได้ศึกษาวิชชาธรรมกายแล้ว เราก็มาเรียนวิชชา ๓ เรียนปุพเพนิวาสานุสสติญาณดูหนังดูละครเกี่ยวกับเรื่องตัวของเราเอง ย้อนยุคไปเลย เหมือนรีไวนด์ (rewind) เทปชีวิต ดูย้อนกลับไป ยิ่งกว่าดูหนังดูละครในจอทีวี
เราก็ดูชีวิตของเราที่ผ่านมา ซึ่งมีประโยชน์มากที่จะทำให้เราเข้าใจความจริงของชีวิต พอเข้าใจแล้ว จะเบื่อหน่ายเรื่องที่ไม่เป็นสาระ พอเบื่อหน่ายก็คลายความยึดมั่นถือมั่น พอคลายก็หลุดพ้นจากสิ่งที่เคยติดยึด พอหลุดพ้น จิตก็บริสุทธิ์ จิตจะบริสุทธิ์เป็นกุศลธรรม เกลี้ยงเกลา พอบริสุทธิ์ก็หยุดนิ่ง พอหยุดก็ดับ พอดับก็เกิดเป็นดวง เป็นกาย เห็นไหมจ๊ะ มันเรียงกันมา ซึ่งภาษาทางวิชาการเขาใช้คำว่า นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิสุทธิ์ สันติ นิพพาน
นิพพิทา คือ เบื่อชีวิตที่ไร้สาระ ที่มันตรึงเอาไว้ ติดเรื่องกะโหลกกะลา ให้ไปเที่ยวสนุกสนาน เพลิดเพลิน ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งก็ร้องไห้ ร้องไห้เพราะว่าลงไปในอบาย หัวเราะเพราะว่าพ้นแล้ว เห็นแล้วมันเบื่อ
วิราคะ คลายความผูกพัน ยึดมั่นถือมั่นในคน ในสัตว์ ในสิ่งของ ตัวเราของเรา เป็นต้น
วิมุตติ หลุดพ้น หลุดออกมาเลย ตอนหลุด ใจจะขยาย
วิสุทธิ จิตบริสุทธิ์เป็นกุศลธรรม เกลี้ยงเกลา ผ่องใสใจเกลี้ยงๆ โล่งๆ สบายๆ
สันติ คือ ใจหยุด นิ่ง สงบ ไม่มีความนึกคิดใดๆ
นิพพาน ดับไปเลย วูบตกศูนย์ไป เกิดมาเป็นดวงใสๆ เห็นปฐมมรรคต้นทางที่จะไปสู่นิพพานเป็นดวงใสๆ
เดี๋ยวก็เห็นกายในกาย กระทั่งเข้าถึงพระธรรมกาย แล้วก็ข้ามวัฏสงสารได้ด้วยพระธรรมกาย จับหลักให้ได้นะลูกนะ นิพพิทาวิราคะ วิมุตติ วิสุทธิ์ สันติ นิพพาน ๖ อย่างนี้ จำให้ดี
คืนนี้ก็เช่นเคย ใครเหนื่อย ใครง่วง ใครเพลีย ใครตึง ก็ปล่อยให้หลับในกลางอู่แห่งทะเลบุญ พอสดชื่นตื่นมาแล้วก็นั่งต่อทำต่อใครเมื่อยก็ขยับ ใครฟังก็ลืมตา แล้วก็ว่ากันใหม่ ทำอย่างนี้นะลูกนะให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยทุกๆ คนต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะ