ชีวกโกมารภัจจ์เรียนศิลปวิทยา
ชีวกโกมารภัจจ์ เมื่อเติบโตรู้เดียงสาก็เป็นเด็กดีมีความสุภาพเรียบร้อย มีสัมมาคารวะ และยังเฉลียวฉลาดอีกด้วย ทำให้เจ้าชายอภัยทรงโปรดปรานมาก เลี้ยงดูอุ้มชูเหมือนเป็นพระโอรสของพระองค์ ชีวกโกมารภัจจ์เองก็เข้าใจว่าเจ้าชายอภัยทรงเป็นพระบิดา
แต่เนื่องจากในวังนั้นมีมหาดเล็ก ตลอดจนคนรับใช้ทาสชายหญิงจำนวนมาก ที่ทราบถึงกำเนิดของเด็กชายชีวกโกมารภัจจ์และคงมีใครเผลอคุยเรื่องราวแต่หนหลังของเขาให้ได้ยิน ประกอบกับนับแต่รู้เดียงสาแล้วก็ไม่เคยรู้จักมารดาของตนเลย ซึ่งผิดกว่าเด็กอื่น ๆที่มีอายุไล่เลี่ยกัน ที่มีบิดามารดาอยู่พร้อมหน้า
เมื่อเกิดความสงสัยมากเข้า วันหนึ่งเมื่อเด็กชายชีวก มีโอกาสได้เข้าเฝ้าเจ้าชายอภัยแต่เพียงลำพังและเป็นโอกาสเหมาะจึงกราบทูลถามเรื่องที่ตนสงสัย เจ้าชายอภัยมีพระดำรัสตอบว่า
“พ่อชีวก มารดาของเจ้านั้นเราเองก็ไม่รู้จัก แต่ว่าบิดาของเจ้าคือเรา เพราะเจ้าถูกเขาเอาไปทิ้งไว้ที่กองขยะแห่งหนึ่งเมื่อแรกเจ้าเกิด เราพบเข้าจึงให้เก็บเจ้านำมาเลี้ยงไว้ตั้งแต่นั้นมาจนบัดนี้เจ้าจึงเหมือนเป็นลูกของเรา และเราจะเลี้ยงเจ้าเป็นลูกเช่นนี้ตลอดไป”
หนึ่งบินลง เด็กชายชีวกโกมารภัจจ์ ได้รู้ความจริงเรื่องของตนเองแล้วก็เกิดความสลดใจยิ่งนัก นับแต่นั้นมาก็ยิ่งมีความเสงี่ยมเจียมตัว ทั้งได้ครุ่นคิดอยู่เสมอว่า “เราเป็นลูกกำพร้า ถูกเขานำไปทอดทิ้ง เพื่อต้องการให้ตายเสียแต่แรกเกิดเพราะเกลียดชัง เดชะบุญคุ้มครองจึงไม่ตาย เจ้าชายอภัยทรงสั่งให้นำมาชุบเลี้ยง และยังทรงมีพระเมตตาต่อเราอย่างแท้จริงตลอดมา ฉะนั้นเราคงต้องเติบโตอยู่ในราชสกุลนี้ต่อไปแน่นอน”
ได้ทราบ เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ ชีวกโกมารภัจจ์ก็ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า “ผู้อาศัยราชสกุลอยู่ ควรต้องมีคุณสมบัติอย่างไรหนอ จึงจะมีความเจริญในราชสกุลได้”
ครั้นไตร่ตรองด้วยความฉลาด ก็ตอบตัวเองได้ว่า “ธรรมดาเจ้านายในราชสกุล ย่อมทรงโปรดปรานและยกย่องผู้ที่มีศิลปวิทยาสามารถปฏิบัติงานต่าง ๆ สนองพระเดชพระคุณตามที่มอบหมายให้ลุล่วงเรียบร้อยจนเป็นที่ไว้วางพระทัย
อีกประการหนึ่ง คนตระกูลสูงเช่นราชสกุลนี้จะต้องประกอบอาชีพที่มีศักดิ์ศรีให้สมเกียรติยศ อาชีพที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีนั้น ผู้ไม่มีศิลปวิทยาไม่สามารถจะทำได้ เราอยู่ในราชสกุลควรเรียนศิลปวิทยาให้แตกฉาน”
ครั้นตริตรองต่อไปว่าในจำนวนศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการที่มีสอนอยู่ตามสำนักต่าง ๆ นั้น ศิลปศาสตร์แขนงใดที่มีประโยชน์สูงสุดและสามารถเรียนได้ ในที่สุดก็มีความเห็นว่า วิชาแพทย์เป็นวิชาที่มุ่งไปทางเมตตากรุณาและเกี่ยวด้วยการเกื้อกูลประชาชน ให้พ้นความทุกข์ทรมานจากการป่วยไข้ ซึ่งหลีกเลี่ยงยาก ทั้งเป็นวิชาที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยการเบียดเบียน
ศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ ได้แก่ ๑. วิชาความรู้รอบตัว ๒. ความเข้าใจกฎธรรมชาติ ๓. การคำนวณ ๔. ยนตรกรรม ๕. วิชากฎหมาย ๖. วิชาพยากรณ์ ๗. วิชานาฏศิลป์ ๘. วิชาพลานามัย ๙. วิชาแม่นธนู ๑๐. โบราณคดี ๑๑. วิชาแพทย์ ๑๒. พงศาวดาร ๑๓. ดาราศาสตร์ ๑๔. ตำราพิชัยสงคราม ๑๕. ฉันทศาสตร์ ๑๖. วิชาพูด ๑๗. มนตร์ ๑๘. สัททศาสตร์
การที่ชีวกโกมารภัจจ์เกิดมีความคิดเห็นเช่นนี้เข้าใจว่าเนื่องจากได้ตั้งความปรารถนาต่อพระพุทธเจ้าปทุมุตตร ไว้ตั้งแต่ในอดีตชาติ ขอเป็นแพทย์ประจำพระองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังเช่นที่เล่าไว้ตั้งแต่ตอนต้น
ขณะที่ตกลงใจว่าจะเรียนวิชาแพทย์อยู่นั้นบังเอิญมีพวกพ่อค้าชาวพระนครตักกสิลามาค้าขายแล้วเลยเข้าเฝ้าเจ้าชายอภัย ชีวกโกมารภัจจ์ได้พบกับพวกพ่อค้าเหล่านั้นจึงไถ่ถาม ได้ความว่าเป็นชาวนครตักกสิลา ซึ่งเป็นเมืองที่เลื่องลือกันว่า เป็นศูนย์กลางที่เจริญด้วยแหล่งและสำนักศึกษาต่าง ๆ เสมือนเป็นเมืองมหาวิทยาลัย จึงไต่ถามถึงอาจารย์ที่สอนวิชาแพทย์ในพระนครนั้นว่ามีอยู่หรือไม่ เมื่อทราบว่ามีจึงถามถึงกำหนดที่เขาจะออกเดินทางกลับว่าถ้าเขาจะออกเดินทางเมื่อใดขอให้บอก พวกพ่อค้าเหล่านั้นก็ได้ปฏิบัติตามที่สั่ง
ในวันที่พวกพ่อค้าเดินทางกลับ ชีวกโกมารภัจจ์ได้อาศัยขบวนสินค้าหลบหนีไป ที่ต้องหนี อาจเป็นเพราะไม่กล้ากราบทูลลาเจ้าชายอภัย เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ทรงอนุญาตด้วยตัวเองอายุยังน้อย (เข้าใจว่าอายุเพียง ๙-๑๐ ปี) และหนทางก็ยังทุรกันดารและไกลมาก
เมื่อชีวกโกมารภัจจ์เดินทางถึงเมืองตักกสิลา ก็ได้พยายามสืบเสาะว่า มีอาจารย์ท่านใดที่ทรงคุณวุฒิเป็นเลิศในการสอนวิชาแพทย์ศาสตร์ เมื่อทราบแล้วจึงเข้าไปหาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ผู้นั้นเมื่อพบท่านแล้วได้แสดงความเคารพอย่างสุภาพเรียบร้อย และนอบน้อม เพราะเติบโตมาในราชสกุลจึงมีกิริยางดงาม ทั้งเล่าเรื่องราวอันเป็นประวัติของตน รวมทั้งเรื่องที่มีความตั้งใจมาเพื่อได้ศึกษาวิชาแพทย์ศาสตร์ให้ท่านทราบโดยไม่ปิดบัง จากนั้นจึงฝากตัวเป็นศิษย์
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ผู้นั้น เป็นหมอรักษาโรคซึ่งมีผู้เลื่องลือในความรู้ความสามารถว่ายอดเยี่ยม ทั้งได้ตั้งสำนักศึกษาโดยท่านเป็นทั้งเจ้าสำนักและเป็นทั้งอาจารย์สอนศิษย์เองด้วย เมื่ออาจารย์ได้ทราบประวัติ และความตั้งใจ ของชีวกโกมารภัจจ์ ประกอบกับเห็นกิริยามารยาทที่งดงาม เรียบร้อยก็เกิดความเมตตา และแน่ใจตนเองว่า เด็กคนนี้จะเป็นคนดีสืบไป จึงรับไว้เป็นศิษย์
แต่นั้นมา ชีวกโกมารภัจจ์ก็ได้อยู่ศึกษาโดยอยู่ในฐานะนักศึกษาประเภทขัดสนทรัพย์ คือเรียนด้วยอยู่กินในสำนักด้วย และทํางานรับใช้อาจารย์ในเวลาว่างเรียนเพราะไม่มีทรัพย์ติดตัวมาเพื่อจ่ายเป็นค่าตอบแทนแก่อาจารย์ ไม่เหมือนนักศึกษาอื่นที่ส่วนมากเป็นพวกราชสกุลและลูกคนมั่งมี ซึ่งเสียเงินให้อาจารย์แล้วก็ไม่ต้องทำงานอะไรตั้งหน้าเรียนไปฝ่ายเดียว
ชีวกโกมารภัจจ์เป็นคนมีสติปัญญาดีเฉลียวฉลาด แม้ต้องทำงานด้วยเรียนด้วยก็เรียนได้มาก เรียนได้เร็ว ความทรงจำที่แม่นยำที่เรียนได้จำได้แล้ว ก็ไม่รู้จักลืม ชั่วเวลาเพียง ๗ ปี เขาก็สามารถเรียนได้จนหมดความรู้ของอาจารย์ ในขณะที่นักศึกษาอื่นต้องใช้เวลาเรียนถึง ๑๖ ปี
การที่ชีวกโกมารภัจจ์สามารถเรียนได้รวดเร็วเช่นนี้ ท่านอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ในอรรถกถาจีวรขันธกะว่า เป็นด้วยเทวานุภาพคือท้าวสักกเทวราช ทรงดำริว่า “นายชีวกโกมารภัจจ์นี้ ในเบื้องหน้าจักเป็นพุทธอุปัฏฐากผู้คุ้นเคยสนิทสนมอย่างยอดเยี่ยมของพระพุทธเจ้า”
ดังนั้น จึงทรงสอนการประกอบเภสัชคือการปรุงยาให้โดยวิธีสิงอยู่ในตัวของอาจารย์ ในเวลาที่สอนวิธีปรุงยาแก่ชีวกโดยลำพังยาชนิดนี้เป็นยาขนานวิเศษคือใช้ยาขนานเดียว บำบัดโรคให้หายได้
หมดทุกโรค ยกเว้นแต่โรคที่เป็นวิบากของกรรม คือโรคที่เกิดแต่กรรมเก่าเท่านั้น พอท้าวสักกเทวราช ทรงทราบว่า ชีวกโกมารภัจจ์สามารถบำบัดโรคได้แล้ว จึงเลิกสิ่งในตัวอาจารย์ ส่วนชีวกนั้นคิดว่า
“เราเองก็เรียนได้มาก เรียนได้เร็ว ความทรงจำก็แม่นยำดี ที่เรียนได้จำได้แล้วก็ไม่เลือนลืม มีความรู้กว้างขวางทั้งด้านคัมภีร์แพทย์โบราณว่าด้วยสมุฏฐาน คือที่เกิดของโรค ทั้งด้าน เวชศาสตร์คือตำรารักษาโรค และทั้ง เวชกรรมคือการรักษาโรค อีกอย่างหนึ่งบัดนี้เวลาก็ผ่านเป็นเวลานานถึง ๗ ปีแล้ว อาจารย์ก็ยังไม่ได้รับรองว่าสำเร็จวิชาแพทย์สมควรที่เราจะไปกราบเรียนถามท่านว่า ยังมีเรื่องใดอีกบ้างในวิชาแพทย์ศาสตร์ที่ควรเรียนต่อไป และต้องใช้เวลาเรียนอีกช้านานสักเท่าไร”
ด้วยเหตุนี้ ในวันหนึ่ง เมื่อได้โอกาสอันสมควรชีวกโกมารภัจจ์ จึงเข้าไปเรียนถามอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในเรื่องที่ตนสงสัย
อาจารย์ทิศาปาโมกข์ไม่ตอบในเรื่องที่ชีวกถามแต่บอกให้เขาถือเสียมไปเที่ยวหาดูว่าในพื้นที่เมืองตักกสิลานี้บรรดาพืชทั้งหลายที่มีราก มีหน่อ มีแขนง" มีเปลือก มีกระพี้ มีแก่น มีเถา มีเง่า มีลำ มีหัว มีดอก มีผล มีรวง มีปล้อง มีปลี มียอด และมีฝัก ตลอดจนสิ่งอื่น ๆ อีก เช่น ดินขาว ดินดำ ดินแดง ดินดาน อิฐ หิน ตะไคร่ และอื่น ๆ ที่ปรากฏบนพื้นดินหรือมองเห็นได้ด้วยตา รวมทั้งสิ่งที่เกิดอยู่ใต้ดินด้วย สิ่งเหล่านี้ให้ชีวกไปสังเกตดู ไปขุดขึ้นมาดู และจดจำให้แม่นยำ เสร็จแล้วให้กลับมาบอกว่า ได้เห็นสิ่งใดบ้างที่ใช้เป็นยาหรือใช้ประกอบกับยาไม่ได้เลย โดยให้เที่ยวหา ๔ วัน วันละทิศ ทิศละ ๑ โยชน์ รวมเป็น ๔ ทิศ ๔ โยชน์ รอบเมืองตักกสิลา
ชีวกโกมารภัจจ์รับคำอาจารย์แล้ว ถือเสียมไปเที่ยวหาตามคำที่ท่านสั่ง จนครบเวลาหมดสิ้นระยะทางแล้วก็ไม่ได้พบเห็นสิ่งใดที่ไม่ใช่ยาเลย จึงกลับไปหาอาจารย์แจ้งความนั้นให้ทราบ ท่านอาจารย์รับทราบแล้ว กล่าวว่า “ชีวกบัดนี้เธอเรียนวิชาแพทย์จบแล้วความรู้เพียงเท่านี้พอเพียงที่เธอจะใช้เป็นอาชีพได้แล้ว”
จากนั้นได้มอบเงินจำนวนหนึ่งซึ่งน้อยมากให้เป็นค่าเดินทางกลับ ข้อนี้ท่านอรรถกถาจารย์ผู้รจนาเรื่องได้อธิบายถึงเหตุผลที่อาจารย์ให้เงินค่าเดินทางเป็นจำนวนน้อยไว้ว่า ชะรอยอาจารย์อาจจะคิดว่า “นายชีวกนี้อาศัยอยู่ในราชสกุล ได้รับความเมตตายกย่องให้อยู่ในฐานะเสมอพระโอรสของเจ้าชายอภัย ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อกลับไปถึงวังคงจะต้องได้รับเกียรติยศยกย่องใหญ่โต บางทีอาจจะไม่รู้สึกคุณค่าของอาจารย์และของศิลปวิทยา
แต่ถ้าหากหมดเงินเสียในระหว่างทาง และได้ใช้วิชาที่เรียนมาหาเงิน ก็จะรู้สึกถึงคุณค่าของอาจารย์ และคุณค่าของศิลปวิชาได้แน่ๆ” ดังนั้นจึงให้เงินค่าเดินทางเพียงเล็กน้อย