อดีตชาติและการให้ผลของกรรม

วันที่ 20 กค. พ.ศ.2558

 

 

อดีตชาติและการให้ผลของกรรม


    การแก้กรรมนั้นเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาว่า สามารถแก้ไขได้หรือไม่ อกุศลกรรมที่ทำมาแล้วตั้งแต่อดีตชาติ เมื่อมาส่งผลขึ้นในชีวิตก็ไม่ผิดกับโรคร้าย  เรื่องภพชาติถือว่าเป็นหนึ่งในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาในเรื่อง “ สัมมาทิฏฐิ ” คือ ความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริงในเรื่อง โลกและชีวิต 10 ประการ โดยมีข้อที่กล่าวไว้ชัดเจนว่า โลกนี้มีจริงโลกหน้ามีจริง กฎแห่งกรรมมีจริง นรกสวรรค์มีจริง ผู้ใดไม่เชื่อต้องจัดเป็น “ มิจฉาทิฏฐิ ” คือ เป็นผู้ที่มีความเห็นผิด เข้าใจผิดจากความจริงชาวพุทธควรปฏิบัติตนเป็นผู้มี “ สัมมาทิฏฐิ ” 


    หลักคำสอนในพระพุทธศาสนาเรื่องกฎแห่งกรรม มีความชัดเจนด้วยกฎของการกระทำว่า เมื่อทำสิ่งนี้แล้วจะเกิดผลอย่างไรทั้งชาตินี้และชาติหน้า โยงใยกัน เพราะฉะนั้น ถ้าตัดตอนว่าชาติก่อนไม่มี ชาติหน้าไม่มี ตายแล้วสูญ ก็ต้องถือว่าหลุดไปจากคำสอนในพระพุทธศาสนา หากต้องการจะพิสูจน์ให้เห็นชัดว่า ชาติก่อนมี ชาติหน้ามี ก็ต้องตั้งใจเจริญสมาธิ ภาวนา เกิดญาณทัสนะเมื่อใดก็ไปดูได้ด้วยตัวเองแต่ในระหว่างที่เข้าถึง เราก็สามารถตรองด้วยเหตุผลได้ เช่น คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกข้อที่เราสามารถตรองได้นั้น จะเห็นว่าจริงทั้งหมด แล้วมีเหตุผลอะไรที่พระองค์ต้องหลอกเรา พระอรหันต์ที่ตรัสรู้ธรรมแล้ว เห็นธรรมตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วมีมหาศาลเป็นแสนเป็นล้านองค์ ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน พระอรหันต์เหล่านี้ บ้างเป็นพระมหากษัตริย์มาก่อนแล้วสละราชสมบัติออกบวช บ้างเป็นมหาเศรษฐีมาก่อน บ้างเป็นมหาอำมาตย์ มหาเสนาบดี แล้วสละสิ่งที่ตนเองเคยมีทั้งหมด เพื่อมาอยู่ป่าบำเพ็ญสมณธรรม ต่างยืนยันตรงกันว่า สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนนี้เป็นความจริง


    แม้ปัจจุบันผู้ที่สามารถปฏิบัติเข้าถึงได้ก็มีอยู่ และยืนยันตรงกันว่าการเวียนว่ายตายเกิด มีจริง แม้แต่คนในศาสนาอื่นที่ศาสนาของเขาสอนว่า ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ตายแล้วก็เอาไปฝังรอวันพิพากษาก็ตามแต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่หันมาเชื่อว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง เพราะมีประจักษ์พยานหลักฐานชัดเจน
    ขณะนี้ประเทศสหรัฐอเมริการวมทั้งประเทศต่างๆ ในแถบยุโรปได้มีการทำสำรวจพบว่า ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่ามนุษย์ตายแล้วไม่สูญ ชาติก่อนมีจริง ทั้งที่คำสอนในศาสนาของเขาสอนตรงข้ามแต่ว่า เขาก็ต้องยอมรับตามเหตุผลซึ่งเป็นที่ประจักษ์เพิ่มขึ้นทุกวัน


    อีกทั้งมีกลุ่มนักวิจัย ตลอดจนนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาเรื่องนี้โดยรวมทีมกันสำรวจว่า ที่ไหนมีคนระลึกชาติได้ หรือจดจำเรื่องราวในอดีตได้ ทีมนักสำรวจก็จะดิ่งไปเก็บข้อมูล ตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งข้อมูลทุกอย่างมีการพิสูจน์แล้ว จากนั้นก็รวบรวมเอาไว้ เช่น กรณีเด็ก 3 ขวบ หรือ 5 ขวบ ที่จดจำเรื่องราวต่างๆ ในอดีตได้นั้นมีมากมาย เมื่อมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก็สามารถยืนยันได้ว่า ไม่ได้เป็นการสร้างเรื่องขึ้น เพราะไม่ใช่วิสัยของเด็กอายุขนาดนี้ ที่จะสามารถสร้างเรื่องราวโกหกต่างๆ ขึ้นมาได้ ซึ่งมีกรณีอย่างนี้หลายพันกรณี


    จากนั้นทีมนักสำรวจก็รวบรวมกรณีต่างๆ เหล่านี้นำไปตีพิมพ์ เป็นหนังสือ จึงเป็นหลักฐานยืนยันได้ชัดเจนว่า “ ชาติก่อนมีจริง ” แม้แต่ชาวยุโรปยังมีความเชื่อถึงร้อยละ 70-80 เปอร์เซนต์ ทั้งที่ขัดแย้งกับความเชื่อทางศาสนาของตน พวกเราชาวพุทธควรจะเป็นผู้ที่มี “ สัมมาทิฏฐิ ” มีความเห็น๔กต้องเป็นพื้นฐาน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ไปเห็นเอง ซึ่งจะให้เชื่อทั้งหมด 100 เปอร์เซนต์เต็มก็กระไรอยู่ ถ้าอย่างนั้นขอให้เชื่อ 99 เปอร์เซนต์ก็แล้วกัน แล้วสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นกับเรา


    หากมนุษย์ไม่เชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้า มนุษย์ก็จะสามารถทำบาปได้มากมาย แต่ถ้าเชื่อแล้วจะเกิดสติยับยั้งว่า ถ้าทำอะไรที่ไม่ดีก็จะเกิดวิบากกรรมส่งผลให้ลำบาก แต่หากทำความดีก็จะมีกำลังใจยิ่งขึ้นไป ดังนั้น ความเชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้า จริงๆ เป็นประโยชน์ต่อโลกและสังคม สิ่งสำคัญที่สุดคือ มันเป็น “ ความจริง ” ไม่ใช่ “ ความเชื่อ ” ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์เจ้าทั้งหลายยืนยันไว้ สำหรับบางท่านที่ยังมีความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมเพียงครึ่งๆ กลางๆ ก็ขอให้ตั้งใจทำความดีต่อไป ถือว่าทำไว้เผื่อว่า ถ้าชาติหน้ามีจริงตัวเองจะได้รอดพ้นวิบากกรรม คิดอย่างนี้จะได้สบายใจ แล้วพอใจอยู่ในบุญ ให้ทานรักษาศีล เจริญภาวนา พอใจนิ่งๆ ความเข้าใจก็จะเพิ่มพูนขึ้นมาเอง


จำแนกประเภทของกรรม 
    ยกตัวอย่างเหตุการณ์ในสมัยพุทธกาลที่จะโยงให้เห็นถึงเรื่องกรรม เพื่อเราจะได้เข้าใจเรื่องกรรม และถือว่าเป็นกรณีศึกษาในเรื่องการประกอบกรรมในแต่ละแบบด้วย
“ กรรม ” แบ่งได้หลายประเภท ครั้งนี้จะขอจำแนกประเภทของกรรมตามน้ำหนักของการให้ผลก่อน น้ำหนักการให้ผลแบ่งกรรมออกเป็น 2 ฝ่าย คือ “ ฝ่ายดี ” กับ “ ฝ่ายไม่ดี ” มีทั้งหมด 4 ประเภท ดังนี้


ประเภทที่ 1 ครุกรรม
“ ครุกรรม ” คือ กรรมหนัก “ ครุ ” แปลว่า “ หนัก ” ครุกรรมจะให้ผลก่อนกรรมอื่นๆ ใครทำครุกรรมฝ่ายกุศลก็จะปิดอบาย ละโลกแล้วไปสุคติภูมิ คือสวรรค์ พรหม อรูปพรหม แน่นอน อบายภูมิปิดประตูทันทีแม้เคยทำกรรมไม่ดีอะไรมาก็ตาม จะไม่ไปทางที่เสื่อม
    ครุกรรมฝ่ายกุศล ได้แก่ การได้ “ ฌานสมาบัติ ” คือเมื่อนั่งสมาธิจนได้ดวงสว่างใสๆ นิ่งกลางท้องได้ “ ปฐมฌาน ” เป็นต้นไป “ รูปฌาน4 ” “ อรูปฌาน4 ” รวมแล้วเป็น “ สมาบัติ 8 ” นี้เอง คือ ครุกรรมฝ่ายกุศล ส่วนครุกรรมฝ่ายอกุศลได้แก่ “ อนันตริยกรรม 5 ” คือ
1.    “ ปิตุฆาต ” ฆ่าพ่อ
2.    “ มาตุฆาต ” ฆ่าแม่
3.    “ อรหันตฆาต ” ฆ่าพระอรหันต์
4.    “ โลหิตุปบาท ” ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต
5.    “ สังฆเภท ” ทำสงฆ์ให้แตกแยกกัน


ผู้ที่กระทำกรรมข้อใดข้อหนึ่ง ใน 5 ข้อนี้ ต่อให้เคยทำความดีมามากมายเท่าไร หรือภายหลังกลับตัวกลับใจ ไปทำบุญอีกมากมายเพียงใดก็หนีไม่พ้น ตายแล้วต้องตกนรกแน่นอน เพียงแต่คนที่กลับตัวได้ จะตกนรกขุมตื้นหน่อยเท่านั้น ชาตินี้ไม่มีทางได้ขึ้นสวรรค์ ปิดสวรรค์ ปิดนิพพานทันที
    ข้อที่ส่งผลหนักที่สุด ในอนันตริยกรรม 5 คือ “ สังฆเภท ” ทำให้สงฆ์แตกแยกกัน ผู้ใดยุยงให้พระสงฆ์ทะเลาะกันนั้น ให้รู้ไว้เถอะว่าเป็นกรรมหนักที่สุด หนักยิ่งกว่าฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต การทำให้สงฆ์แตกแยกกันเป็นกรรมหนักมาก เพราะสร้างความเสียหายอันใหญ่หลวงให้แก่พระพุทธศาสนา หากทำผิดเข้าแล้ว ถามว่าทำบุญไปจะช่วยลบล้างกรรมนี้ได้หรือไม่ ตอบว่าช่วยได้เหมือนกัน คือ ช่วยให้พ้นจากนรกขุมลึก มาอยู่ขุมตื้นขึ้น เช่น อาจจะพ้นจาก “ อเวจีมหานรก ” มาอยู่ที่ “ โลหกุมภีนรก ”


ประเภทที่ 2 อาสันนกรรม
“ อาสันนกรรม ” คือ กรรมก่อนตาย หากก่อนตายคิดถึงอะไรสิ่งนั้นจะให้ผลก่อน เพราะคนเราทำทั้งบุญทั้งบาปมามากมาย ถ้าก่อนตายใจนึกถึงบุญกุศล ใจสว่างผ่องใส ก็จะทำให้ไปสวรรค์ แต่ถ้าก่อนตายใจนึกถึงเรื่องไม่ดี เป็นอกุศล ใจเศร้าหมองก็ต้องไปอบาย
    ดังนั้น เราจะเห็นว่าคนโบราณรู้หลักข้อนี้ดี เขาจึงบอกไว้ว่าคนใกล้ตายนึกถึงพระอรหันต์ นึกถึงพระรัตนตรัย ทำใจใสๆ ใจจะได้สว่างๆ ตายแล้วจะได้ไปสุคติภูมิ
บางท่านอาจจะสงสัยว่า การที่ให้เรานึกถึงบุญก่อนตาย เพื่อไปสุคติยภูมิ แล้วบาปที่เคยทำจะหายไปหรือไม่ ตอบว่าบาปนั้นไม่ได้หายไปไหน แต่จะให้ผลทีหลัง เพราะบุญให้ผลก่อน ทำให้เรามีโอกาสที่จะสร้างบุญเติมบารมี ทำให้บาปนั้นตามไม่ทัน


การให้บุญส่งผลก่อนย่อมเป็นสิ่งที่ดีเสมอ
มีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่า พระโสณเถระ โยมพ่อของท่านเป็นคนที่ไม่ศรัทธาในพระรัตนตรัย ทำบาปไว้มาก ถึงคราวโยมพ่อแก่ตัวลง พระโสณเถระท่านเห็นโยมพ่ออาการไม่ค่อยดีต้องการจะช่วยก็เลยพาโยมพ่อมาบวช ทั้งที่จริงๆ แล้วโยมพ่อไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก พระโสณเถระกึ่งจูงใจกึ่งฝืนใจนิดๆ
    เมื่อบวชเสร็จพ่อก็ยังไม่ค่อยมีศรัทธามากนัก จึงไม่ค่อยปฏิบัติ ครั้นถึงตอนป่วยหนัก ปรากฎว่าพ่อเห็นฝูงสุนัขตัวเบ้อเร่อ ซึ่งก็คือสุนัขจากนรก เป็นกรรมที่มาฉายภาพให้เห็นก่อน หลับตาปุ๊บเป็นได้เห็นฝูงสุนัขมารุมขย้ำ จึงรู้แล้วว่า ถ้าตัวเองตายเมื่อใดต้องไปมหานรกแน่นอน


พ่อตกใจกลัว สั่นสะท้านตลอดเวลา พระโสณเถระจึงให้พ่อนำเครื่องบูชามาฆบูชาพระเจดีย์เพื่อให้ใจเป็นกุศลขึ้น บุญส่งผลให้เมื่อละโลกไปแล้วได้ไปเกิดบนสวรรค์ก่อน เพราะใจผ่องใสนึกถึงบุญที่ทำ นึกแล้วก็เกิดความปลื้มใจขึ้นมา แทนที่จะตกนรกก็เลยรอดไปเกิดบนสวรรค์ก่อน “ อาสันนกรรม ” นั้นให้ผลก่อนอย่างนี้ เรื่อง “ อาสันนกรรม ” นี้มีข้อที่น่าสนใจหลายอย่าง อาตมภาพจึงขอยกตัวอย่างเรื่องราวครั้งพุทธกาล 2 เรื่อง ดังนี้


เรื่องราวในครั้งพุทธกาลเรื่องแรก พระติสสเถระ
    มีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่า พระติสสเถระ อยู่มาวันหนึ่งโยมพี่สาวนำจีวรเนื้อดีมาถวายพระติสสเถระ ท่านชอบมากจึงตั้งใจจะใช้ครองในวันรุ่งขึ้น แต่ว่าคืนนั้นอาหารที่ท่านฉันไปไม่ย่อย จึงเกิดอาการจุกเสียดแล้วมรณภาพ ด้วยความที่ใจท่านไปเกาะอยู่กับจีวร ผลคือ ทั้งๆที่ท่านสร้างบุญไว้มากมาย ตายแล้วกลับไปเกิดเป็นตัวเล็นอยู่ในจีวร ธรรมเนียมของพระสงฆ์ พอมรณภาพแล้วข้าวของที่มีอยู่ทางคณะสงฆ์ก็จะนำมาแบ่งกัน เช่นจีวรก็ตัดแบ่งกัน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามว่า ให้ชะลอไว้ก่อน พอเวลาผ่านไป 7 วัน ล่วงเข้าวันที่ 8 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสสั่งให้คณะสงฆ์ตัดแบ่งจีวรกันได้
    พระภิกษุเกิดความสงสัยจึงทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภายหลังว่า ทำไมจึงทรงตรัสสั่งเช่นนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นเพราะว่าตอนที่พระภิกษุเตรียมจะแบ่งจีวรนั้นเอง พระติสสเถระที่เกิดเป็นเล็นวิ่งวุ่นอยู่บนจีวรแล้วร้องบอกว่า “ จีวรของฉันๆ ” ถ้าเกิดพระภิกษุไปตัดแบ่งจีวรเข้า เล็นตัวนั้นก็จะผูกโกรธในพระภิกษุทั้งหลาย ด้วยความผูกโกรธผู้ทรงศีลนั้นเอง จะทำให้ไปเกิดในมหานรก


    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงให้เว้นไว้ 7 วัน เนื่องจากอายุของเล็นสั้น พอวันที่ 7 เล็นตายแล้วได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต เพราะบุญเก่าที่สร้างไว้มากมาย พระองค์จึงทรงอนุญาตให้พระภิกษุตัดแบ่งจีวรกันได้ เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า “ อาสันนกรรม ” นั้นสำคัญมาก
    ดังนั้น เราอย่าไปยึดติดอะไรมากเกินไปนัก ขืนไปยึดติดอะไรมากๆ เช่นถ้าใครไปยึดติดที่แหวนเพชร ยึดติดที่บ้านก่อนตาย จะส่งผลทำให้ตายไปเกิดเป็นหนู เป็นแมลงอยู่ที่บ้านนั้น อย่างนี้ไม่ดีแน่เพราะฉะนั้นอย่าให้ใจไปยึดเกาะในสมบัติมากเกินไป


    โบราณว่ามีปู่โสมเฝ้าทรัพย์เพราะหวงสมบัติ เมื่อตายแล้วก็ไม่ยอมไปเกิดที่ไหน แต่เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์อยู่ตรงนั้นเอง ต้องไปนั่งเฝ้าของอยู่ใต้ดิน เสียท่าแย่เลย ดังนั้นเราจึงไม่ควรยึดติดกับอะไรจนเกินไป ควรให้ใจของเราเกาะกับเรื่องดีๆ เรื่องบุญกุศลที่ทำให้ใจของเราผ่องใส


เรื่องราวในครั้งพุทธกาลเรื่องที่สอง พระนางมัลลิกา
    พระนางมัลลิกา เป็นผู้สร้างบุญไว้มากในฐานะคฤหัสถ์ เรื่องราวมีอยู่ว่า พระนางมัลลิกาเป็นมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชาของแคว้นโกศล มหาอำนาจในอินเดียเมื่อครั้งพุทธกาล พระนางมัลลิกาเป็นผู้ที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทำบุญ สม่ำเสมอ และยังสร้าง “ อสทิสทาน ” คือทานที่ไม่มีผุ้เสมอเหมือนอีกด้วย
    มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อพระนางเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับสุนัขตัวโปรด ซึ่งสุนัขตัวโปรดนี้ภพในอดีตนั้นเป็นอดีตสามีของพระนางเอง แต่ฝ่ายแม่บ้านทำบุญมากจึงเกิดเป็นมเหสีของพระราชา ส่วนพ่อบ้านมัวแต่ดื่มเหล้าเมายา ทำบุญนิดๆหน่อยๆ จึงมาเกิดเป็นสุนัข แต่ด้วยกรรมที่เคยผูกพันกัน จึงส่งผลให้ได้มาเกิดเป็นสุนัขตัวโปรดของพระนางมัลลิกา


    ครั้นพระนางมัลลิกาเข้าไปในห้องน้ำแล้ว สุนัขตัวโปรดตามเข้าไปด้วย เมื่อถูกเนื้อต้องตัวกัน พระนางมัลลิกาเกิดความใจอ่อน เผลอไปมีปฏิสัมพันธ์กับสุนัขเข้า ฝ่ายพระเจ้าปเสนทิโกศลยืนอยู่ที่หน้าต่างบนปราสาท มองลงมาเห็นเข้าพอดีจึงโกรธมาก เรียกพระนางมัลลิกามาเข้าเฝ้า ตั้งใจจะจัดการลงโทษสถานหนัก พระนางมัลลิกาเป็นผู้ชาญฉลาด ส่วนพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นพระราชาผู้มีปัญญาทึบ และที่สำคัญทรงรักพระมเหสีมาก พระนางมัลลิกามีไหวพริบดีจึงบอกออกไปว่า “ ห้องน้ำนั้นมันแปลกๆ ใครอยู่ในห้องน้ำคนข้างนอกจะมองเข้าไปเห็นอาการแปลกๆ ของคนที่อยู่ในนั้น ถ้าพระราชาไม่เชื่อให้ลองเข้าไปดูสิ ”พระเจ้าปเสนทิโกศลก็พาซื่อเดินเข้าห้องน้ำไป เมื่อนั้นพระนางมัลลิกาจึงส่งเสียงร้องลั่นว่า “ พระราชาไปยุ่งกับนางแพะ ทรงทำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน ” พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงหลงเชื่อว่าห้องน้ำนั้นไม่ดี จึงให้คนทุบห้องน้ำทิ้งเสีย เรื่องจึงจบลง แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ก็ติดอยู่ในใจพระนางมัลลิกามาโดยตลอดเพราะพระนางทั้งทำผิดศีลข้อ 3 และยังโกหกพระสวามีอีกด้วย


    ครั้นถึงคราวที่พระนางมัลลิกาละโลก แทนที่ใจจะนึกถึงเรื่องบุญกลับนึกถึงกรรมไม่ดีที่เคยทำไว้ นึกแล้วไม่สบายใจใจหมอง ตายไปเกิดในอเวจีมหานรก พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเสียพระทัยมากที่พระมเหสีสวรรคต พระองค์จึงเสด็จไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งใจจะถามว่าพระนางมัลลิกาไปเกิดที่ไหน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้พุทธานุภาพบันดาลให้พระเจ้าปเสนทิโกศลลืมถาม พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 7 วัน ก็ลืมถามตลอด 7 วัน พอล่วงเข้าวันที่ 8 พระเจ้าปเสนทิโกศลมาเข้าเฝ้า และทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเรื่องราวที่ตนอยากรู้ พระองค์ก็ตรัสว่า “ พระนางมัลลิกาไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว ”


    ตลอด 7 วัน พระนางมัลลิกาตกไปอยู่มหานรกแต่บุญที่ทำไว้มากจึงส่งผล เมื่อวิบากกรรมจากใจที่เศร้าหมองตอนใกล้ตายจางลงบุญได้ช่องจึงส่งผลให้ไปเกิดบนสวรรค์ 
    เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเสร็จ พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงกล่าวว่า “ คิดแล้วว่าพระนางมัลลิกต้องได้ไปเกิดบนสวรรค์แน่นอน เพราะจะหาใครใจบุญเท่านางเป็นไม่มี ถ้าพระนางไม่ได้ไปเกิดบนสวรรค์ แล้วใครล่ะจะได้ไปเกิด ”
หากในช่วง 7 วันแรก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ตอนนี้พระนางมัลลิกาอยู่อเวจีมหานรก พระเจ้าปเสนทิโกศลอาจจะซึมเศร้า และไม่เข้าใจว่ามเหสีของตนแสนดีอย่างนี้ทำไมถึงไปตกนรกได้ พระองค์อาจจะเข้าใจผิดแล้วเสื่อมศรัทธาได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงใช้พุทธานุภาพบันดาลให้ลืมไปก่อน เพราะฉะนั้น “ อาสันนกรรม ” ใกล้ตายสำคัญมาก จงอย่าได้ดูเบา


    ถึงตรงนี้อาตมภาพมีข้อคิดฝากถึงโยมหนุ่มๆสาวๆ ทั้งหลายว่า ห้ามอธิษฐานว่า “ เรารักใคร่พอใจกันเหลือเกินในชาตินี้ ขอให้ได้เกิดเป็นสามีภรรยากันตลอดในทุกภพทุกชาติไป ” โดยเด็ดขาด เหตุผลก็เพราะว่า อีกฝ่ายเขาอาจจะอยู่ในบุญไม่เท่ากับเรา ถ้าชาติหน้าเราเกิดเป็นคนแต่เขาเกิดเป็นสัตว์อื่นล่ะ แย่เลยเพราะฉะนั้น กรรมใครกรรมมัน ตัวใครตัวมัน แต่ขอให้ตั้งใจทำความดีเต็มที่เต็มกำลังต่อไป


ประเภทที่ 3 อาจิณณกรรม
“ อาจิณณกรรม ” คือ กรรมที่ทำบ่อยๆ ทำสม่ำเสมอ บางท่านรู้หลักอสันนกรรม หรือ กรรมก่อนตายอย่างนี้แล้วก็นิ่งนอนใจ จากนี้ไปทำอะไรตามใจชอบ ตั้งใจว่าถึงคราวใกล้ตายเมื่อใดก็ท่อง “ สัมมา อะระหัง ๆ ๆ ๆ ” นึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไว้แล้วตนจะได้ไปดีแน่นอน คนที่คิดอย่างนี้ประมาทมาก เสี่ยงมาก เพราะพอถึงเวลาจริงๆ จะตั้งตัวไม่ติดทุกขเวทนาบีบคั้นจนนึกถึงบุญไม่ออก
ถ้าจะให้แน่นอนว่า เมื่อละโลกไปแล้วจะไปสู่สุคติได้ต้องยึดหลัก “ อาจิณณกรรม ” อาจิณณกรรม อุปมาเหมือนหยาดน้ำทีละหยดที่ค่อยๆ ตกลงในภาชนะย่อมจะเติมภาชนะให้เต็มสักวันหนึ่ง อาจิณณกรรมก็เช่นกัน หากสั่งสมเป็นประจำสม่ำเสมอจะฝังรากลึกจนเป็นอุปนิสัย เป็นความเคยชิน และติดแน่นอยู่ตรงดวงบุญที่กลางกายนั่นแหละ


    อาจิณณกรรมแบ่งเป็นฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศล คนที่มีใจขุ่นมัวเป็นปกติ กระทำอกุศลทั้งทางกาย วาจา ใจ พอกพูนแต่สิ่งที่ไม่ดีไว้ในขันธสันดานจนกลายเป็นอุปนิสัย วันไหนถ้าไม่ได้ทำอกุศลแล้วรู้สึกมันหงุดหงิดหัวใจ มองอะไรขวางหูขวางตาไปหมด อย่างนี้เรียกว่าเป็นอาจิณณกรรมฝ่ายอกุศล
    ส่วนผู้ใดมีใจใสบริสุทธิ์เป็นปกติ ทำความดีทั้งกาย วาจา ใจ ตักบาตรให้ทานทุกวันไม่เคยขาด รักษาศีลบริสุทธิ์ทุกวัน เจริญภาวนาสม่ำเสมอ กรรมดีนี้จะพอกพูนอยู่ในใจของเรา เป็นดวงบุญติดแน่นอยู่ในศูนย์กลางกายและก่อให้เกิดอุปนิสัยที่ดีเป็นบุคลิกประจำตัว อย่างนี้เรียกว่า อาจิณณกรรมฝ่ายกุศล แม้การทำบุญในแต่ละครั้งก็มีปีติ หลังจากทำแล้วหวนระลึกในภายหลัง ความปีติยังซาบซ่านไปทั่วทุกขุมขน เมื่อทำบ่อยๆ ก็ทำให้คุ้นเคยกับความดี มีความปีติทุกครั้งที่ทำ อย่างนี้ได้ชื่อว่า อาจิณณกรรมฝ่ายกุศล


กุศลและอกุศลจะต่อสู้กันตลอดเวลา ใครมีกำลังมากกว่ากันก็จะให้ผลก่อน เหมือนนักมวยปล้ำสองคนต่อสู้กันบนเวที คนใดมีกำลังมากกว่าก็จะเป็นผู้ชนะ การให้ผลของอาจิณณกรรรมทั้งสองฝ่ายก็เช่นกัน ฝ่ายใดมีกำลังมากกว่าก็จะย่ำยีอีกฝ่ายหนึ่งที่มีกำลังน้อยกว่า แล้วฝ่ายที่มีกำลังมากกว่าก็ให้ผลเกิดเป็นวิบากทันที
    เหมือนเรื่องเล่าที่เคยเกิดขึ้นกับพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยผู้ครองราชย์อยู่ที่เกาะลังกา พระองค์ต้องทำสงครามเพื่อปราบปรามพวกทมิฬ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระองค์ได้รับความพ่ายแพ้ เหล่าจตุรงคเสนาและทหารหาญล้มตายเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงเห็นเหตุการณ์คับขันเช่นนั้น จึงเสด็จขึ้นประทับหลังม้าตัวหนึ่ง เสด็จหนีไปพร้อมกับพระพี่เลี้ยงคนสนิท ชื่อว่า ติสสอำมาตย์ จนมาถึงป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ทรงลงพักเหนื่อยเนื่องจากพระวรกายได้รับความบอบช้ำ และทรงหิวกระหายเป็นอย่างมาก จึงตรัสถามอำมาตย์ว่าจะทำอย่างไรดี ติสสอำมาตย์เป็นคนรอบคอบจึงทูลตอบว่า “ ก่อนจะหนีข้าศึกมาข้าพระองค์ได้นำอาหารใส่ขันทองคำแล้วห่อผ้าไว้ พอที่จะบรรเทาความหิวไปได้ ” แล้วอำมาตย์ก็แก้ห่อผ้าสาฏกนั้นออก นำเอาอาหารมาถวายพระราชาของตนเพื่อให้พระองค์เสวย 


    แต่พระราชาทรงเป็นผู้มีศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัย จึงตรัสให้แบ่งโภชนาหารออกเป็น 3 ส่วน ทำให้ติสสอำมาตย์เกิดความแปลกใจเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจทูลถามขึ้นว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นสมมติเทพบัดนี้เรามีกันอยู่เพียง 2 คน เหตุใดพระองค์จึงให้แบ่งอาหารออกเป็น 3 ส่วน ” พระราชาเป็นผู้ให้ทานไม่เคยขาดจึงตรัสตอบว่า “ ท่านรู้ไม่ใช่หรือว่า หากเราไม่ได้ถวายอาหารกับพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ย่อมจะไม่บริโภคอะไรเลย เราต้องให้ทานก่อนแล้วจึงบริโภคทีหลัง ”
อำมาตย์จึงเอ่ยขึ้นว่า “ ในป่าอย่างนี้ เราจะหาพระคุณเจ้าได้ที่ไหนกัน ” แล้วก็แบ่งอาหารที่มีอยู่นิดหน่อยนั้นออกเป็น 3 ส่วน ตามพระราชประสงค์ของพระราชา พระราชาก็ตรัสอีกว่า “ เมื่อท่านแบ่งเสร็จแล้ว จงอาราธนานิมนต์พระคุณเจ้าให้เราด้วย ” เมื่อตรัสจบก็ทรงหลับพระเนตร มหาอำมาตย์ไม่รู้จะทำอย่างไรดีก็เลยต้องทำตาม จึงเที่ยวตะโกนนิมนต์พระกลางป่าลึก แต่ก็ยังไม่มีวี่แววที่จะมีพระผ่านมาทางนี้ พระโพธิยมาลกติสสเถระผู้ทรงคุณวิเศษในบวรพระพุทธศาสนาได้สดับฟังเสียงนั้นด้วยทิพพโสต จึงตรวจดูด้วยญาณแห่งพระอรหันต์ทรงทราบเรื่องราวทั้งหมดจึงดำริในใจว่าจะไปโปรดพระราชา เพราะพระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาอย่างยิ่ง เมื่อดำริเช่นนี้ จึงเหาะขึ้นสู่อากาศด้วยฤทธิ์ ของพระอรหันต์ มาปรากฎกายต่อพระพักตร์ของพระราชาผู้มีหทัยเปี่ยมล้นด้วยความเลื่อมใส เมื่อพระราชาทอดพระเนตรเห็นพระผู้เป็นเนื้อนาบุญมาปรากฎต่อหน้าเช่นนั้น มหาปีติแผ่ซ่านไปไม่รู้จบ พระองค์ทรงน้อมพระวรกายที่แสนจะอ่อนล้า นมัสการพระเถระว่า “ ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงฉันภัตตาหารเถิด อย่าห่วงโยมเลย เพราะโยมนี้ดีใจหนักหนาที่ได้ถวายภัตตาหารมื้อนี้แด่พระเถระ ”


    มหาอำมาตย์คู่พระทัยเห็นพระราชาตัดใจถวายทานหมดทั้ง 2 ส่วน ก็เกดความปีติขึ้นมาเช่นกัน จึงตัดใจถวายส่วนของตนให้กับพระเถระ พระเถระรับบิณฑบาตแล้วกล่าวอนุโมทนากับพระราชาและมหาอำมาตย์ แล้วก็เหาะกลับไปยังมหาวิหาร เมื่อไปถึงก็จัดแจงแบ่งภัตตาหารถวายแก่หมู่ภิกษุสงฆ์เป็นสังฆทาน เพื่อให้เกิดอานิสงส์ใหญ่แก่พระราชาและมหาอำมาตย์ เมื่อคล้อยหลังพระเถระไป ความหิวที่ถูกปีติท่วมทับไว้ก็ได้แสดงอาการพระราชาจึงดำริในใจว่า จะทำอย่างไรดีถึงจะได้อาหารมาบรรเทาความหิว พระเถระอยู่ในวิหารทราบถึงความคิดของพระราชา จึงเอาอาหารที่เหลือจากพระภิกษุสงฆ์ใส่บาตรจนเต็ม แล้วอธิษฐานจิตโยนบาตรขึ้นไปบนอากาศ บาตรได้ลอยไปตกลงในพระหัตถ์ของพระราชา ทั้งพระราชาและมหาอำมาตย์บังเกิดมหาปีติอย่างยิ่ง เมื่อเสวยอาหารนั้นจนหมดแล้ว อยากจะตอบแทนพระเถระ จึงนำเอาผ้าสาฎกเนื้อดีใส่ลงไปในบาตร แล้วอธิษฐานจิต ขอให้บาตรนี้ลอยกลับไปหาพระเถระผู้เป็นเจ้าของบาตร ขึ้นไปบนอากาศ บาตรนั้นลอยกลับไปหาพระเถระดังเดิม


    ต่อมา ภาพแห่งการทำความดีครั้งนั้น ทำให้พระองค์มีความเชื่อมั่น ในอานุภาพของบุญเพิ่มมากขึ้น ทรงรักการสร้างบารมียิ่งกว่าเดิม หลังจากรวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นแล้ว ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทรงสร้างวัดวาอารามมากมาย  ทั้งพระเจดีย์และมหาวิหารแต่ความประทับใจในการทำความดีในวันนั้นไม่มีเลือนหายไปจากใจของพระองค์เลย ภาพตอนที่พระองค์ถวายทานยามยากแด่พระเถระ สิ่งนี้ได้สลักแน่นติดตาตรึงใจอยู่ในความรู้สึกภายใน จนกระทั่งพระองค์ล่วงเข้าสู่วัยชรา ตามธรรมดาของสังขาร แม้บรรทมอยู่บนเตียงคนป่วยแต่กลับเป็นคนป่วยที่ดูสดชื่นผ่องใส ในขณะที่มรณภัยมาเยือน อาจิณณกรรมฝ่ายกุศลก็ดลบันดาลให้พระองค์นึกถึงแต่ความดีที่ทำผ่านมา และดำริอยากจะไปบูชาพระเจดีย์ที่ทรงสร้างไว้ บุญกุศลก็ท่วมท้นขึ้นมาในใจ ตอนใกล้สวรรคต เทวดาหกชั้นฟ้าได้มาทูลเชิญอาราธนาพระองค์ให้ไปอยู่ด้วย พระราชาจึงน้อมนำใจไปอุบัติยังดุสิตสวรรค์ทันที ด้วยหมายใจว่าดุสิตสวรรค์ประเสริฐกว่าทุกชั้นฟ้า เพราะเป็นที่ประทับของพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย ดังนั้นอาจิณณกรรมฝ่ายกุศลจึงส่งผลให้พระองค์มีพระทัยผ่องใส ไปอุบัติในดุสิตสวรรค์


    จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า อาจิณณกรรมที่เราทำสม่ำเสมอจะมีผลต่อการเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติเลยทีเดียว สิ่งที่เราทำไว้จนเป็นความคุ้นเคยเป็นความเคยชินจะมาปรากฎเป็นกรรมารมณ์ก่อนที่เราจะละสังขารร่างกายนี้ไป เมื่อใจคุ้นกับสิ่งใด สิ่งนั้นจะเข้ามามีบทบาทกับรอยต่อของชีวิตก่อนที่เราจะหลับตาลาโลกนี้ ดังนั้นทุกท่านอย่าดูเบา ให้หมั่นสั่งสมอาจิณณกรรมฝ่ายกุศลไว้ให้ดี ทั้งทำทานรักษาศีล เจริญภาวนา และสร้างบุญบารมีทุกอย่างให้เต็มที่โดยไม่มีข้อแม้ข้ออ้างเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น เมื่อทำได้อย่างนี้รับประกันว่า เราจะต้องจากไปอย่างผู้มีชัยชนะ จะมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปอย่างแน่นอน


ประเภทที่ 4 กตัตตากรรม
“ กตัตตากรรม ” คือกรรมเล็กๆ น้อยๆ ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดีที่กระทำไปโดยไม่ตั้งใจ ถ้าไม่มีกรรมอย่างอื่นที่หนักกว่า กรรมเล็กๆน้อยๆเหล่านี้จึงจะส่งผล เหมือนตัวอย่างที่เด็กทารกไร้เดียงสา มีพ่อแม่ที่ชอบทำบุญให้ทาน เป็นสัมมาทิฏฐิ เชื่อว่าบาปบุญมีจริง จึงปรารถนาที่จะปลูกฝังสิ่งที่ดีงามเช่นนี้ให้กับลูก เวลาที่จะทำบุญตักบาตรก็จับมือทารกที่ยังไม่รู้อะไรเลย แต่ว่ากุศลกรรมที่ทำลงไปนั้น ย่อมให้ผล แม้จะทำแบบไม่รู้เรื่องเลยก้ตามกุศลกรรมที่สักแต่ว่าทำนั้น เป็นกรรมที่มีกำลังอ่อน แม้อกุศลก็เช่นกัน ถึงจะไม่ตั้งใจทำก็ให้ผล แต่ว่ามีกำลังอ่อน
    ดังนั้น เมื่อเราทราบแล้วว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง กฏแห่งกรรมมีจริง แล้วจะแก้ไขกรรมได้อย่างไร เราก็ต้องเข้าใจเรื่องของกรรมก่อน จริงๆแล้วเรื่องกรรมซับซ้อนมาก ยังมีกรรมที่ทำให้มาเกิด กรรมใดจะส่งผลก่อน ส่งผลหลัง อุปถัมป์ค้ำชู หรือจะมาตัดรอนอย่างนี้ ยังมีอีกมากมายนัก ซึ่งจะอธิบายขยายความในโอกาสต่อไป

 

--------------------------------------------------------------------------------------

ไขปัญหาความเชื่อ


รวบรวมหลักธรรมคำบรรยายของ "พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฆ" ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ อดีตชาติ การแก้กรรม ชีวิตหลังความตาย และข้อคิดจาดความตาย เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหนทางสู่ความสุข ความสงบภายในจิตใจ ถ่ายทอดด้วยสำนวนภาษาอ่านง่าย ให้ข้อคิดอันหลากหลาย ซึ่งคุณสามารถนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี


http://tltpress.com/book004.html#

ซีเอ็ดบุ๊ค เซนเตอร์

ร้านนายอินทร์

ศูนย์หนังสือจุฬา

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.00098828077316284 Mins