ชาดก 500 ชาติ รวมนิทานชาดกพร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ชาดก 500 ชาติ : ชาดก 500ชาติรวมชาดก 500 ชาติพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ชาดก คือ เรื่องราวหรือชีวประวัติในอดีตชาติของพระโคตมพุทธเจ้า คือ สมัยที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงนำมาเล่าให้พระสงฆ์ฟังในโอกาสต่าง ๆ เพื่อแสดงหลักธรรมสุภาษิตที่พระองค์ทรงประสงค์ เรียกเรื่องในอดีตของพระองค์นี้ว่า ชาดก ชาดกเป็นเรื่องเล่าคล้ายนิทาน บางครั้งจึงเรียกว่า นิทานชาดก

ชาดก 500 ชาติ :: อรรถกถา ปทกุศลมาณวชาดก ว่าด้วย ภัยที่เกิดแต่ที่พึ่งอาศัย

อรรถกถา ปทกุศลมาณวชาดก

ว่าด้วย ภัยที่เกิดแต่ที่พึ่งอาศัย

    

                ในอดีตกาล ช่วงสมัยของพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระองค์ทรงแต่งงานกับหญิงสาวที่มาจากตระกูลที่สถานะใกล้เคียงกัน จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายปี พฤติกรรมของพระมเหสีนั้นเริ่มเปลี่ยนไป จนองค์กษัตริย์ตะขิดตะขวงใจภรรยาของตน

 

                  คืนหนึ่ง ณ ห้องบรรทม “พี่ได้ยินข่าวมาว่าเจ้าแอบไปหาขุนนางหนุ่มในตอนกลางคืนนั้นจริงหรือ” พระมเหสีมีสีหน้าตกใจ ก่อนจะเอ่ย “ใครบอกท่านหรือ” หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงนอนเอ่ย "น้องจะรู้ไปทำไมเล่า" "ก็....." ก่อนที่หญิงสาวจะเงียบลง พร้อมกับสีหน้าที่เศร้าสร้อย น้ำตาเอ่อคลอเบ้าเล็กน้อย จนชายผู้เป็นสามีใจอ่อน ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างจับไปที่ต้นแขนของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา “แล้วตกลงมันเป็นอย่างไรล่ะน้องหญิง เจ้าตอบพี่มาก่อนสิ”  ฮึกๆ ฮึกๆ ฮือ หญิงสาวปล่อยโฮ ซบหน้าเข้ากับอกกว้าง “น้องไม่เคยคิดจะนอกใจท่านพี่เลยนะเจ้าคะ น้องนั้นรักท่านคนเดียว คืนนั้นแค่ออกมาเดินตากอากาศ คนที่เห็นเข้าคงจะเข้าใจผิดไปเอง ฮือๆ ” “โอ๋ๆ ไม่เป็นอะไรนะ พี่ไม่โกรธเจ้าหรอก” ชายผู้เป็นสามีใช้มือลูบหัวภรรยาของตน ใบหน้าที่ตอนนี้เปื้อนไปด้วยน้ำตา เงยหน้าขึ้นมอง ไปยังดวงหน้าของสามีก่อนเอ่ย “ถ้าท่านพี่ไม่ไว้ใจ น้องสาบานก็ได้ให้ท้องฟ้าเป็นพยานถ้านอกใจ ขอให้เกิดเป็นนางยักษ์มีหน้าเหมือนม้า”


                  หลังจากนั้นเป็นต้นทั้งคู่จึงใช้ชีวิตร่วมกันจนกระทั่งพระมเหสีสิ้นใจลง และได้ถือกำเนิดเป็นยักษิณีมีหน้าเหมือนม้าอาศัยอยู่แถวเชิงเขา เที่ยวจับผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาเป็นอาหาร อยู่มาวันหนึ่งมีพราหมณ์หนุ่มรูปงามและคณะ กำลังเดินอยู่บนถนนตัดผ่านกลางป่าใหญ่ ซึ่งมีนางยักษ์ซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ที่ขึ้นอยู่ริมข้างทาง  ดวงตาคู่โตจ้องมองไปยังพื้นถนนเบื้องหน้า พิจารณาไปยังเหยื่อของตน ขณะที่ขบวนกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ นางจึงผลุดลุกขึ้น ยืนจังก้า ขวางทางไว้ "พวกท่านจะไปที่ไหนหรือ ถึงเดินผ่านมาทางนี้" 

 

                    “เฮ้ยนั้นมันตัวอะไร” “ต้องเป็นสัตว์ประหลาดแน่ คนที่ไหนจะมีหน้าตาหน้าเกลียดเช่นนี้” "หน๊อยยย..จะถึงที่ตายอยู่แล้วยังปากดีอยู่นะ กล้ามาว่าข้าน่าเกลียดงั้นหรือ" ก่อนที่ร่างใหญ่วิ่งตรงไปยังคณะพราหมณ์ด้วยความเร็วสูง คลื่นนน พื้นพสุธาสั้นสะเทือน ป่าไม้ไหวโยก ใบไม้ร่วงระนาวดั่งกับโดนพายุห่าใหญ่เข้าโจมตี ขบวนขนาดใหญ่ที่บัดนี้ต่างทิ้งข้าวของวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต  "พรึบ" "พรึบ" "ปล่อยข้านะ" พราหมณ์หนุ่มผู้โชคร้ายพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากพันธนาการของยักษ์สาว แต่ด้วยกำลังที่ต่างกันทำให้ชายหนุ่มไม่อาจหนีได้ 

 

                 หลังจากนั้นนางยักษ์ได้นำชายหนุ่มมาขังไว้ที่ถ้ำก่อนจะใช้แผ่นหินปิดเอาไว้ วันหนึ่ง ขณะที่นางพราหมณ์หนุ่มออกมาจากถ้ำ ดันสะดุดเข้ากับใบที่หล่อเหล่า รูปหน้าที่เรียวยาว คิ้วที่คมเข้ม จมูกโด่งโง้งงุ้ม ริมฝีปากเรียว จนนางยักษ์ถึงกับละเมอ "ช่างงดงามเหลือเกิน"  ใบหน้ายักษ์สาวตกตะลึงก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อเหมือนลูกมะเขือเทศยามสุกงอม หัวใจที่เคยเต้นปกติ ตอนนี้กลับเหมือนจะกระโดดออกมาจากทรวงอก  "บ้าน่าเราตกหลุมรักชายคนนี้หรอ" จากนั้นนางยักษ์จึงใช้มือเชยคางชายหนุ่มให้เงยหน้าขึ้น จนดวงตาทั้งสองคู่สบกัน ก่อนนางจะเอ่ยว่า "ถ้าท่านยอมเป็นสามีของข้า เราจะไว้ชีวิตท่าน เลือกเเล้วกันว่าจะเอาแบบไหน" ชายหนุ่มมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ใบหน้างดงามบัดนี้มีร่องร่อยแห่งการครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย "ได้ ข้าจะยอมเป็นสามีของเจ้า"

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%871.jpg

   

              จากนั้นเป็นต้นมาทั้งสองต่างอาศัยอยู่ร่วมกัน จนกระทั่งได้ให้กำเนิดลูกน้อยขึ้น นางนั้นคอยประคบประหงม ลูกชายของตนเป็นอย่างดี จนกระทั่งเติบโตจากนั้นจึงได้ให้ลูกเข้าไปภายในถ้ำพร้อมกับบิดาแล้วปิดปากถ้ำไว้ วันหนึ่งขณะที่พ่อและบุตรชาย นั่งอยู่ในถ้ำที่ถูกปิดสนิท “พ่อครับ เราออกไปเที่ยวไหม” “ไม่ได้หรอก” “ทำไมออกไปไม่ได้ละ ก็แค่ยกหินออก เราก็ไปได้แล้ว” “เดี๋ยวแม่เจ้าจะโกรธเอานะ” พร้อมใช้มือลูบหัวเด็กชายอย่างเอ็นดู "อยู่ในนี้แหละดีแล้ว" "อย่างนั้นหรือ" เด็กชายมีท่าทีครุ่นคิด ก่อนที่จะคว้าข้อมือของพ่อดึงออกมาจากถ้ำ "ดะ..เดี๋ยว"  “มากับผมเถอะ ไปเที่ยวตรงบึงน้ำกัน” 

 

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%872.jpg

 

                 เย็นวันเดียวกัน “ใครเอาศิลาออกจากปากถ้ำ ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้เอาออก! ”  ขณะที่นางยักษ์ยืนใช้มือทั้งสองข้างเท้าเอวจ้องมายังสองพ่อลูกอย่างขุ่นเคือง “ผมทำเองครับ” เด็กชายยกมือขึ้นพร้อมมีสีหน้าที่เศร้าสร้อย “โถ....ลูก” นางเอ่ยเสียงอ่อย พร้อมเดินเข้ามาหาบุตรชายทันที “ทำไมถึงหนูเปิดหินที่ปิดอยู่ปากถ้ำล่ะ” “ในถ้ำนั้นมืด ผมกลัว” "ไม่เป็นไรจ้ะ แม่ไม่โกรธลูกหรอก" ก่อนจะเข้าสวมกอดลูกชายของตนอย่างรักใคร่  หลายวันผ่านไป ทั้งสามยังอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งวันหนึ่ง เด็กชายเกิดความสงสัย “พ่อจ๋า ทำไมหน้าของแม่ไม่เหมือนพ่อเลย” เด็กน้อยเอ่ยถามอย่างสงสัย “ก็แม่เค้าแตกต่างจากเราทั้งสอง” “อย่างไรหรือครับ” “แม่ของเจ้าเป็นยักษ์ที่คอยไล่จับคนกินเป็นอาหาร ส่วนเราสองคนคือมนุษย์ ถ้าเราทำให้แม่โมโหอาจจะถูกจับกินเป็นอาหารได้” “ถ้าเช่นนั้นเราจะอยู่ในที่นี่ทำไมละ” “แม่ของเจ้านั้นเร็วปาดเปรียวดังลม ไม่ว่าจะหนียังไงก็ถูกตามเจออยู่ดี” “แต่ว่าถ้าอยู่ที่นี่เราทั้งสองก็มีสิทธิถูกกินไม่ใช่หรือ” พราหมณ์ผู้พ่อพยักหน้า “งั้นเราไปแดนมนุษย์กันเถิด” ก่อนที่เด็กชายจะพยายามดึงแขนของพ่อ “เดี๋ยวก่อน ถ้าเราหนีไปแม่ของเจ้าก็จะฆ่าเราทั้งสองนะ” “อย่ากลัวเลยพ่อ ฉันจะพาไปให้ถึงแดนมนุษย์เอง”


                 เช้าวันต่อมานางยักษ์กลับมาที่ถ้ำซึ่งเป็นสถานที่สองพ่อลูกอาศัยอยู่ ก่อนจะพบว่าแผ่นหินที่นางใช้ปิดปากถ้ำนั้นถูกเปิดออก “สงสัยคงจะเดินเล่นอยู่แถวๆนี้” นางยักษ์เดินตามหาลูกชายของตนไปทั่ว แต่ไม่พบแม้แต่เงา “แย่แล้ว! ลูกและสามีของเราต้องแอบหนีออกไปแน่” ก่อนจะออกวิ่งรวดเร็วประดุจดั่งพายุ  ขณะเดียวกันก็ใช้สายตาสาดส่องพยายามมองหาสองพ่อลูก “ไปไหนกันนะ!” นางวิ่งไปมา รอบแล้วรอบเล่า “ลูกอยู่ไหน” เสียงตะโกนของนางยักษ์ดังลั่นไปทั่วป่า  "หรือว่าหนีออกไปแล้ว" ก่อนสายตาคู่กลมจะสบเข้ากับร่างสองร่างที่นางตามหา "นั้นไง" ใบหน้าที่ตอนนี้บิดเบี้ยวไปด้วยความกลัวกลับเปลี่ยนเป็นแช่มชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

                  “อยู่นี่เอง” ก่อนที่นางยักษ์จะยืนขวางบุคคลทั้งสองไว้ ดวงตาคู่โตที่เอ่อไปด้วยน้ำตา จ้องมองไปที่คนรัก ก่อนจะเอ่ยคำพูดเชิงตัดพ้อ “ท่านหนีทำไม ขาดแคลนอะไรหรือ?” “น้องรัก เธออย่าโกรธพี่เลย” พราหมณ์หนุ่มมีสีหน้าหวั่นวิตก “ลูกชายพาพี่ออกมา” พราหมณ์ผู้เป็นสามีเอ่ยขึ้นอย่างร้อนๆหนาวๆ  “ไม่เป็นไรค่ะ กลับบ้านเรากันเถิด”


                  หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาบุตรชายพยายามหาวิธี หนีออกมาจากภูเขาที่ตนอยู่อาศัย “มันต้องมีวิธีสิ ที่เราจะหนีออกมาได้” เด็กชายพยายามนั่งครุ่นคิด หาวิธีต่างๆนาๆ  “เอ้.. ปกติแล้วแม่ของเราเป็นยักษ์ ท่านน่าจะมีเขตแดนที่ออกไปไม่ได้นะ”ลองไปถามก่อนดีกว่า" เช้าวันต่อมาเด็กชายเดินเข้าไปหาแม่ของตน ที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ริมบึงน้ำอยู่ไม่ไกลจากถ้ำเท่าไหร่นัก "แม่ทำอะไรอยู่ครับ" "กำลังซักผ้าจ้ะ" "เดี๋ยวผมช่วยนะ" "ขอบใจมากจ้ะ" ก่อนที่จะหยิบเสื้อผ้าบางส่วนยื่นให้กับลูกชายของตน ทั้งสองคุยกันอย่างสนุกสนาน “แม่จ๋า ปกติแม่เดินทางได้ถึงไหน” “จะถามทำไมล่ะ” “ก็ลูกจะได้เดินเล่นอยู่ในเขตที่แม่กำหนดไว้ไงครับ” “อย่างนั้นหรือ” ผู้เป็นแม่พยักหน้า พร้อมกับใช้มือที่หยาบกร้านลูบเข้าไปที่หัวของลูกชาย  “จากถ้ำนี้ยาว ๓๐ โยชน์ กว้าง ๕ โยชน์ (๑ โยชน์=๑๖,๐๐๐) ภูเขาลูกข้างหน้าเจ้าคือเขตแดน ลูกรัก เจ้าจงอยู่ในบริเวณนี้นะ” “ครับ” เด็กชายพยักหน้ารับปาก


                 สามวันต่อมา "ท่านพี่ วันนี้น้องจะขึ้นไปบนภูเขา ช่วยดูลูกให้น้องด้วยนะ” “ได้สิ” พราหมณ์หนุ่มจะพยักหน้ารับ "ส่วนลูกอย่าดื้อนะ" นางยักษ์นั่งยองๆ ก่อนใช้มือจับไปที่แก้มทั้งสองของเด็กชาย แม่ไปไม่นานเดี๋ยวจะรีบกลับมา  ก่อนจะโบกมือโบกไม้ให้คนทั้งสอง แล้วเดินเข้าป่าไป  ครั้นเมื่อแม่ลับสายตา “ไปกันเถิดครับ” “ไปไหน” “พ่ออย่าพึ่งถาม ขึ้นมาบนบ่าผม" ก่อนที่ลูกชายของตนจะนั่งคุกเข่าลง "ขึ้นมาครับ" เด็กชายเอ่ย  “ดะ..เดี๋ยวก่อน” “เร็วสิครับ” ลูกชายเร่งเร้าผู้เป็นพ่อ “จับไหล่ให้แน่นนะครับ” ก่อนที่เด็กชายจะออกวิ่งไปอย่างรวดเร็วดั่งพายุ ตึกๆ เสียงวิ่งดังไปทั่วบริเวณ ลมพัดโหมกระหน่ำต้นไม้ใหญ่น้อยไหวเอนตามแรงลม บางส่วนโค่นล้มไปกับพื้นระเนระนาดไปตามทาง

 

                 ด้านนางยักษิณีกลับมาถึงเมื่อไม่เห็นคนทั้งสอง จึงออกตามหา จนกระทั้งเจอเข้ากับสามีและลูกของตนที่ตอนนี้ยืนอยู่กลางแม่น้ำ นางได้แต่นั้งอยู่ริมฝั่ง  “ลูกรัก เจ้าจงพาพ่อกลับมาเถิด แม่มีความผิดอะไร ถึงพากันหนีเช่นนี้ได้โปรดกลับมาเถิด” ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อนอง

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%873.jpg


                 ขณะเดียวกันพราหมณ์ผู้เป็นสามีเดินข้ามฝั่งแม่น้ำเรียบร้อยแล้ว หันกลับมามองภรรยาของตน ก่อนเอ่ย“เจ้าอย่าได้ทำอย่างนี้เลยจงกลับไปเถิด”  ก่อนที่ลูกชายจะเอ่ยเสริม “ฉันและพ่อเป็นมนุษย์ แม่เป็นยักษ์เราไม่อาจอยู่ร่วมกันได้”  “ทำไมเล่า” หญิงสาวตัดพ้อ “แม่ไม่เคยคิดทำร้ายเจ้าและพ่อเลย แล้วเหตุใดถึงอยู่กับแม่ไม่ได้เล่า" "เพราะแม่กินมนุษย์เป็นอาหารไม่ใช่หรือ” คนเป็นแม่สะอึกเมื่อเจอคำตอบลูกชายหัวแก้วหัวแหวน "โถลูก เรื่องแค่นี้เองหรือ" ขณะที่เจ้าตัวยังคงร้องไห้คร่ำครวญ ฮึกๆ ฮึกๆ "แม่ขอถามเป็นคำถามสุดท้าย เจ้าจะไม่กลับมาหาแม่จริงๆหรอ" “ครับ” ความเจ็บปวดพลุ่งพล่านเหมือนลูกศรพุ่งเข้ามายังหัวใจ ก่อนเจ้าตัวจะใช้หลังมือปาดน้ำตา “ลูกรัก ถ้าเจ้าไม่กลับก็ไม่เป็นไร แต่โลกในชีวิตจริงนั้นอยู่ยากนัก คนที่ไม่มีวิชาไม่อาจจะดำรงชีพอยู่ได้ แม่รู้วิชาอย่างหนึ่งชื่อจินดามณี ด้วยอานุภาพของวิชานี้จะติดตามรอยเท้าของผู้ที่ทำทรัพย์สินหายไปได้” “ลูกรัก เจ้าจงเรียนมนต์อันหาค่ามิได้นี้ไว้เพื่อตัวเจ้าเอง” "ขอบคุณครับ" เด็กชายยืนอยู่กลางแม่น้ำไหว้มารดา "ประนมมือขึ้นแล้วพูดตามแม่นะ"  

 

           “ขอบคุณมากที่ช่วยสอนกระผม กลับไปเถอะครับ ผมจะไปแล้ว” ก่อนจะหันหลังให้แม่ของตน ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ตุบๆ ตุบๆ เสียงทุบอกของนางยักษ์ก็ดังขึ้น ก่อนที่เด็กชายจะหันไปทางต้นเสียง "ท่านแม่หยุดเถิด!" เสียงร้องอ้อนวอน ของลูกชายดังขึ้น แต่กระนั้นก็ไม่สามารถหยุดการกระทำได้  "แม่จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีเจ้าทั้งสอง" ทันใดนั้น ดวงใจได้แตกสลาย ก่อนจะล้มลงกับพื้น  "แม่!" เด็กชายร้องตะโกนก่อนวิ่งเข้าไปหานางยักษ์  "ท่านแม่ครับ! ตื่นสิ ตื่นขึ้นมาก่อน" เด็กชายทั้งร้องเรียกพร้อมเขย่าร่างที่บัดนี้นอนนิ่งอยู่บนพื้น ก่อนจะใช่มืออังเข้าไปที่จมูก “พ่อครับแม่เสียแล้ว” ผู้เป็นพ่อมีสีหน้าเศร้าสลด “งั้นเราทำศพแม่ให้เสร็จก่อน แล้วค่อยเดินทางต่อกันไหม” “ครับ”

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%874.jpg

 

                 หลังจาการที่ทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็เดินทางตรงไปยังเมืองพาราณสีทันที  ณ ห้องท้องพระโรง “พระราชาขอรับมีเด็กหนุ่มผู้ฉลาดสังเกตรอยเท้ามายืนอยู่ที่ประตู ขอเข้าเฝ้าพระองค์” “อย่างงั้นหรือ ไปเรียกให้เข้ามา” "ถวายบังคมพะย่ะค่ะ" “เจ้าช่วยเล่าคุณสมบัติให้ข้าฟังได่ไหม” “พะย่ะค่ะ กระหม่อมนั้นสามารถหาของที่ทำหายหรือถูกขโมยได้ ถ้าหายไม่เกิน ๑๒ ปีกระหม่อมสามารถตามคืนได้หมด ” "อย่างนั้นหรือ" ก่อนที่พระราชาเมืองพาราณสีจะตบที่หน้าขาดังฉาด "ฮ่าๆ ดีๆ วิชาของเจ้า ข้าสนใจยิ่งนัก นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป จงมาทำงานกับข้า" "กระหม่อมซาบซึ้งต่อพระองค์ยิ่งนัก" "เจ้าอยากได้เงินเท่าไหร่ล่ะ" "วันละหนึ่งพันพระเจ้าข้า” "ท่านอำมาตย์ช่วยจัดแจงด้วยเขาคือข้ารับใช้คนใหม่ของข้า" "พะย่ะค่ะ"

 

                  หลายวันผ่านไป ขณะที่กษัตริย์เมืองพาราณสีได้ปรึกษาเรื่องการบ้านการเมืองกับท่านปุโรหิต “ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ยังจำเรื่องที่รับเด็กหนุ่มเข้ามาทำงานได้ไหม" "จำได้สิ ท่านมีอะไรหรือ" "คือว่าตั้งแต่พระองค์รับมาก็หลายวันแล้ว ยังไม่ได้ทำงานอะไรเลย แล้วอีกอย่างเรายังไม่รู้เลยว่าเจ้าหนุ่มนั่นมีความสามารถจริงๆหรือเปล่า ก็ไม่มีใครรู้ กระหม่อมนั้นกลัวว่าจะเป็นแค่ราคาคุยเสียมากกว่า เอาอย่างนี้ไหมพะย่ะค่ะ" "ยังไงหรือ" "ทดลองฝีมือเด็กหนุ่มนั่นดีไหม" "เป็นความคิดที่ดีนะ" พระราชามีท่าทีที่คล้อยตามปุโรหิต "แล้วจะทำอย่างไร" " อย่างนี้นะพะย่ะค่ะ" ก่อนที่จะกระซิบกระซาบข้างหูของพระราชา

 

                  ในคืนนั้น "ทำอย่างนี้จะดีหรือ" "ดีพะย่ะค่ะ" ขณะที่ชายทั้งสองใส่ชุดรัดกุมสีเข้ม เพื่ออำพรางตนให้เข้ากับความมืด ในมือถือดวงแก้วประจำเมือง "ให้ข้าทำอย่างไรต่อ" "พระองค์ทรงเดินเวียนภายในวัง ๓ ครั้ง แล้วลงบันไดออกไปนอกกำแพงจากนั้นเข้าไปที่ศาล แล้วทรงประทับนั่งสักครู่ ก่อนตรงไปยังฝั่งสระน้ำเวียน ๓ รอบ วางไว้ในสระ จากนั้นพระองค์ก็กลับไปที่ปราสาทตามเดิม"


                  เช้าวันต่อมา เหล่าข้าทาสบริวารที่มีหน้าที่เป็นคนคอยดูแลดวงแก้ว เข้าไปทำงานปกติ แต่แล้วดวงแก้วที่เคยตั้งตระหง่านกลางห้องกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย “ดวงแก้วหายไป” ส่งผลให้ผู้คนในเมืองต่างตื่นตกใจพากันมารวมตัวที่ท้องพระโรง ซึ่งบัดนี้ เต็มไปด้วยชาวเมืองพาราณสีและเหล่าขุนนาง ซึ่งพระราชาที่ตอนนี้พระองค์นั้นทรงนั่งอยู่บนบัลลังก์ ก่อนทรงตรัสว่า “เจ้าจงไปเรียกเด็กชายมาพบข้าที” “พะย่ะค่ะ” เมื่อเด็กหนุ่มมาถึง “พระองค์ประสงค์จะให้หาสิ่งใดหรือกระหม่อม” “ดวงแก้วประจำเมืองหายไป เจ้าช่วยหาหน่อยได้ไหม” 

 


                 "ได้พะย่ะค่ะ"เมื่อเด็กหนุ่มรับคำสั่ง จึงเดินมาหยุดอยู่ตรงกลางท้องพระโรง หันหลังให้กับพระราชา ยกมือขึ้น พนมไหว้มารดา ก่อนร่ายมนต์จินดามณี  และแล้วสิ่งที่มหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น ท้องฟ้าที่ตอนนี้เป็นสีครามสดกลับเต็มไปด้วยเมฆหมอก ลมที่เคยนิ่งเงียบกลับโหมกระหน่ำพัดข้าวของชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ  ชั่วอึดใจลมที่เปรียบเหมือนพายุกลับนิ่งสงบลงอย่างน่าประหลาด ก่อนจะค่อยๆปรากฏรอยเท้าเรืองแสงสีทองขึ้นท่ามกลางอากาศ ผู้คนที่อยู่ในท้องพระโรงต่างพากันอุทาน ก่อนที่เด็กชายจะเดินตามรอยเท้าของโจรทั้งสองไป ร่างชายหนุ่มก็เดินหายลับไป ก่อนจะปรากฏร่างอีกครั้งพร้อมกับดวงแก้วสีใสอยู่ในมือ “ข้าพระองค์ กระหม่อมได้นำสิ่งที่ตามหามาคืนแล้ว”

 

                   เสียงโห่ร้องผสมกับเสียงตบมือดังกึกก้อง บรรยากาศที่เคยโศกเสร้า สิ้นหวัง หายไปชั่วพริบตา เสียงแสดงความยินดีสร้างความไม่พอใจต่อพระราชายิ่งนัก “หน๊อยเจ้าหนุ่มคนนี้ชั่งกล้าจริงๆ” พระองค์ที่ตอนนี้ รู้สึกฉุนเฉียวจากเสียงโห่ร้องดีใจให้กับเด็กหนุ่มนั้น เกินหน้าเกินตาของพระองค์ จนโพล่งออกมา “ถึงแม้เจ้าจะเอาลูกแก้วมาให้ข้าได้แต่ไม่สามารถจับคนร้ายได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไร” “ข้าแต่พระองค์ พวกโจรอยู่ในที่นี่แหละ” “ใครเป็นโจรหืม? เจ้าตอบมาสิ” “เมื่อได้สิ่งของแล้ว จะมีประโยชน์อะไรที่จะตามหาผู้ร้าย ขอพระองค์อย่าได้ถามถึงเลย” “เจ้า!” พระราชาที่บัดนี้นั่งอยู่บนบัลลังก์ ตบเข่าดัง "ฉาด!" “ข้าให้เงินแก่เจ้าทุกวัน กล้าขัดคำสั้งข้าหรือ จงจับพวกโจรมาให้เรา เดี๋ยวนี้!” เด็กหนุ่มถึงกับอ่อนใจ “ข้าแต่พระมหาราช ถ้าเช่นนั้น ข้าพระองค์จะไม่กราบทูลว่าใครคือโจร แต่กระหม่อม มีเรื่องอยากจะเล่าให้พระองค์ฟัง”
               
                 ในอดีตกาล มีชายคนหนึ่งทำอาชีพฟ้อนรำอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเขามีนามว่าปาฏลี อาศัยอยู่ในบ้านน้อยริมฝั่งแม่น้ำไม่ไกลพระนครพาราณมากสีนัก วันหนึ่งมีงานมหรสพ เขาพาภรรยาไปพระนครพาราณสี ฟ้อนรำขับร้อง ครั้นเลิกงานแล้ว ได้ซื้อสุราอาหารเป็นจำนวนมากเดินกลับบ้านของตน เมื่อถึงฝั่งแม่น้ำเห็นน้ำใหม่กำลังไหลมา จึงนั่งหยุดอยู่ริมตหลิ่งพร้อมกินอาหารดื่มสุราจนเมามาย  เวลาผ่านไปสักครู่ ปาฏลีจึงเอ่ยกับภรรยาของตน “น้องหญิงไปกันเถอะน่าจะข้ามไปได้แล้ว” จากนั้นจึงเอาพิณใหญ่ผูกคอแล้วก้าวเท้าลงน้ำไป พร้อมจับมือของภรรยาแล้วว่ายข้ามแม่น้ำไป

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%875.jpg


                 ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังว่ายน้ำได้ครึ่งทาง พิณที่เขาผูกคอมาด้วยนั้นได้ล่วงลงมายังผิวน้ำก่อนถ่วงเขาจมลง ด้านภรรยาเห็นว่าสามีของตนกำลังจะจมน้ำจึงสลัดผู้เป็นสามีออกก่อนจะว่ายน้ำไปยังฝั่ง ก่อนยืนอยู่ริมแม่น้ำ  "ชะ..ช่วยด้วย" ชายหนุ่มผลุบโผล่ๆ ดื่มน้ำเข้าไปเต็มท้อง  ภรรยาที่ตอนนี้อยู่บนฝั่งมองร่างสามีตะเกียกตะกายอยู่กลางแม่น้ำใหญ่ "ท่านพี่ตายแน่" นางจึงตะโกนบอกสามีของตน “ท่านพี่ ขอเพลงขับไว้สักบทหนึ่ง เอาไว้เลี้ยงชีพ”  “น้องรักพี่จะให้เพลงขับแก่เจ้า อย่างไรได้ น้ำเต็มท้องพี่หมดแล้ว”

 

                 “ข้าแต่มหาราช น้ำเป็นที่พึ่งของมหาชนฉันใด พระราชาทั้งหลายก็เป็นที่พึ่งของมหาชนฉันนั้น เมื่อภัยเกิดที่สำนักของพระราชาเหล่านั้นแล้ว ใครจักป้องกันภัยนั้นได้  เรื่องโจรพระองค์ทรงเก็บเป็นความลับเถิด" "เจ้านั้นพูดไม่รู้เรื่องหรือไร ข้านั้นสั่งให้เจ้าจับโจรไง” “ ถ้าเช่นนั้นพระองค์ทรงฟังนี้เรื่องนะพะย่ะค่ะ แล้วทรงโปรดพิจารณาด้วย จะเป็นผลดีต่อพระองค์เอง”

 

                   ในกาลก่อนมีบ้านหลังหนึ่งอยู่ใกล้ประตูพระนครพาราณสี มีช่างหม้อคนหนึ่ง มักจะนำดินเหนียวมาเพื่อต้องการปั้นภาชนะ ได้ขุดเอาดินใกล้กับแม่น้ำอยู่บ่อยครั้งจนเป็นหลุมใหญ่ อยู่มาวันหนึ่ง ขณะช่างหม้อนั้นกำลังขุดเอาดินเหนียว เมฆก้อนใหญ่ตั้งเค้าขึ้น ก่อนฝนห่าใหญ่จะตกลงมาน้ำไหลท่วมหลุมพังทลายลงไปทับศีรษะนายช่างหม้อนั้นทันที

 

%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%876.jpg

             

                 “ข้าแต่พระองค์ แผ่นดินใหญ่เป็นที่พึ่งอาศัยของผู้คน ได้ทำลายศีรษะของนายช่างหม้อฉันใด เมื่อพระราชาผู้เป็นเป็นที่พึ่งอาศัยแห่งสัตว์โลก เหมือนแผ่นดินใหญ่ มาขโมยอย่างนี้ ใครเล่าจักป้องกันได้ ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ทรงทราบตัวโจรนี้ดี ขอให้กระหม่อมปกปิดไว้เถิด” พระราชามีท่าทีหงุดหงิดเอ่ยขึ้น “เจ้านั้นช่างเฉไฉนัก จะบอกได้หรือยังว่าใครคือคนร้าย” ดวงหน้าที่เคยสดใสบัดนี้เต็มด้วยแรงโกรธ "พระองค์อย่าทรงกริ้วไปเลยกระหม่อมนั้น มีเรื่องที่อยากให้พระองได้สดับรับฟัง"

 
                ในกาลก่อน ขณะไฟไหม้บ้านของชายคนหนึ่ง  เขาได้ใช้บริวารว่า "เจ้าจงเข้าไปข้างในขนทรัพย์สินออกมา" เมื่อชายคนนั้นกำลังเข้าไปขนของ จู่ๆประตูเรือนปิดเสียงดัง ตาเขามืดมัวเพราะถูกควันหาทางออกไม่ได้จึงเกิดทุกข์เพราะความร้อน ยืนคร่ำครวญอยู่ข้างใน


               “ ข้าแต่มหาราชเจ้า มนุษย์คนหนึ่งเป็นที่พึ่งอาศัยของมหาชน ราวกะว่าไฟเป็นที่พึ่งอาศัยฉะนั้น ได้ลักสิ่งของคือรัตนะไป ขอพระองค์อย่าตรัสถามถึงโจรกับข้าพระองค์เลย”

 

           เด็กหนุ่มพยายาม เล่าเรื่องต่างๆนาๆ เพื่อเตือนสติของพระราชาแต่ทว่าแม้จะผ่านไปเรื่องแล้วเรื่องเล่า พระองค์นั้นไม่ทรงทราบถึงสิ่งที่เด็กหนุ่ม เอ่ยเตือนแม้แต่น้อย จนกระทั่ง


                "เจ้าหูหนวกหรือไร ไม่ได้ยินสิ่งที่ข้าสั่งหรือ บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าใครกันคือโจร ถ้าเจ้ายังไม่บอก ข้าจะปลดเจ้าออกจากตำแหน่ง" ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมจะทำตามความประสงค์  ความเงียบเข้าปกคลุมท้องพระโรง "คนที่เป็นโจรขโมยดวงแก้วนั้นคือ พระราชาและท่านปุโรหิตไงพะย่ะค่ะ" เด็กชายพูดพร้อมกลับชี้มือไปยังพระราชาที่บัดนี้นั่งอยู่บนบัลลังก์กลางท้องพระโรง  


                 ประชาชนที่อยู่ ในเหตุการณ์ ต่างเกิดความรู้สึกไม่พอใจพระราชายิ่งนัก ถึงกลับด่าทอต่างๆนาๆ พร้อมกับ ลุกฮือถือท่อนไม้ ตะบอง ทุบตีพระราชาและปุโรหิตจนตาย แล้วอภิเษกให้เด็กหนุ่มครองราชย์สมบัติต่อไป

 

                 ณ พระมหาวิหารเชตวัน พระศาสดานั่งอยู่บนธรรมมาส ที่ตอนนี้มีอุบาสกท่านหนึ่งมาเข้าเฝ้า สอบถามข้อสงสัยเรื่อง ของลูกตนมีความพิเศษคือ จดจำรอยเท้าของพ่อได้อย่างแม่นยำ และสามารถหาบิดาเจอทุกครั้งที่ตนหายตัวไป พระศาสดาจึงเล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง "การที่ลูกจดจำรอยเท้าได้นั้นไม่ใช่ความสามารถพิเศษ ในอดีตบัณฑิตนั้นมีความสามารถเช่นเดียวกับบุตรของท่าน"

 

              เรื่องที่เราเล่าให้ท่านฟังนั้นมีคติธรรมซ่อนอยู่คือ "อย่าทำอะไรจนเกินความสามารถของตน"  "ถ้าพระราชาทรงพิจารณาสักนิดคงจะไม่ถึงจุดจบเช่นนั้นหรอก"          

    

              
               
               บิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็น
 พระกัสสป ในครั้งนี้
               มาณพผู้ฉลาดในการสังเกตรอยเท้า ได้มาเป็น
 เราตถาคต ฉะนี้แล.

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

* * ชาดก 500 ชาติ แนะนำ * *

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล