ลูกพาพ่อฝ่าแดนนรก

วันที่ 15 ธค. พ.ศ.2558

ลูกพาพ่อฝ่าแดนนรก

    สาเหตุที่ตรัสชาดก มีชายผู้หนึ่งทำการปฏิบัติบิดาผู้ชราอย่างดี ต่อมาบิดาหาภรรยามาให้บุตร นางได้มีอุปการะและเคารพยำเกรงต่อพ่อสามีและสามี ฝ่ายสามีก็ยินดีต่อนางว่าเป็นผู้อุปการะต่อบิดาของตน จึงนำของที่ชอบใจมามอบให้ภรรยา แม้นางก็น้อมนำไปให้พ่อสามีทั้งสิ้น ต่อมานางคิดว่าสามีของเราได้อะไรมาก็มิได้ให้แก่บิดา ให้แก่เราผู้เดียว เขาคงไม่มีความรักในบิดาเป็นแน่ เราจักใช้อุบายขับไล่ชายแก่ออกไป จึงยั่วให้พ่อสามีโกรธ ให้น้ำเย็นไปบ้าง ร้อนไปบ้าง ให้ข้าวสุกๆ ดิบๆ แกล้งขากก้อนเขฬะรดตามที่ต่างๆ แล้วฟ้องสามี กล่าวว่าท่านจะให้พ่ออยู่หรือจะให้ฉันอยู่ เมื่อสามีตอบว่าเมื่อเจ้าไม่อาจอดกลั้นพ่อได้ก็จงออกจากบ้านนี้ไป นางจึงหมอบลงแทบเท้าพ่อสามีขอขมาโทษว่า ตั้งแต่นี้ไปฉันจักไม่ทำอย่างนี้อีก บุรุษนี้มิได้มาฟังธรรมถึง 7 วัน เขาได้กราบทูลเหตุการณ์ให้พระทศพลทรงทราบ พระองค์ตรัสว่า ในกาลนี้ท่านไม่เชื่อถ้อยคำของภรรยา แต่ในกาลก่อนท่านเชื่อถ้อยคำของภรรยาแล้วนำบิดาไปป่าช้า เมื่อบุรุษนั้นทูลอาราธนา พระองค์จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้..

 

    ในอดีต มีครอบครัวอันแสนอบอุ่นครอบครัวหนึ่ง บุตรคนเดียวในบ้านเป็นคนกตัญูยิ่งนักเลี้ยงดูบิดามารดาอย่างดีมิขาดตกบกพร่องเสมอมา ต่อมามารดาตายเหลือแต่บิดา บุตรชายได้แต่งสะใภ้เข้ามา เรื่องราวแห่งความไม่สงบสุขก็เกิดขึ้นนับแต่นั้นมา..

 

    วันหนึ่งหญิงสะใภ้กล่าวกับสามีว่า.."นี่เธอดูพ่อสิ! ฉันบอกว่าอย่าทำแบบนี้ๆ ก็โกรธฉันใหญ่เลย ดุร้าย หยาบคายจริงๆ ชอบก่อเรื่องทะเลาะอยู่เรื่อยเลย! แก่ปานนี้แล้วอีกหน่อยก็ตายคงไม่พ้นวันสองวันนี้แหละ! ฉันทนพ่อ
ไม่ไหวแล้วนะที่รัก เอาพ่อไปฝังที่ป่าช้าเถอะ ใช้จอบทุบหัวให้ตายแล้วฝังเถิดนะที่รัก!"โอ้! ไฉนใจหญิงช่างร้ายได้ปานนี้ ที่ร้ายเป็นหญิง หรือเป็นเพราะโกรธแค้นกันแน่!มิคาด บุตรชายยอดกตัญูถูกภริยากล่อมจนเคลิบเคลิ้ม ถึงกลับคิดฆ่าพ่อผู้บังเกิดเกล้าได้จริงๆ! บุตรกตัญูยังกล้าๆ กลัวๆ ไม่รู้จะฆ่าอย่างไร ทั้งกลัวบาปกรรม ทั้งกลัวถูกชาวบ้านจับได้ทำให้ใจคอไม่ค่อยดี วิธีการก็มืดมน คิดจะล้มเลิกความตั้งใจอยู่แล้ว แต่ภรรยากลับคิดอุบายมาให้เสร็จสรรพ โดยกล่าวว่า..

 

          "ฉันมีอุบายดีๆ! เช้าพรุ่งนี้เธอปลุกพ่อแล้วพูดกับพ่อว่า ฉันจะไปหาลูกหนี้ของพ่อ ถ้าฉันไปลำพัง เขาก็จะไม่ยอมใช้หนี้ให้ พรุ่งนี้เราไปหาลูกหนี้ด้วยกันนะพ่อ.. จากนั้นเธอก็พาพ่อไปป่าช้าขุดหลุม แล้วทำเป็นเสียงโจรปล้น เธอก็ฆ่าพ่อของเธอแล้วฝังซะ! จากนั้นก็รีบกลับมาไงล่ะ" ภรรยาเล่าอย่างออกรสชาติราวกับเป็นเรื่องน่าสนุก

 

    มีบุรุษที่สามได้ยินคำสนทนาของสามีภรรยาเสียแล้ว บุรุษที่สามเป็นเพียงเด็กอายุ 7 ขวบ!มารดามิได้ระแวงบุตรน้อยของตน ขณะที่บุตรเล่นอยู่ข้างๆ ได้ยินชัดทุกถ้อยคำ เด็กแม้7 ขวบก็คิดเป็น เด็กรู้จักคิด ไฉนผู้ใหญ่ไม่คิด! กุมารคิดว่า.."แม่ของเรานี้ช่างลามกเสียจริง! ยุยงพ่อของเราให้ทำปิตุฆาต เราจะไม่ยอมให้พ่อได้ทำปิตุฆาตอย่างเด็ดขาด!"

 

    ว่าแล้วก็ค่อยๆ หลบเข้าไปนอนอยู่กับปู่ รุ่งเช้าพ่อมาพาปู่ขึ้นเกวียน ลูกน้อยก็ขอขึ้นด้วยเมื่อถึงป่าช้าก็ลงมือขุดหลุมทันที เด็กชายลงจากเกวียนถามพ่อว่า.."พ่อ! ตรงนี้ไม่มีหัวมันกับฟักเลยนี่ พ่อขุดหาอะไรในป่าช้า"
"ปู่ของเจ้าแก่มากแล้วล่ะ ป่วยหนักด้วย พ่อจะฝังปู่เจ้าในหลุมนี้แหละ ปู่เจ้าจะได้สบาย"บุตรจึงคว้าจอบช่วยบิดาขุด แต่ขุดอีกหลุมใกล้ๆ กัน บิดาถามว่า.."ลูกจะขุดอีกหลุมทำไมรึ""เมื่อพ่อแก่ลง ลูกจะฝังพ่อหลุมนี้บ้าง ลูกจะทำตามที่พ่อทำ" บุตรตอบพ่อหน้าซีดราวไม่เชื่อหูตัวเอง กล่าวว่า..

 

    "ลูกเอ๋ย ไฉนลูกจึงกล่าวกระทบกระเทียบขู่เข็ญพ่อเช่นนี้ล่ะ! เจ้าเป็นลูกรักของพ่อนะ ทำไมไม่คิดอนุเคราะห์พ่อบ้างเลย"  "พ่อครับ! ใช่ว่าลูกจะไม่คิดอนุเคราะห์พ่อ แต่ลูกไม่กล้าห้ามพ่อทำบาปตรงๆ จึงต้องพูดกระทบกระเทียบแบบนี้ พ่อคิดจะเปลื้องคุณตาออกจากทุกข์แต่กลับผูกด้วยมรณทุกข์แทน นี้เป็นกรรมหนักนะพ่อ! ผู้เบียดเบียนมารดาบิดาซึ่งไม่เคยคิดร้ายต่อลูก ผู้นั้นตายไปต้องไปตกนรกร้ายแรงโดยไม่ต้องสงสัยเลย" ลูกเตือนสติพ่อ

 

    พ่อฟังคำลูกแล้ว เกิดกลัวนรกขึ้นจับใจ พลันตาสว่างกล่าวว่า.."โอ้! เจ้าอนุเคราะห์พ่อจริงๆ ลูกรัก เพราะพ่อถูกแม่เจ้ายุแท้ๆ ถึงกล้าทำชั่วช้าได้เพียงนี้"   "พ่อครับ! มันเป็นธรรมดาของสตรีอยู่แล้ว เมื่อสตรีมีโทสะขึ้นแล้ว ย่อมข่มไว้ไม่ได้สตรีจึงมักทำชั่วบ่อยๆ ลูกว่าพ่อควรฝึกแม่นะ ขอพ่อจงไล่แม่ออกไปก่อน เพื่อไม่ให้แม่ทำชั่วได้อีก ถ้าพ่อไม่ทำแบบนี้แม่ก็จะนำทุกข์อย่างอื่นมาให้พ่ออีกนะครับ" เด็กชายกล่าว

 

    บิดาปลื้มใจที่ได้ฟังบุตรช่วยหาทางออกให้ รู้สึกเหมือนคนหลงถ้ำ พลันพบแสงสว่างสู่ทางแจ่มใสจึงกอดลูกด้วยความโสมนัสแล้วชวนกันกลับบ้านฝ่ายหญิงอนาจารเริงร่ายินดีว่าคนกาลกรรณีออกจากบ้านเราไปแล้ว เที่ยววิ่งเอาโคมัยสดมาฉาบทาบ้านล้างเสนียด โดยหารู้ไม่ว่าเสนียดได้เกาะกุมใจของตนจนหนาเต็มที่แล้ว เสนียด! เป็นของแปลก เริ่มแรกมักให้ผู้ติดจนหลงใหลในรสหวานปานน้ำผึ้ง แต่บาปส่งผลเมื่อใด ชีวิตยามนั้น
ล้วนเผ็ดร้อนจนสุดจะทนทรมานได้ ถึงตอนนั้นสำนึกเสียใจก็สายไปเสียแล้ว ความสำนึกเสียใจมิอาจช่วยอะไรใครได้ ผู้วิเศษปานใดก็ช่วยย้อนเหตุการณ์ให้หวนคืนมามิได้ หากมีผู้ทำได้เช่นนั้น นรกคงเป็นสถานที่ว่างเปล่าเป็นแน่ แต่น่าเสียดายที่นรกไม่ยอมให้มนุษย์เห็นคนทำบาป จึงเริงร่าอยู่มิรู้สำนึกตัว และยังคงมีดาษดื่นอยู่ทุกวงการ..

 

    ภรรยาเห็นเกวียนบรรทุกคนกลับมา 3 คนก็โกรธสุดขีด วิ่งมาด่าสามีอย่างลืมตัวว่า.."เจ้าวายร้าย! เจ้าพาคนกาลกรรณีกลับมาอีกทำไมกัน" 

สามีสงบใจค่อยๆ พูดกับภรรยาสุดรักว่า..
"โถ! คนถ่อยเอ๋ย เจ้าพูดว่าอะไรนะ" พูดไปพลาง ทุบตีภรรยาไปพลาง แล้วกล่าวว่า..
"ต่อแต่นี้ไป เจ้าอย่าเข้ามาอยู่ในบ้านนี้เด็ดขาด!" พูดจบก็จับเท้าลากออกไปนอกบ้านเมื่อไล่ภรรยาไปแล้วก็อาบน้ำให้บิดากับบุตร แล้วนั่งทานข้าวพร้อมหน้ากันอย่างสุขใจขณะที่มองดูบิดาตน ใจก็พลันนึกหวาดเสียวที่เมื่อเช้าเกือบทำให้พ่อต้องตายผ่านไปสองสามวัน ลูกเฝ้าดูแม่อยู่ด้วยความเป็นห่วง แต่เหมือนแม่ยังไม่รู้สำนึกตัว ลูกจึงพูดกับพ่อว่า..

 

"พ่อครับ! คุณแม่ยังไม่รู้สำนึกเลย ลงโทษแค่นี้คงยังไม่พอแก่แม่หรอก พ่อต้องไปขอหญิงอื่นมาแต่งใหม่เพื่อมาดูแลคุณตาและลูก"พ่อฟังคำแนะนำของลูกแล้ว เห็นเป็นอุบายที่ดี จึงเริ่มดำเนินการตามแผน หญิงเพื่อนบ้านทราบดังนั้นจึงรีบเอาข่าวไปแจ้งแก่หญิงภรรยานั้น ภรรยาได้ฟังก็ตกใจสุดขีด อุทานว่า.."ฉิบหายแล้วสิเรา! เราหมดโอกาสแน่แล้ว!"ภรรยาจึงแอบไปหาลูกแล้วพูดกับลูกว่า .."ลูกรักของแม่! นอกจากเจ้าแล้ว แม่ไม่มีที่พึ่งอีกแล้วนะลูก แต่นี้ไปแม่จะตั้งใจดูแลพ่อและปู่ของเจ้าราวกะพระเจดีย์เลย เจ้าช่วยบอกพ่อให้แม่ด้วยนะ"

 

    ลูกจึงไปช่วยพูดกับพ่อให้ยกโทษให้แม่ ภรรยาได้เข้ามาขอขมาสามีและพ่อสามี นับแต่นั้นมาทั้งหมดก็อยู่กันด้วยธรรม ภรรยารู้จักอดทนข่มใจ ปฏิบัติสามีและพ่อสามีเป็นอย่างดีจนมีความสุขในสามัคคีธรรม บ้านก็กลับมาเย็นชุ่มฉ่ำอีกครั้ง ลูกได้ชวนพ่อแม่และคุณตาไปทำบุญทำทานเป็นประจำนับแต่นั้นมา..

 

ประชุมชาดก
    พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า บิดา บุตรและหญิงสะใภ้ในครั้งนั้นมาเป็นบิดา บุตรและหญิงสะใภ้ในบัดนี้ส่วนกุมารผู้เป็นบัณฑิตในครั้งนั้นได้มาเป็นตถาคตแล

 

    จากชาดกเรื่องนี้ บุตรแม้กตัญูเพียงไหน แต่เมื่อหลงใหลภรรยาเสียแล้วความหลงใหลนั้นมาบดบังดวงปัญญาให้ตื้อตันลงได้ กระทั่งลืมพระคุณบิดาไปหมดสิ้นอย่างมิน่าเชื่อ แต่ก็ด้วยความกตัญูของเด็กชายผู้เป็นบัณฑิต ทำให้ต้องคิดหาวิธีการออกมาให้ได้ ในเรื่องนี้ต้องอาศัยอุบายที่ดีจึงสัมฤทธิผลได้ ในบางกรณีมีผู้คิดหาทางช่วยเพื่อตอบแทนคุณ แต่กลับทำเรื่องยุ่งยากสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นไปอีก อาจทำให้เกิดอาการน้อยใจที่ช่วยเหลือแล้วไม่ได้ดี ความน้อยใจก็จะกลับมาบดบังดวงปัญญาตน ทำให้หมดความกตัญูลงไปได้อีก ฉะนั้นก่อนคิดช่วยใคร ต้องตั้งใจใช้ปัญญาให้มากเพื่อได้วิธีการที่สัมฤทธิผลจริงๆ

    "นิสัยรอบคอบ หาอุบายที่เหมาะสม" จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในปัญญาบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0013684829076131 Mins