ปฏิภาณพารอดตาย

วันที่ 18 ธค. พ.ศ.2558

ปฏิภาณพารอดตาย

    สาเหตุที่ตรัสชาดก ณ ราชิการาม ซึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลสร้างถวายใกล้พระวิหารเชตวันสมัยนั้นพวกมนุษย์มักกล่าวกับผู้ที่จามว่า ขอให้ท่านจงเป็นอยู่เถิด ภิกษุกราบทูลถามพระทศพลถึงการกล่าวตอบว่าจงเป็นอยู่เถิด นี้เกิดขึ้นเมื่อใด พระจอมมุนีจึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้..

 

    ในอดีต มีพ่อค้าสองพ่อลูก เดินทางจากชนบทเข้ามาในเมือง แล้วหาที่พักไม่ได้ ชาวเมืองแนะว่า..
"นอกพระนครมีศาลาอยู่หลังหนึ่ง แต่มียักษ์ยึดครองอยู่ ถ้าท่านต้องการก็ไปพักเถิด"
พ่อค้าแม้ต้องการที่พักผ่อนอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไรนอนพื้นสกปรกย่อมประเสริฐกว่าถูกยักษ์กิน นับว่าพ่อค้ารู้จักชั่งหนักเบา บุตรพ่อค้าก็รู้จักคิด แต่คิดอีกอย่างหนึ่ง! บุตรพ่อค้ากลับให้รู้สึกท้าทายอย่างยิ่ง เป็นเพราะอยากให้พ่อได้พักสบาย หรือเพราะมั่นใจในไหวพริบปฏิภาณของตน หรือเพราะอยากเห็นยักษ์ อยากลองสู้กับยักษ์ หรือเพราะอยากตายก็มิทราบได้ แต่บุตรได้ชวนบิดาไปศาลานั้นแล้ว ทั้งสองเข้าไปในศาลา บุตรกล่าวปลอบบิดาผู้ตื่นตระหนกว่า..

 

"พ่ออย่ากลัวยักษ์เลย ฉันจะปราบยักษ์ให้หมอบแทบเท้าพ่อไปเลย"
บิดานอนบนพื้นกระดานในศาลา บุตรนั่งนวดเท้าให้บิดาอยู่ ยักษ์มีอยู่จริงๆ มันนั่งอยู่ที่ขื่อหัวเสา! ดวงตาเจ้าเล่ห์ของมันกำลังจ้องสองพ่อลูกอย่างหิวโหย มันค่อยๆ หยิบขวดเล็กๆ ใบหนึ่งแล้วโรยผงชนิดหนึ่งลงมาอย่างเชื่องช้า ผงฟ่องเบาปลิวเข้าไปในดั้งจมูกของบิดา บิดาจาม! ยักษ์ลงมาแล้ว!มันตรงเข้าหาบุตร! ทำไมมันต้องโรยผง โรยผงแล้วจึงลงมา! มีคนจาม มันจึงลงมา! บุตรพ่อค้าไม่มีเวลาคิดนานนักต้องรีบประมวลความคิดให้เร็วที่สุด เฉียบคมที่สุด และต้องแน่นอนที่สุด เพราะยักษ์ใกล้เข้ามาแล้ว บุตรพ่อค้าไม่หนี เพราะจากการกระทำเมื่อครู่ของยักษ์ ทำให้เห็นว่ายักษ์นี้มีเงื่อนงำเงื่อนงำย่อมเป็นเงื่อนไข เงื่อนไขในการกินคน! ในที่สุดก็คิดออก เมื่อคิดย่อมคิดออก อยู่ที่คิดเป็นหรือเป็นแต่คิด! บุตรพ่อค้ายังมีกะใจคิดต่อไปอีก ไฉนใจเย็นปานนี้ ไม่กลัวความตายย่างกรายเข้ามาใกล้เสียเลย

 

"เจ้ายักษ์นี้เองที่ทำให้บิดาเราจาม แล้วมันกลับตรงมาหาเรา ไม่ยอมไปหาบิดาเรา หรือว่าเจ้ายักษ์นี้กินคนที่ได้ยินเสียงจามแล้วไม่ได้พูดอวยพรคนจาม ตามประเพณีที่พวกชาวบ้านชอบทำกัน"บุตรพ่อค้าคิดลองเสี่ยงดู เสี่ยงเยี่ยงนี้เดิมพันด้วยชีวิต กระทั่งมีโอกาสเพียงครั้งเดียว!เพราะบัดนี้ยักษ์เข้ามาถึงตัวบุตรพ่อค้าแล้ว มิคาดบุตรพ่อค้ากลับใจเย็นอย่างยิ่ง ค่อยๆเปล่งวาจาออกมาช้าๆ อย่างมั่นใจต่อหน้ายักษ์ว่า..

 

"ขอให้พ่อ จงอายุยืนสัก 120 ปีเถิด และเจ้าปีศาจตัวนี้อย่าได้มากินฉันเลย"ยักษ์หยุดชะงักค้าง! ได้ผลจริงๆ! แต่ไม่มีผู้ใดคาดคิด ยักษ์กลับเดินไปหาบิดาแทน บิดาอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วกลับมีเวลาคิดน้อยกว่าบุตรเสียอีก เวลาคิดของผู้บิดามีไม่มากแล้ว อย่างมากไม่เกิน3 วินาที! หัว มองพ่อค้าประมวลผลเร็วดังสายฟ้าฟาด รีบโพล่งออกมาทันทีว่า..

 

"ลูกรัก! แม้ตัวเจ้าก็จงอยู่สัก 120 ปีเถอะ ขอให้ไอ้ปีศาจจงรีบไปกินยาพิษเสียเถิด!"ยักษ์ชะงักค้างคอตก พ่อค้าแทบหัวใจหยุดเต้น ยักษ์ถอยกลับขึ้นขื่อไปแล้ว พ่อค้าโล่งอกอย่างยิ่งจริงๆ บุตรพ่อค้าก็สนใจยักษ์อย่างยิ่งจริงๆ จึงถามยักษ์ว่า..

 

"เจ้ายักษ์! เหตุไรเจ้าจึงกินคนเฉพาะที่อยู่ในศาลาล่ะ"
"เรารับใช้ท้าวเวสวัณมา 12 ปี ท่านจึงอนุญาตให้เรากินคนในศาลานี้ได้" ยักษ์ตอบ
"แล้วเจ้ากินได้ทุกคนเลยรึ" บุตรพ่อค้าถามใคร่รู้ให้ได้
"ยกเว้น ผู้ได้ยินเสียงจามแล้วไม่กล่าวอวยพร และผู้ที่ไม่อวยพรกลับ" ยักษ์เฉลย

บุตรพ่อค้าเตือนสติยักษ์ให้รู้ตัวว่า..
"เจ้ายักษ์เอ๋ย! เจ้ามิรู้หรือเจ้าทำบาปไว้แต่ปางก่อน เพราะเจ้าเป็นคนร้ายกาจ หยาบคายชอบเบียดเบียนผู้อื่น มาบัดนี้เจ้าก็ทำเช่นนั้นอีก เจ้ามืดมาแล้วมืดไปโดยแท้ ฉะนั้นแต่นี้ไป เจ้าจงงดจากปาณาติบาตเสียเถิดนะ"

 

    บุตรพ่อค้ายังกล่าวถึงความร้ายกาจของนรกให้ยักษ์ฟังต่อ แล้วให้ยักษ์รับศีล 5 เพื่อเอาไว้รักษาตนสืบไป ข่าวสองพ่อลูกที่สยบยักษ์ก็ได้ร่ำลือไปทั่วนคร พระราชาแต่งตั้งบุตรพ่อค้าให้เป็นเสนาบดี และให้ยศศักดิ์แก่บิดา ต่อมาท่านเสนาบดีได้เข้าเฝ้าทูลขอพระราชานุญาตให้มอบอาหารแก่ยักษ์นั้นเป็นประจำ และแนะนำพระราชาให้หมั่นทำบุญ ทำทาน เสนาบดีได้ช่วยราชการโดยธรรม แนะนำชาวบ้านให้สร้างกุศล เมื่อชนทั้งหลายละโลกแล้วจึงได้ไปสวรรค์กันทั่วหน้า..

 

ประชุมชาดก
            พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้นได้มาเป็นอานนท์ บิดามาเป็นกัสสปะส่วนบุตรได้เป็นตถาคตแล


            จากชาดกเรื่องนี้ บุตรพ่อค้าเลือกที่จะเสี่ยงภัยมากกว่าการหนีปัญหา โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อแลกปัญญามา โดยหวังจะปราบยักษ์ช่วยชาวเมือง มีความท้าทายและรักการแก้ปัญหาจึงทำให้จิตใจเตรียมพร้อมตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และใช้ปฏิภาณไหวพริบมาแก้ปัญหาได้ทันท่วงที ผู้มีนิสัยชอบหนีปัญหา รักสบาย ไม่ยอมเผชิญกับภัยที่มาถึง หรือไม่ทุ่มเทเพื่อให้ได้ปัญญามา ความรู้ความสามารถที่แฝงอยู่ในตัวก็จะถูกปิดกั้น ไม่มีโอกาสนำออกมาใช้อย่างน่าเสียดาย หากไม่เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการแสวงหาปัญญาก็จะมีปัญญาในระดับต่ำ ใช้สอยได้น้อย เมื่อถึงคราวต้องสร้างประโยชน์เป็นที่พึ่งให้คนอื่น ก็อับจนปัญญา ไม่ได้ดังใจปรารถนา เพราะมิได้ฝึกนิสัยทางปัญญาบารมีให้มาก หากไม่แก้ไข นิสัยเก่าๆ ก็จะยิ่งฝังแน่นขึ้นไปอีก ความสว่างไสวในชีวิตก็ถูกปิดแคบลงเรื่อยๆจนในที่สุด ต้องอับเฉาชีวิต รู้ไม่เท่าทันกิเลสถูกพัดพาให้ออกนอกวิถีนักสร้างบารมีไปอย่างน่าเสียดาย


"นิสัยใฝ่รู้, รักการแก้ปัญหา, ท้าทายปัญหา, กล้าเผชิญปัญหา และสงบใจแก้ปัญหาอย่างไม่เสียขวัญ" ทั้งหมดนี้จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในปัญญาบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0010161161422729 Mins