คนจริงไม่ทิ้งธรรม

วันที่ 25 มค. พ.ศ.2559

คนจริงไม่ทิ้งธรรม

             สาเหตุที่ตรัสชาดก ภิกษุสนทนากันในธรรมสภาว่า อัศจรรย์จริงหนอ พระชินสีห์ทรงทรมานองคุลิมาล ผู้เป็นมหาโจรมีฝ่ามือชุ่มด้วยเลือดร้ายกาจปานนั้นได้โดยไม่ต้องใช้ศัสตรา พระทศพลเสด็จมาทรงทราบเรื่องที่ภิกษุสนทนาแล้วตรัสว่า เราได้บรรลุพระโพธิญาณ ทรมานองคุลิมาลได้ในบัดนั้นไม่น่าอัศจรรย์เลย เมื่อครั้งเราบำเพ็ญบารมีอยู่ก็ทรมานองคุลิมาลนี้ได้ เมื่อภิกษุกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตมาแสดงดังนี้..

             ในอดีต ณ แคว้นกุรุ นครอินทปัต มีราชโอรสของพระราชานามว่าสุตโสม ทรงเป็นรัชทายาทผู้เปี่ยมปรีชา ทั้งยังเป็นที่ใฝ่หาและความหวังของประชาชนชาวเมืองอินทปัต วันนี้เป็นวันประกอบพิธีมงคลของพระองค์ พระองค์ขึ้นทรงมงคลหัตถีแวดล้อมด้วยจตุรงคินีเสนาเสด็จไปสู่สระน้ำมงคลขณะนั้นมีชายหนุ่มผู้หนึ่งยื่นมือเข้ามาหาพระองค์ พระองค์ทรงถามบุรุษหนุ่มนั้นว่า..
"ท่านมาจากที่ใดหรือ และมุ่งประสงค์สิ่งใด"


บุรุษหนุ่มนั้นตอบว่า..

    "ข้าแต่พระจอมธรณีมหิศร! ข้าพเจ้ามีพระคาถาอันลึกล้ำทรงค่าสืบทอดมาตั้งแต่พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า พระคาถานี้มีอรรถอันลึกซึ้งวิเศษยิ่งนักเปรียบกับมหาสมุทรสาครทีเดียวข้าพเจ้าเที่ยวเดินทางมาจากเมืองตักกสิลาสู่พระนครนี้ก็เพื่อพระองค์เท่านั้น ยินว่าพระองค์ทรงใฝ่หาความรอบรู้ ขอพระองค์จงทรงสดับพระคาถาอันยอดเยี่ยมที่ข้าพระองค์นำมานี้เถิด"

 

         พระราชาสดับคำของบุรุษผู้นี้แล้วทรงมีพระหฤทัยโสมนัสเป็นล้นพ้น ทรงใคร่จะฟังเป็น ยิ่งนักเพราะเพียงคำว่าพระพุทธเจ้ายังหาฟังได้ยากสำหรับพระองค์แล้วพระพุทธพจน์บทหนึ่งมีค่ายิ่งกว่าราชสมบัติทั่วทั้งชมพูทวีปเสียอีก พระองค์จึงตรัสกับชายหนุ่มนั้นว่า..
    "ท่านอาจารย์! ท่านมาดีแล้ว ข้าพเจ้าต้องการฟังเป็นอย่างยิ่งจริงๆ วันนี้ข้าพเจ้าจะรีบไปประกอบราชธรรมเนียมแห่งผุสสนักษัตรฤกษ์ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว แล้วจะขอฟังจากท่านในวันพรุ่งนี้ให้ได้อย่างแน่นอน!"

 

            พระราชารับสั่งให้อำมาตย์เตรียมที่หลับที่นอนให้บุรุษผู้ทรงจำธรรมนั้น ยามนี้พระเจ้าสุตโสมทรงมีพระทัยจดจ่ออยู่กับการได้ฟังธรรมในวันพรุ่ง ทรงสรงสนานในสระมงคลโบกขรณีอย่างแช่มชื่นพระทัยยิ่งนัก เมื่อเสด็จขึ้นสระ พนักงานก็ทูลเกล้าถวายพระภูษาและของหอมดอกไม้ ทันใดนั้นเองชายคนหนึ่งดำแอบอยู่ในสระน้ำซึ่งรอพระเจ้าสุตโสมมาตั้งแต่เช้าก็โผล่พรวดขึ้นจากน้ำจับพระเจ้าสุตโสมยกขึ้นให้นั่งบนบ่า กระโดดขึ้นกำแพงสูง 18 ศอก เหยียบกระพองพญาช้างซับมัน เหยียบหลังม้าต่อๆกันไปฝ่ากองทัพอารักขาทุกด่านอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า เมื่อเหลียวหลังดูไม่เห็นใครตามมาแล้วจึงค่อยๆ เดินไป ขณะเดินอยู่นั้นพลันมีหยาดน้ำไหลตกลงมาที่อกตนก็คิดว่า ชะรอย พระเจ้าสุตโสมคงจะร้องไห้เพราะกลัวตายเสียกระมัง จึงกล่าวกับพระเจ้าสุตโสมว่า..

"ท่านสุตโสม! พระองค์คิดถึงอะไรรึ คิดถึงชีวิตตนเอง หรือญาติ หรือลูกเมีย หรือราชสมบัติกันแน่"


    "เรามิได้คำนึงถึงตัวเอง มิได้คิดถึงลูกเมีย มิได้คิดถึงทรัพย์สมบัติ มิได้คิดถึงบ้านเมือง เพียงแต่เราสัญญากับบุรุษไว้คนหนึ่งว่าพรุ่งนี้เราจะไปพบเขาเพื่อฟังธรรม ตอนนี้เราจะเป็นผู้ไม่รักษาความสัตย์เสียแล้ว เราเพียงเสียใจเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นที่ต้องผิดสัจจะ! เรานึกไม่ถึงว่าท่านจะจับเอาข้าพเจ้ามาเสียก่อน ถ้าท่านปล่อยข้าพเจ้าไปฟังธรรม ข้าพเจ้าสัญญาจะกลับมาหาท่านอีกอย่างแน่นอน ท่านสหายโปริสาท!" พระเจ้าสุตโสมตรัส

    "ข้าพเจ้ายังเชื่อไม่ได้หรอก! พระองค์กลับไปเพลิดเพลินด้วยกามคุณคงไม่กลับมาแล้วกระมังถ้าพระองค์ได้ชีวิตที่แสนรักกลับคืนมาได้ แล้วพระองค์จะกลับมาหาข้าพเจ้าสู่ความตายอีกทำไมกันเล่า" โจรโปริสาทกล่าวอย่างสงสัย


    "คนที่กล่าวคำโป้ปดเพราะต้องการของรักใด ของรักนั้นก็มิอาจรักษาคนๆ นั้นให้พ้นจากนรกไปได้เลย โปริสาทเอ๋ย! แม้ลมจะพัดภูเขาได้ แม้ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์จะตกลงสู่แผ่นดินได้กระทั่งแม่น้ำทั้งหมดจะไหลทวนกระแสไปได้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าจะไม่ยอมพูดเท็จอย่างเด็ดขาด!"พระเจ้าสุตโสมทรงยืนยันหนักแน่นต่อโจร

 

    ในที่สุดจอมโจรโปริสาทก็ยอมเชื่อ พระเจ้าสุตโสมตรัสให้โจรมั่นใจอีกว่า..
    "สหายโปริสาท! ท่านก็รู้จักข้าพเจ้ามาตั้งแต่ยังเยาว์มิใช่รึ ท่านเคยได้ยินข้าพเจ้าพูดเท็จสักคำบ้างไหม ข้าพเจ้าไม่เคยพูดแม้แต่จะล้อเล่นแล้วข้าพเจ้าจะพูดเท็จได้อย่างไร บัดนี้ข้าพเจ้าดำรงอยู่ในราชสมบัติแล้ว รู้จักถูกผิด ยิ่งมิอาจพูดเท็จได้เลย ท่านจงเชื่อใจข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะกลับมาหาท่านแน่ในวันรุ่งขึ้น"

 

          พระเจ้าสุตโสมกลับมาสู่พระราชวัง ทรงมุ่งตรงไปยังบุรุษหนุ่มนั้นทันที ทรงรับสั่งให้นำบุรุษหนุ่มนั้นไปอาบน้ำลูบไล้ของหอมให้สดชื่นสบายใจ ให้ประดับเครื่องอลังการเสร็จแล้วจึงเชิญมาเข้าเฝ้าพระองค์ทรงเคารพในธรรม ทรงลงสรงสนานทีหลังบุรุษนั้น แล้วพระราชทานกระยาหารของพระองค์แก่บุรุษหนุ่ม ให้นั่ง ณ บัลลังก์ส่วนพระองค์ประทับนั่งอาสนะต่ำ บูชาเครื่องสักการะแก่บุรุษก่อนฟังธรรม แล้วตรัสอาราธนาว่า..

"ท่านอาจารย์! ข้าพเจ้าขอฟังพระคาถาที่ท่านนำมาเพื่อข้าพเจ้าด้วยเถิด"บุรุษนั้นจึงฟอกมือทั้งสองด้วยของหอมค่อยๆ บรรจงหยิบพระคัมภีร์มีค่าออกจากถุง ยกขึ้นสองมือแล้วกราบทูลว่า..
"บัดนี้ขอมหาบพิตรจงทรงสดับพระคาถาตามที่พระกัสสปทศพลทรงแสดงไว้ เพื่อถอนความเมา มีราคะเป็นต้น และเพื่ออมตมหานิพพาน"


บุรุษมองดูคัมภีร์แล้วเริ่มกล่าว..
"การคบหาบัณฑิตเพียงคราวเดียวเท่านั้นย่อมรักษาผู้คบหานั้นได้ส่วนการคบคนพาลแม้คบหาเป็นจำนวนมากก็รักษาผู้คบหาไว้ไม่ได้บุคคลควรคบสัตบุรุษควรทำความสนิทสนมกับสัตบุรุษ เพราะการรู้ธรรมของสัตบุรุษย่อม
มีความเจริญไม่มีความเสื่อมเลยราชรถที่เขาแต่งให้วิจิตรยังเก่าคร่ำคร่าได้ แม้ร่างกายก็แก่ชราคร่ำคร่าได้เหมือนกัน แต่ธรรมของสัตบุรุษย่อมไม่เก่า ไม่ชรา ไม่คร่ำคร่า
คนดีกับคนดีย่อมรู้กันได้ ฟ้าและแผ่นดินไกลกันสองฝังมหาสมุทรก็ไกลกัน แต่ธรรมของบัณฑิตกับธรรมคนพาลไกลกันยิ่งกว่า"


ชายหนุ่มกล่าวจบแล้วนั่งนิ่งอยู่ พระเจ้าสุตโสมฟังธรรมพิจารณาตามแล้วมีพระหฤทัยโสมนัสยิ่งนักคิดว่า..
"การกลับมาของเราได้ประโยชน์มากจริงๆ นี้ไม่ใช่ภาษิตของพระสาวก ไม่ใช่ภาษิตของฤาษีไม่ใช่ภาษิตของกวีแต่เป็นภาษิตของพระสัพพัญู แม้เราให้จักรวาลทั้งสิ้นที่เต็มด้วยรัตนะ 7 ตลอดถึงพรหมโลกก็ไม่อาจจะทำให้สมควรค่าแก่พระคาถานี้เลย เราพอที่จะให้ราชสมบัติในนครอินทปัตแก่บุรุษคนนี้ได้หรือไม่หนอ"

 

            พระเจ้าสุตโสมทรงตรวจพิจารณาดูด้วยองค์คุณวิทยาว่าจะฝากฝังบ้านเมืองไว้แก่ชายผู้นี้ได้หรือไม่ ก็เห็นว่าบุรุษนี้ไม่อาจจะรองรับราชสมบัติและตำแหน่งทางการใดๆ ได้เลย กระทั่งตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านก็มิอาจ ทรงตรวจดูว่าทรัพย์เพียงไหนที่ชายผู้นี้จะนำไปใช้ได้เห็นว่ามีเพียง 4,000 กหาปณะเท่านั้นจึงตกลงพระทัยว่าจะบูชาบุรุษนี้ด้วยทรัพย์ 4,000 กหาปณะแล้วทรงรับสั่งให้จัดรถไปส่งบุรุษนั้นกลับบ้านโดยสวัสดี..

              จากนั้นพระเจ้าสุตโสมได้เข้าไปทูลลาพระราชบิดามารดาเพื่อไปพบโจรโปริสาท ทั้งสองตรัสห้ามมิให้ไป ทรงเสนอให้จัดแต่งทัพไปปราบโจรแต่พระเจ้าสุตโสมยืนยันหนักแน่นในสัจจวาจาของพระองค์ พระราชบิดามารดาทรงมีพระพักตร์นองด้วยอัสุชล ทรงกันแสงพิไรร่ำรำพันพร่ำเพ้อว่าอย่าไปนะลูก! ไปไม่ได้นะลูก! ทั้งพระสนมกำนัลและราชบริพารต่างก็ปริเวทนาว่าพระองค์จะเสด็จไปไหน อย่าทิ้งพวกข้าพระองค์ไว้ให้อนาถา ชาวนครทั้งสิ้นเกิดโกลาหลกันใหญ่..

    โจรโปริสาททำจิตกาธานก่อไฟขึ้นลุกโพลงนั่งถากหลาวรอเวลาอยู่ พระเจ้าสุตโสมก็เสด็จมาถึงแล้ว
"สหาย! ท่านไปทำสิ่งที่อยากทำเสร็จแล้วรึ" จอมโจรถาม
"ใช่แล้วท่านโปริสาท! เชิญท่านบูชายัญเราตอนนี้ได้เลย" พระเจ้าสุตโสมตรัสตอบ

 

          โจรโปริสาทนึกเลื่อมใสอยู่ในใจว่า พระราชาองค์นี้ไม่กลัวเราเลย ช่างองอาจเสียจริงที่ไม่หวาดหวั่นต่อความตาย หรือคงเป็นเพราะคาถาธรรมที่ไปฟังมาคาถานั้นมีอานุภาพเพียงใดกันแน่หากเราได้ฟังบ้างคงดีมิใช่น้อย จึงกล่าวกับพระเจ้าสุตโสมว่า..
"การที่เราจะกินเนื้อท่านนั้นกินเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ข้าพเจ้าขอสดับคาถาที่ท่านไปฟังมาเสียก่อนจะได้ไหมล่ะ"
"ท่านโปริสาทเอ๋ย! ท่านเป็นคนประพฤติไม่ชอบธรรมเที่ยวฆ่าคนกินเนื้อ ต้องทิ้งราชสมบัติมาเป็นมนุษย์กินคนแบบนี้เพราะเห็นแก่กินโดยแท้ แต่คาถาที่ท่านถามถึงหน่ะ! ล้วนแต่กล่าวสรรเสริญธรรมทั้งสิ้น ธรรมและอธรรมจะลงรอยกันได้ที่ไหนคนประพฤติอธรรมทำกรรมร้ายแรง ฝ่ามือนองไปด้วยเลือดอยู่เป็นนิตย์เช่นท่านจะหาสัจจะมิได้เลย ท่านจะฟังไปทำไมกัน"

 

           พระเจ้าสุตโสมแม้กล่าวเปรียบเปรยเช่นนี้แต่ก็กล่าวด้วยจิตเมตตาปรารถนาให้โจรได้สติยั้งคิดถึงการกระทำที่ผ่านมาของตนเสียบ้าง โจรโปริสาทกลับไม่รู้สึกโกรธในถ้อยคำของสหายแต่กล่าวถามว่า..
"พระสหายสุตโสม! ข้าพเจ้าประพฤติชั่วช้าอยู่คนเดียวหรือไร แล้วพระราชาอื่นๆ ที่เที่ยวล่าสัตว์มากินเนื้อล่ะ! ทำไมพระองค์ไม่ตรัสว่าพระราชาเหล่านั้นบ้าง พระองค์ตรัสหาว่าหม่อมฉันเป็นผู้ประพฤติไม่ชอบธรรมแต่คนเดียว ถ้าพวกเขาไม่มีโทษแม้ข้าพเจ้าก็ไม่มีโทษเหมือนกันนั่นแหละ!"

 

พระเจ้าสุตโสมทรงแก้ความคิดของโจรโปริสาทต่อไปว่า..
"เนื้อสัตว์ 10 ชนิด ที่กษัตริย์ขัตติยธรรมไม่ควรเสวยมีอยู่ แต่ท่านมากินเนื้อมนุษย์ซึ่งเป็นของต้องห้าม ท่านเป็นผู้ประพฤติไม่ชอบธรรมแน่นอน!"

 

            คราวนี้โจรปฏิเสธไม่ได้อีกสงบปากรับคำแต่จะให้เลิกทานเนื้อมนุษย์นั้นไม่มีทาง จึงรีบเปลี่ยนเรื่องยกความผิดพระเจ้าสุตโสมมาบ้างว่า..
"พระองค์ทรงกลับไปเสวยสุขในกามคุณแล้วไฉนยังกลับมาหาความตายที่นี่อีก เท่ากับว่าพระองค์เป็นผู้ไม่ฉลาดในขัตติยธรรมเสียเลยนะ! ข้าพเจ้าไม่คิดว่าพระองค์จะเป็นบัณฑิตอย่างที่เขาเล่าลือกันแต่คิดว่าพระองค์ทำสิ่งที่โง่มากกว่า!"

"ใครจะไปประพฤติขัตติยธรรมตามแบบของท่านว่าล่ะ! ขืนประพฤติก็ต้องตกนรกกันหมดเรารักษาคำสัตย์กลับมาหาท่านแล้ว ท่านโปริสาท! บัดนี้ท่านจงบูชายัญแล้วกินเราเสียเถิด โปรดอย่าช้าอีกเลย"

 

โจรโปริสาทไม่ยอมฆ่าแต่กลับใคร่จะสนทนาต่อ..
"สหายสุตโสม! ปราสาทราชมณเฑียร แผ่นดิน โค ม้า และสตรีที่น่ารื่นรมย์ พระองค์ก็ได้ครอบครองทั้งหมด แล้วพระองค์ทรงเห็นอานิสงส์อะไรด้วยความสัตย์เล่า"

"บรรดาร เหล่าใดในโลกความสัตย์นี่แหละ! เลิศรสกว่า รสทั้งหมดไม่มีทางเทียบเทียมกันได้เลยสมณะที่ตั้งอยู่ในความสัตย์ย่อมข้ามถึงฝังนิพพานได้" พระเจ้าสุตโสมตรัสตอบ

 

            บัดนี้ถ่านแดงร้อนได้ที่แล้ว ไฟก็ลุกโพลงแล้ว โจรมองพระพักตร์พระเจ้าสุตโสมเพื่อสังเกตอาการว่าพระองค์ตระหนกตกใจหรือไม่ แต่ปรากฏว่าพระพักตร์ของพระองค์กลับแย้มบานคล้ายดั่งดอกบัว โปริสาทฉงนใจเป็นที่สุดนึกสงสัยว่า นี่เป็นเพราะอานุภาพของพระคาถาหรือความสัตย์กันแน่ยังไม่ชัดเจนในใจ จึงถามต่อว่า..
"พระองค์ไม่กลัวตายแน่หรือ ไม่อาลัยในชีวิตบ้างเลยหรือ"

 

    "ความดี เราทำไว้แล้ว ทางปรโลกเราก็สะสางสะอาดดีแล้ว ผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรมใครเล่าจะกลัวตาย เรามิได้เดือดร้อนที่จะไปสู่ปรโลกเลย พระชนกชนนี เราก็ได้บำรุงเลี้ยงดูอย่างดีแล้วความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เราก็ปกครองแล้วโดยธรรม อุปการะแก่ญาติมิตร เราก็ทำไว้แล้ว ทาน เราได้ให้ไว้ดีแล้วแก่คนเป็นจำนวนมากสมณพราหมณ์ เราอุปถัมภ์ดีแล้ว ท่านโปริสาท บัดนี้เชิญท่านบูชายัญกินเราเสียเถิด" พระเจ้าสุตโสมตรัสตอบ

    โจรโปริสาทฟังแล้วให้เกิดความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่งคิดว่า..
"คนๆ นี้ช่างเป็นสัตบุรุษโดยแท้! ถ้าเรากินคนผู้นี้ ศีรษะเราจะต้องแตกเป็น 7 เสี่ยงแน่นอนหรือไม่เช่นนั้นแผ่นดินก็ต้องแยกช่องสูบเราลงไปโดยมิต้องสงสัย"

 

    โจรโปริสาทคิดได้ดั่งนี้ความคิดที่จะฆ่าพระเจ้าสุตโสมพลันหายไปหมดสิ้น กล่าวว่า..
"พระสหายสุตโสม! พระองค์เป็นคนที่ข้าพเจ้าไม่ควรกินอย่างยิ่ง บุรุษจะกลืนกินยาพิษหรือจับอสรพิษฤทธิ์ร้ายได้อย่างไร ใครกินคนที่กล่าวคำสัตย์เช่นพระองค์ ศีรษะจะต้องแตกเป็น 7 เสี่ยงพระองค์เป็นเหมือนยาพิษร้ายแรงใครจะกินพระองค์ไปได้เล่า!"

 

โจรโปริสาทเกิดความเลื่อมใสในพระสหาย และตอนนี้รู้สึกอยากฟังธรรมเหลือเกินแต่พระสหายก็ไม่ยอมแสดงให้ฟังเสียที จึงอ้อนวอนต่อสหายอย่างใจจริงว่า..
"สหายสุตโสมคนทั้งหลายได้ฟังธรรมแล้วย่อมรู้จักบาปบุญคุณโทษ หากข้าพเจ้าได้ฟังคาถานั้นแล้วก็คงจะยินดีในธรรมได้บ้าง ท่านได้โปรดแสดงให้ข้าพเจ้าฟังบ้างเถิด"

 

           พระเจ้าสุตโสมเห็นว่าจิตใจของจอมโจรอ่อนลงมามากแล้วจึงยอมแสดงพระคาถาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ฟัง โดยกำชับให้โจรตั้งใจเงี่ยโสตสดับให้ดีแล้วกล่าวพระคาถาที่ได้ฟังมาจนจบ เมื่อโปริสาทฟังจบ ร่างกายตั้งแต่ผมจรดปลายเท้าเกิดเต็มด้วยปีติทุกขุมขนกลายเป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยนนอบน้อมต่อพระเจ้าสุตโสมสำคัญพระเจ้าสุตโสมว่าเป็นดุจพระชนก ดำริว่า เราไม่มีเงินทองอะไรที่จะถวายพระเจ้าสุตโสมได้เลย เราจะถวายพรทำตามที่พระองค์ขอก็แล้วกัน จึงกล่าวว่า..
    "พระสหายผู้เป็นจอมชน พระคาถาเหล่านี้มีประโยชน์มากจริงๆ พระองค์ตรัสไพเราะมากข้าพเจ้าสดับแล้วเพลิดเพลินปลื้มใจ อิ่มใจเสียเหลือเกิน ข้าพเจ้าอยากขอถวายพระพร 4 อย่างคืนแด่พระองค์ให้สมกับพระคาถาทั้ง 4 บทนี้บ้าง"

พระเจ้าสุตโสมทรงประสงค์จะให้โปริสาทมีใจหนักแน่นที่จะทำตามที่พระองค์ทรงขอ จึงตรัสไปว่า..
"สหายผู้มีธรรมอันลามก! ท่านจะให้พรอะไรเราได้ ท่านไม่เคยพิจารณาถึงความตายเลยท่านไม่รู้สึกถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ไม่รู้ถึงนรกและสวรรค์ มัวเป็นผู้ติดอยู่แต่ในรสตั้งตนอยู่ในความชั่วเช่นนี้แล้วจะให้พรอะไรแก่เรา"

 

"ขอให้พระองค์จงทรงมั่นพระทัยรับพรเถิด แม้ชีวิตของหม่อมฉันก็จะสละถวายให้พระองค์ได้"โปริสาทยืนยันหนักแน่นพระเจ้าสุตโสมเห็นโปริสาทยืนยันหนักแน่นเช่นนี้จึงยินดีรับพร แล้วกล่าวว่า..
"เราขอให้ท่านจงปราศจากโรคภัยไปตลอด 100 ปี นี้เป็นพรข้อที่หนึ่ง"โปริสาทชื่นบานใจที่พระสหายขอพรให้ตนมีความสุข รู้สึกสรรเสริญน้ำพระทัยของพระเจ้าสุตโสมยิ่งนัก

"ขอท่านอย่าได้กินพระราชา 101 พระองค์ที่ท่านจับมาบูชายัญ นี้เป็นพรข้อที่สอง"พระเจ้าสุตโสมตรัสพร้อมกับมองไปที่พระราชาทั้ง 101 ที่ถูกจับแขวนห้อยติดกันอยู่ใต้ต้นไม้ไกลออกไปด้านหลังโจร
"ได้! หม่อมฉันจะไม่กินพระเจ้าแผ่นดินเหล่านั้น นี้เป็นพรข้อที่สอง หม่อมฉันยอมถวาย"โจรตัดใจถวายให้แก่พระสหาย

"ขอท่านจงปล่อยกษัตริย์เหล่านั้นให้กลับไปสู่แคว้นของตนด้วยเถิด นี้เป็นพรข้อที่สามที่หม่อมฉันปรารถนา" ข้อนี้โจรยินยอมโดยไม่ยาก

"ข้อสุดท้าย! คนจำนวนมากต่างหวาดกลัวท่านจึงหนีเข้าที่ซ่อนเร้น ขอพระองค์จงเว้นเนื้อมนุษย์เสียเถิด นี้เป็นพรข้อที่สี่ที่หม่อมฉันปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง"

 

           โจรโปริสาทเหมือนถูกสายฟ้าฟาด ปรบมือหัวเราะกลบเกลื่อนทูลว่า..
"พระสหายสุตโสมพูดถึงเรื่องนี้เชียวหรือ! พรข้อนี้เท่ากับชีวิตของหม่อมฉันเชียวนะ จะให้ถวายแด่พระองค์ได้อย่างไรกัน ขอพระองค์จงรับพรอย่างอื่นเถิด เนื้อมนุษย์เป็นอาหารที่ชอบใจของหม่อมฉันมานานแล้ว หม่อมฉันเข้าป่ามาก็เพราะเหตุนี้เท่านั้น ถ้างดเนื้อมนุษย์แล้วหม่อมฉันจะเข้าป่ามาทำไม! หม่อมฉันยอมแลกกับราชสมบัติก็เพราะเนื้อนี้"

"ท่านไม่ยอมงดเพราะเป็นของรักของท่านรึ ผู้ใดทำบาปเพราะของรัก นับเป็นอันธพาลท่านมัวคิดอยู่แต่ว่านี้เป็นของรัก แล้วทำตนให้เหินห่างจากความดีจะตกนรกในที่สุด ท่านทำตนให้เหินห่างจากสิ่งที่ตนรัก ก็ตนแลประเสริฐที่สุด เมื่ออบรมตนแล้วภายหลังก็จะได้สิ่งที่รักทั้งหลาย" พระเจ้าสุตโสมตรัสเตือนโปริสาท

 

    โปริสาทรู้สึกหวาดหวั่นยิ่งนักเนื่องเพราะพระเจ้าสุตโสมจะคาดคั้นเอาพรข้อนี้ให้ได้จริงๆ แต่โปริสาทไม่อาจทำใจได้จริงๆ รู้สึกกดดันฝนใจตนเองจนแทบอกระเบิด น้ำตาก็ไหลพรากออกมาพลางพร่ำเพ้อว่า..
"เนื้อมนุษย์นี้เป็นที่รักยิ่งของหม่อมฉันจริงๆ นะท่านสุตโสม ท่านจงทราบความจำเป็นของหม่อมฉันด้วยเถิด หม่อมฉันไม่อาจงดเว้นได้จริงๆ ได้โปรดเลือกพรข้ออื่นเถิด"

"ท่านมัวแต่รักษาของรักอยู่นั่นแหละ! จนท่านได้ทิ้งความดีไปแล้ว ตอนนี้ตัวท่านก็เหมือนพวกขี้เมาดื่มสุราเจือยาพิษจะต้องได้รับทุกข์ในเบื้องหน้าแน่นอน ท่านทนฝนใจแก้ไขตัวเองไปก่อนแล้วเดี๋ยวนานไปก็จะดีได้เอง เหมือนอย่างคนไข้ฝนใจดื่มยาเดี๋ยวก็หายได้ ท่านมุ่งไปเสวยสุขในเบื้องหน้าเถิด อย่าอาลัยอาวรณ์เลย" พระเจ้าสุตโสมตรัส


    โจรโปริสาทยังคร่ำครวญรำพันอยู่อย่างอึดอัดใจ เสียดายจนตัดใจยังไม่ได้ รู้สึกทรมานใจเหลือกำลัง กล่าวออกไปว่า..
"โอ.. หม่อมฉันได้ทิ้งพระชนกชนนี ทิ้งเบญจกามคุณจนหมดสิ้น ยอมลำบากเข้าป่ามาเพื่อเนื้อมนุษย์เท่านั้นจริงๆ หม่อมฉันเลิกไม่ได้แล้ว!"
"บัณฑิตย่อมไม่พูดจากลับกลอกเป็นสอง ท่านบอกข้าพเจ้าแล้วว่าจะให้พรแต่ตอนนี้ท่านไม่ยอมให้คำทั้งสองมันไม่สมกันเลย" พระเจ้าสุตโสมตรัสทวนสัจจวาจา

 

            โจรโปริสาทเห็นพระเจ้าสุตโสมไม่ยอมเลิกราก็รู้สึกกดดันอึดอัดใจอย่างยิ่งจนพูดอะไรไม่ออก
เมื่อถูกคาดคั้นเอาตอนนี้จึงร้องไห้โฮออกมาไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะใจมันติดเสียแล้ว พอนึกถึงอาการที่
ตนจะไม่ได้กินเนื้อมนุษย์อีกต่อไปก็ให้เสียดายยิ่งนัก ทำใจไม่ได้ กล่าวว่า..
"หม่อมฉันยอมทำบาปมาสารพัดจนใจยอมรับบาปได้หมด หวังก็แค่เนื้อมนุษย์นี้ หม่อมฉันทำใจเลิกไม่ได้จริงๆ นะท่าน"
"คนเราให้พรใดแล้วกลับไม่ให้ก็ไม่ควรจะให้พรว่าขอพระสหายจงมั่นพระทัยรับพรเถิดแม้ชีวิตหม่อมฉันก็สละถวายได้ การเสียสละชีวิตได้นั้นเป็นธรรมของบัณฑิต บัณฑิตย่อมมีปฏิญาณเป็นสัตย์ท่านให้พรแก่เราก็จงให้โดยฉับพลันอย่าลังเลใจ ท่านต้องรีบประพฤติธรรมของสัตบุรุษทันที อย่าคิดมากเลย นรชนพึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ต่อเมื่อนึกถึงธรรมก็พึงสละอวัยวะทรัพย์ และแม้ชีวิตทั้งหมดได้ก็เพื่อประพฤติธรรมเท่านั้น! บุคคลรู้ธรรมะจากผู้ใดและผู้นั้นก็เป็นคนดีสามารถบรรเทาความสงสัยได้ ผู้นั้นย่อมเป็นที่พึ่งพำนักของบุคคลนั้น บัณฑิตไม่พึงทำลายไมตรีจากบุคคลนั้นเลย"

 

    โจรโปริสาทเหมือนหมดอาลัยตายอยาก เมื่อหวนคิดถึงคำพูดของตนที่ว่า "ตนจะสละชีวิตให้"ก็เริ่มจะตัดใจได้ค่อยๆ คลายความผูกพันในเนื้อมนุษย์ลงโดยคิดว่าจะอย่างไรก็แค่ตาย และคิดว่าท่านสุตโสมก็เป็นอาจารย์ของเราและพรเราก็ถวายไปแล้วเราจะทำอะไรได้ อย่างมากก็ให้มันตายไปแล้วก็จบกันไปเสียชาติหนึ่ง! เราจะไม่กินเนื้อมนุษย์ก็ได้ เรายอมถวายพรข้อนี้แล้ว..

    โปริสาทตัดใจไปน้ำตาก็ไหลพรากไปไม่ขาดสาย ลุกขึ้นถวายบังคมพระบาทพระเจ้าสุตโสมพลางกล่าวว่า...
"นั่นเป็นอาหารที่ชอบใจของหม่อมฉันมานานทีเดียว หม่อมฉันเข้าป่าก็เพราะเหตุนี้ แต่ถ้าพระสหายตรัสขอหม่อมฉันในเรื่องนี้ หม่อมฉันก็ยอมถวายแด่พระองค์ได้"

 

พระเจ้าสุตโสมทรงปลาบปลื้มพระทัยมาก ตรัสชื่นชมโสมนัสว่า..
"สหายเอ๋ย! คนที่ตั้งอยู่ในศีลถึงจะตายก็ประเสริฐแล้ว เราขอรับพรที่ท่านประทาน ท่านได้ตั้งอยู่ในทางของพระอริยะตั้งแต่วันนี้แล้ว และถ้าความรักในตัวเรายังมีอยู่ขอท่านจงรับศีล 5 เถิดนะมหาราช"

 

พระเจ้าสุตโสมให้โจรโปริสาทรับศีลแล้วกล่าวว่า..
"สหาย! ท่านโปรดปลดปล่อยกษัตริย์เหล่านี้เสียเถอะนะ"โปริสาทขอให้พระเจ้าสุตโสมไปเป็นเพื่อนเพื่อปลดปล่อยพระราชาเหล่านั้นด้วยเพราะเกรงว่าจะถูกรุมราชาทัณฑ์ พระเจ้าสุตโสมจึงทูลขอร้องเหล่ากษัตริย์ทั้ง 101 ว่า..
"พวกท่านโปรดอย่าได้คิดแค้นเคืองทำร้ายโจรโปริสาทนี้เลย ขอให้ทุกท่านจงรับสัจปฏิญาณต่อหม่อมฉันด้วยเถิด"

 

             กษัตริย์ทั้งหมดยินยอมรับทำปฏิญญาแต่โดยดี นับว่าเป็นความรอบคอบของพระเจ้าสุตโสมหากพระเจ้าสุตโสมไม่ทรงให้ทุกคนทำปฏิญญาไว้ก่อน เมื่อปลดปล่อยแล้วหากมีใครเคียดแค้นทำร้ายขึ้นมาก็จะห้ามกันไม่อยู่

              จากนั้นโจรโปริสาทจึงตัดเชือกทีละเส้น พระเจ้าสุตโสมก็ช่วยรับประคองกษัตริย์เหล่านั้นทีละพระองค์ด้วยความเมตตาดังบุตรที่เกิดแต่อก ทรงชะล้างแผล ล้างหนองและเลือด ทำแผลให้จนสะอาด ฝ่ายโปริสาทก็ฝนเปลือกไม้มาประคบ ให้ดื่มน้ำซาวข้าวจนพระอาการเป็นปกติทุกพระองค์ทุกอย่างเสร็จสิ้นถึงคราวต้องออกจากป่ากันแล้ว พระเจ้าสุตโสมชวนโปริสาทกลับไปครองราชย์ดังเดิม โปริสาทร้องไห้ฟุบอยู่แทบบาทยุคลพระเจ้าสุตโสมแล้วทูลว่า..
"พระสหายจงพาพระราชาทั้งหลายเสด็จไปเถิด หม่อมฉันจะกินรากไม้และผลไม้อยู่ในป่านี้ตามอัตภาพ..จนกว่าจะตาย!"

"สหายจะทำอะไรในป่านี้! พระนครของพระองค์น่ารื่นรมย์จงเสด็จไปเสวยราชสมบัติเถิด"พระเจ้าสุตโสมตรัสให้ออกไปด้วยกัน
"พระสหาย! ตอนนี้ข้าพระองค์กลายเป็นศัตรูของชาวเมืองทั้งหมดไปแล้ว ชาวเมืองจะด่าหม่อมฉันว่า กินมารดาบิดาของเขา กินบุตรของเขา กินญาติของเขา แล้วจะพากันจับหม่อมฉันตั้งข้อหาว่าเป็นโจร จะฆ่าหม่อมฉัน หม่อมฉันรับศีลจากพระองค์แล้วย่อมไม่อาจจะต่อสู้เขาได้หม่อมฉันจึงไม่อาจไปกับพระองค์ หม่อมฉันงดเนื้อมนุษย์แล้วจะอยู่ได้นานสักเท่าไรก็ยังไม่รู้ คงไม่ได้เห็น พระพักตร์พระองค์อีกต่อไปแล้ว เชิญพระองค์เสด็จไปเถิด" โปริสาทกล่าวไปพลางร้องไห้น่าเวทนา

"สหายโปริสาทเอ๋ยคนทำกรรมหนักหนาสาหัสเช่นพระองค์หม่อมฉันยังแก้ไขได้ แล้วกับชาวนครพาราณสีไฉนหม่อมฉันจะฝึกไม่ได้ล่ะ หม่อมฉันจะให้พระองค์กลับเป็นพระราชาอีกครั้งให้ได้หากทำไม่สำเร็จก็จะแบ่งราชสมบัติของหม่อมฉันออกเป็นสองส่วน ถวายให้พระองค์ครึ่งหนึ่ง"

 

            พระเจ้าสุตโสมตรัสอย่างมั่นพระทัยพร้อมกับพรรณนาความสะดวกสบายในพระราชวังทุกอย่างเพื่อให้โปริสาทหายกลัวประชาชนทำร้าย จนในที่สุดโปริสาทก็มีจิตใจชื่นบานยินยอมกลับไปกับพระองค์ พระยาโปริสาทดีใจที่ได้พระสหายดีจึงกล่าวชื่นชมพระสหายไปตลอดการเดินทางว่า..

    "พระสหายสุตโสมช่างดีจริง อะไรๆ ที่จะดียิ่งกว่าการคบหากัลยาณมิตรไม่มีเลยส่วนสิ่งใดที่จะเลวสกปรกยิ่งกว่าการคบพาลมิตรไม่มีเลย พระจันทร์วันข้างแรมเสื่อมลงทุกวันๆ เราพลันไปคบคนพาลก็เหมือนดั่งวันข้างแรม เพราะเจ้าคนครัวลามกเลวทรามแท้ๆมันเอาเนื้อมนุษย์มาให้เรากินเราจึงได้ทำบาปมากมายปานนี้ ผิดกับพระจันทร์วันข้างขึ้นมีแต่เจริญขึ้นทุกวันๆ ฉันใด หม่อมฉันก็ได้คบหาท่านสุตโสมจึงได้เริ่มทำกุศลกรรมเดินไปตามทางสุคติเช่นนี้" พระยาโปริสาทกล่าวอย่างครึ้มอกครึ้มใจเหมือนได้ชีวิตใหม่ กล่าวต่อว่า..

    "ข้าแต่พระองค์เอย น้ำไหลตกที่ดอนย่อมไม่แน่นอนอยู่ได้ไม่ได้นาน การคบหาคนพาลก็เป็นเฉกเช่นเดียวกันส่วนน้ำตกไหลลงสระเก็บอยู่ได้นาน การพบพานคนดีอย่างพระองค์ก็ฉันนั้นนั่นเองคบคนดีช่างดีจริงแท้ มิตรภาพอยู่ได้ทนนานส่วนคบคนพาล มิตรภาพเสื่อมทรามรวดเร็วตั้งอยู่ไม่นานเลย ธรรมของบัณฑิตกับธรรมของคนพาลช่างห่างไกลกันเสียเหลือเกิน.."

 

    พระยาโปริสาทเดินชื่นชมพรรณนาคาถาคุณแห่งกัลยาณมิตรด้วยใจร่าเริงเบิกบานมาจนถึงเมืองพาราณสีอันตระการของตนแล้ว พวกทหารพากันปิดประตูเมืองตามคำสั่งของเหล่าอำมาตย์พระเจ้าสุตโสมขอเสด็จเข้าเมืองโดยลำพังเพื่อไปเจรจาความ ยุวกษัตริย์ทรงทราบพระกิตติศัพท์ของพระเจ้าสุตโสมที่ขจรขจายไปทั่วทุกแว่นแคว้นถึงความเป็นบัณฑิตของพระองค์ ทรงเสด็จต้อนรับด้วยความเลื่อมใสพร้อมทั้งอัญเชิญให้พระเจ้าสุตโสมประทับนั่งบนราชบัลลังก์ จากนั้นพระเจ้าสุตโสมได้ตรัสชี้แจงแก่เหล่าอำมาตย์ว่า..

    "บัดนี้! เราได้ให้พระราชาของพวกท่านรับศีลแล้ว พระเจ้าโปริสาททรงกลับพระทัยได้แล้วขอให้พระราชโอรสคืนตำแหน่งให้พระบิดาเถิดเพื่อเป็นการกตัญู"พระเจ้าสุตโสมตรัสสั่งสอนเหล่าอำมาตย์ให้กตัญูต่อผู้มีคุณที่ชุบเลี้ยงตนมาในอดีต แล้วตรัสแก่พระชายาให้เอื้อเฟื้อต่อพระสวามี พร้อมให้โอวาทแก่ทุกคนว่า..

    "พระราชาที่เอาชนะคนไม่ควรชนะไม่ชื่อว่าราชา เพื่อนที่เอาชนะเพื่อนไม่ชื่อว่าเป็นเพื่อนภรรยาที่ไม่กลัวเกรงสามีไม่ชื่อว่าเป็นภรรยา บุตรที่ไม่เลี้ยงมารดาบิดาผู้แก่ชราไม่ชื่อว่าเป็นบุตรคนที่ขจัด ราคะ โทสะ โมหะ พูดเป็นธรรมนั่นแลชื่อว่าเป็นบัณฑิต ที่ประชุมไม่มีบัณฑิตไม่ชื่อว่าเป็นสภาบัณฑิตเมื่ออยู่ปะปนกับคนพาล ถ้าไม่พูดก็ไม่รู้ว่าเป็นบัณฑิต หากพูดเมื่อใดก็ต้องแสดงอมตธรรมจึงจะรู้ได้ว่าเป็นบัณฑิต บัณฑิตยกย่องสุภาษิตส่วนคนพาลที่จะยกย่องสุภาษิตนั้นไม่มีเลย!"

 

    พระราชาและเหล่าเสนาบดีสดับคำของพระเจ้าสุตโสมแล้วเกิดปีติโสมนัสกันถ้วนหน้าประสงค์จะเชิญเสด็จพระเจ้าโปริสาทเข้ามาในเมือง พระราชารับสั่งให้ตีกลองประชุมชาวเมืองประกาศว่า..
"บัดนี้! พระราชาของพวกเราเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในธรรมแล้ว จงพากันไปรับเสด็จกันเถิด"

    เมื่อพระเจ้าโปริสาทเสด็จเข้ามายังพระนครแล้ว พระราชโอรสก็เข้าไปถวายบังคม รับสั่งให้เจ้าพนักงานช่างกัลบกตกแต่งพระเกศาและพระมัสสุให้พระบิดา ให้สรงสนานพระองค์ด้วยเครื่องสุคนธ์แต่งพระองค์ด้วยพระภูษาอาภรณ์ตามขัตติยราชประเพณีแล้วเชิญเสด็จขึ้นสู่ราชบัลลังก์ พระเจ้าโปริสาททรงทำสักการะแก่กษัตริย์ทั้งหมดอย่างยิ่งใหญ่ พระเจ้าสุตโสมทรงแนะนำให้สร้างโรงทานเพื่อเป็นต้นแบบให้พระราชาทั้งหมดโดยสร้างอย่างน้อย 5 แห่ง คือ ที่ประตูเมืองเข้าออกทั้งสี่อย่างละแห่งและที่ประตูพระราชวังอีกหนึ่งแห่ง พร้อมทั้งให้พระเจ้าโปริสาททรงประพฤติราชธรรมอีก 10ประการ คือทศพิธราชธรรม จากนั้นทรงส่งพระราชาทุกพระองค์กลับสู่พระนคร แม้พระเจ้าสุตโสมก็ทูลอำลากลับสู่เมืองอินทปัต..

 

    พระเจ้าสุตโสมเสด็จกลับมาแล้ว ทรงเข้าไปถวายบังคมพระราชบิดามารดา เสด็จกลับสู่พระราชฐานเพื่อฝึกฝนเพิ่มพูนบ่มนิสัยให้มั่นคงในขันธสันดานทบรอบขึ้นเรื่อยไป..
    ส่วนพระราชาทั้ง 101 นคร เมื่อแยกย้ายไปปกครองบ้านเมืองของตนแล้ว ได้สร้างโรงทานตามแบบที่รับมาจากพระเจ้าสุตโสม ทั้งหมดตั้งอยู่ในโอวาทของพระเจ้าสุตโสม ชาวเมืองแต่ละเมืองต่างพากันทำบุญ ทำทาน ละโลกแล้วไปสวรรค์กันทั่วทั้งชมพูทวีป..


ประชุมชาดก
           พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า พระเจ้าโปริสารทครั้งนั้นมาเป็นองคุลิมาล นันทพราหมณ์มาเป็นอานนท์ พระราชมารดาบิดาได้เป็นมหาราชตระกูล พระเจ้าสุตโสมคือตถาคตแล


           จากชาดกเรื่องนี้ พระเจ้าสุตโสมทรงตามรักษาสัญญาโดยมิคำนึงถึงชีวิต ถึงถูกความตายคุกคามหรือกามคุณผูกมัดก็ตัดใจได้โดยไม่อ้างเหตุสุดวิสัย พระองค์รักษาความตั้งใจไว้ได้ต่อเนื่องไม่ขึ้นๆ ลงๆ ตามทุกข์สุขที่ได้รับ นอกจากนี้ ยังทรงเคารพในธรรม ธรรมดาของผู้เคารพธรรมย่อมไม่แสดงธรรมแก่ผู้ยังไม่พร้อมที่จะฟัง หรือไม่เคารพในการฟังธรรม หากใจผู้ใดยังกระด้างด้วยมานะอวดรู้ดูหมิ่นกดธรรมลงต่ำ ธรรมะย่อมมิอาจเข้าไปในใจได้เป็นอันขาด ข้อนี้นับว่าพระเจ้าสุตโสมทรงมองออก ทรงเทิดทูนธงธรรมและมีสัจจะต่อธรรม ทำให้ทุกคนเห็นว่าธรรมเป็นของสูงควรค่าใจผู้ฟังน้อมต่ำลงมา ธรรมจึงหลั่งเข้าสู่ใจผู้นั้นได้

    "นิสัยจริงจังแก้ไขปัญหา, จริงใจต่อมิตร, ไม่ผิดต่อธรรม, ไม่ทำลายคำสัตย์, ไม่พลัด
ไปตามกิเลส, ไม่อ้างเหตุสุดวิสัย, ไม่เหนื่อยหน่ายท้อใจ, มีถ้อยคำหนักแน่นดังขุนเขา, ไม่ดูเบา
พูดเล่น, เห็นความสำคัญในคำพูด, รักษาความดีด้วยชีวิต มิให้ความดีล้มลงจากใจ, หลีกไกล
คนพาล, พบพานกัลยาณมิตร, ไม่คิดเลิกกลางคัน และมีใจเด็ดเดี่ยว" ทั้งหมดนี้จึงนับเป็นนิสัย
ในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในสัจจบารมี

 

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.015582549571991 Mins