ธรรมะวันนี้สัจกิริยา ๑ (๑.๑ สีวิราชชาดก)

วันที่ 26 มีค. พ.ศ.2560

 

สีวิราชชาดก ว่าด้วยการให้ดวงตาเป็นทาน

      พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นพระเจ้าสีวิราช ครองแคว้นสีพีพระองค์เป็นผู้ยินดีในการบริจาคทาน ทรงบริจาคทานทุกวัน วันละ ๖๐๐,๐๐๐ กหาปณะ โดยสร้างศาลาโรงทานไว้๖ แห่ง คือ ที่ประตูเมืองทั้ง ๔ แห่ง ใจกลางเมืองอีก๑ แห่ง และที่ประตูพระราชนิเวศน์อีก ๑ แห่ง พระองค์จะเสด็จไปโรงทาน ทรงตรวจตราการให้ทานด้วยพระองค์เอง

         ในทุกวันพระ ครั้งหนึ่ง ในวันดิถี๑๕ ค่ำ พระเจ้าสีวิราชประทับเหนือราชบัลลังก์ ทรงนึกถึงมหาทานที่พระองค์ได้บริจาค พลางดําริว่า ‘ทรัพย์สมบัติภายนอกทุกอย่างเราก็ให้ครบถ้วนบริบูรณ์แล้วไม่มีสิ่งใดที่เรายังไม่เคยบริจาค แต่ทานเหล่านี้มิได้ทําให้เรายินดีปรีดาเพิ่มขึ้นเลย ไฉนหนอจะมีคนที่มาขอวัตถุที่เป็นของภายในบ้าง’  

        พระองค์ทรงดำริต่อไปว่า ในวันนี้หากมีผู้มาขอเนื้อเราก็จะให้เนื้อ ขอเลือดก็จะให้เลือด ขอหัวใจก็จะให้หัวใจและถ้าใครขอดวงตาของเรา เราจะควักดวงตาทั้งคู่ให้ทันที 

        ท้าวสักกเทวราชประสงค์จะทดลองกําลังใจจึงแปลง เป็นพราหมณ์ชรามีดวงตามืดบอด ไปเข้าเฝ้าพระราชาผู้กําลังตรวจตราโรงทาน เมื่อไปถึงได้ประคองอัญชลีเหนือเศียรเกล้า พระราชาตรัสถามว่า “ท่านพราหมณ์ท่านมาวันนี้มีความประสงค์สิ่งใด”

         ท้าวสักกเทวราชตรัสตอบว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้าผู้ทรงธรรม การบริจาคทานของพระองค์ได้ฟุ้งขจรไปทั่วสารทิศ ข้าพระองค์เป็นคนตาบอดมีนัยน์ตาข้างเดียว ขอพระองค์โปรดพระราชทานพระเนตรข้างหนึ่งแกข้าพระองค์ด้วยเถิด” พระราชาสดับถ้อยคําเช่นนั้น เกิดความปีติปราโมทย์ยิ่งนัก ถึงกับเปล่งอุทานว่า “เป็นลาภใหญ่ของเราหนอ ความปรารถนาของเราจะสําเร็จบริบูรณ์ ในวันนี้แหละ เราจะได้ให้ในสิ่งที่ให้ได้โดยยากแล้ว”

        พราหมณ์ได้กราบทูลอีกว่า “บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ‘ดวงตาเป็นสิ่งยากที่บุรุษจะสละได้’ ขอพระองค์โปรดพระราชทานดวงเนตรนั้น ที่ไม่มีสิ่งอื่นจะยิ่งกว่า แก่ข้าพระองค์เถิด”

         พระราชาตรัสตอบว่า“ท่านพราหมณ์ท่านปรารถนาสิ่งใดจากเรา ขอสิ่งนั้นจงเป็นผลสําเร็จแก่ท่านเถิด เมื่อท่านขอ ดวงตาข้างเดียวเราจะให้ดวงตาทั้ง ๒ ข้างแก่ท่านเลยทีเดียว”จากนั้นทรงนําพราหมณ์เข้าไปในพระราชฐาน รับสั่งให้เรียกหมอมาควักดวงตาของพระองค์

         เรื่องที่พระราชาจะบริจาคดวงตาแก่พราหมณ์ตาบอดได้กระจายไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็วเหล่าอำามาตย์ราชเสนาพสกนิกรต่างกราบทูลทัดทานพระราชาเอาไว้แต่พระราชาทรงยืนยันว่า “แม้เราจะรักดวงตาทั้งสองปานใด แต่สัพพัญญุตญาณอันประเสริฐ นั้นเป็นสิ่งที่เรารักและปรารถนามากยิ่งกว่า เพราะฉะนั้นเราจึงยินดีที่จะสละดวงตา ท่านทั้งหลายอย่าได้ห้ามการบริจาคของเรา และอย่าได้ถือโกรธในพราหมณ์นี้เลย”


        จากนั้น พระองค์ทรงรับสั่งให้แพทย์ ควักดวงตาทั้งสองออก หมอได้บดโอสถหลายขนาน ทาพระเนตรเบื้องขวา พระองค์ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส 

        หมอเกิดความสงสารขึ้นมาจับใจไม่อาจทําต่อไปได้จึงกราบทูลพระราชา  ว่า“ขอเดชะ ข้าแต่มหาราชเจ้าขอพระองค์ทรงตัดสินพระทัยใหม่เถิด ข้าพระองค์สามารถทําพระเนตรให้กลับเป็นปกติได้”

        พระองค์ทรงปฏิเสธว่า “ท่านอย่ามัวชักช้าอยู่เลยจงรีบควักดวงตาของเราออกเถิด”หมอจึงปรุงโอสถน้อมเข้าไปให้ทรงทาพระเนตรซ้ำอีก

        เมื่อดวงตาถูกควักออก พระราชาทรงเกิดทุกขเวทนาแสนสาหัส แต่ด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวที่จะสละดวงตาเป็นทานให้ได้ จึงข่มทุกขเวทนาไว้หมอได้วางดวงตาไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา พระองค์ทรงรับดวงตาทั้งสองไว้พลางตรัสว่า “สัพพัญญุตญาณเท่านั้นเป็นที่รักกว่านัยน์ตาทั้งสองของเราตั้งร้อยเท่า พันเท่า ขอผลที่เราบริจาคดวงตานี้ จงเป็นปัจจัยให้ได้พระสัพพัญญุตญาณอันประเสริฐนั้นเถิด” แล้วได้พระราชทานดวงพระเนตรทั้งสองแก่พราหมณ์       พราหมณ์รับดวงตาทั้งสองมาแล้วได้ประดิษฐานไว้ในเบ้าตาด้วยฤทธานุภาพ ทําให้สามารถมองเห็นได้อีกเป็นอัศจรรย์       

        เมื่อพระราชารู้ว่า ‘พราหมณ์มองเห็นได้เป็นปกติ’ทรงโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง มีปีติแผ่ซาบซ่านไปทั่วพระวรกายข่มทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น ทําให้ความเจ็บปวดที่มีอยู่หายไปหมดสิ้นเมื่อพระราชาเห็นว่า ‘พระองค์เป็นคนตาบอดไม่สะดวกที่จะปกครองบ้านเมืองอีกต่อไป’ จึงมอบราชสมบัติแก่อํามาตย์ทั้งหลาย แล้วเสด็จออกผนวชเป็นฤๅษีอยู่ในพระราชอุทยาน ทรงรําพึงถึงทานของพระองค์ว่า“ก่อนให้ก็มีจิตเลื่อมใส ขณะให้ก็มีใจศรัทธา หลังให้แล้วมีใจเอิบอิ่มเบิกบาน”

      ท้าวสักกะเห็นความเด็ดเดี่ยวในการบริจาคทาน ของพระโพธิสัตว์จึงเสด็จมาแนะนําให้พระราชาขอพร เพื่อให้ได้ดวงตากลับคืนมาอีกครั้ง พระราชาทรงทําสัจกิริยาว่า “ผู้ใดมาขอกับเราผู้นั้นเป็นที่รักของเรายิ่งนัก เมื่อ
พราหมณ์มาขอดวงตาข้างเดียว เราได้ให้ดวงตาทั้งสอง โดยไม่มีความรู้สึกเสียดายเลย ด้วยสัจจวาจานี้ ขอจักษุจงบังเกิดขึ้นแก่เราเถิด” สิ้นคําอธิษฐาน ดวงตาทั้งสองเกิดขึ้นใหม่ทันทีมีลักษณะที่สวยงามมาก พระองค์สามารถทอดพระเนตรได้ไกลถึง ๑๐๐ โยชน์มองทะลุฝาหรือกําแพงหรือภูเขาได้หมด ไม่มีสิ่งใดบดบังดวงตาของพระองค์ได้อีกต่อไป

 

(สัจจปารมิตาจักษุ- จักษุที่เกิดจากสัจจบารมี)l

ชาดกเรื่องนี้คล้ายกับตำานานเจ้าแม่กวนอิม (พระโพธิสัตว์กวนอิม จึงตั้งสัจจาธิษฐานให้แขนและดวงตากลับคืนมาดังเดิม ด้วยพุทธานุภาพแขนและดวงตาจึงคืนกลับมาเหมือนเดิม)

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0011193831761678 Mins