อนันตริยกรรม

วันที่ 19 กค. พ.ศ.2560

อนันตริยกรรม

พุทธธรรมทีปนี 1 , Dhamma , Pre-Degree , วัดพระธรรมกาย , DOU , ธรรมกาย , ปริญญาตรี , พรีดีกรี , พระพุทธศาสนา , พุทธศาสตร์ , พระไตรปิฎก , พระสัมมาสัมพุทธเจ้า , อนันตริยกรรม , มาตุฆาต - ปิตุฆาต , อรหันตฆาต , โลหิตุปบาท  , สังฆเภท , วิบากกรรม

        อนันตริยกรรม คือ กรรมหนักฝ่ายบาป ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน มี 5 อย่าง ได้แก่

      1.-2. มาตุฆาต - ปิตุฆาต หมายถึง การฆ่ามารดาและบิดาของตนซึ่งเป็นผู้มีพระคุณต่อบุตรธิดาสุดจะคณานับ ให้ตายด้วยอาวุธอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ใดฆ่ามารดาบิดาของตนได้นับว่าเป็นผู้อกตัญญูยิ่งนัก

        3. อรหันตฆาต หมายถึง การฆ่าพระอรหันต์ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลหมดจดจากกิเลสอาสวะ บริสุทธิ์ด้วยกาย วาจา ใจ เป็นที่เคารพสักการบูชาของมหาชนทั้งหลาย ผู้ที่ฆ่าพระอรหันต์นับว่าเป็นผู้ที่โหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าได้แม้กระทั้งผู้ทรงศีล

        4. โลหิตุปบาท หมายถึง การทำร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนถึงยังพระโลหิตให้ห้อขึ้นไป พระองค์มีคุณต่อชาวโลกมากสั่งสอนพุทธบริษัทโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ผู้ใดพยายามทำร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้ไม่ถึงกับฆ่า เพียงแค่ยังพระโลหิตให้ห้อขึ้นไปนับเป็นบาปหนักที่สุด เช่น พระเทวทัตที่กลิ้งศิลาหมายจะฆ่าพระองค์ แต่ถูกแค่สะเก็ดหินเท่านั้น เป็นต้น

      5. สังฆเภท หมายถึง การทำลายสงฆ์ให้แตกออกจากกัน ซึ่งบุคคลผู้อาจทำสังฆเภทได้นั้นจะต้องเป็นภิกษุเท่านั้น เพราะพระสงฆ์ถือว่าเป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยมของชาวโลก ภิกษุใดทำให้ภิกษุสงฆ์ที่อยู่วัดเดียวกัน แตกความสามัคคีจนไม่ยอมทำสังฆกรรมร่วมกัน เช่น ลงอุโบสถ
ทำปวารณา เป็นต้น ถือเป็นสังฆเภท

      สรุป อนันตริยกรรมนี้ เป็นบาปหนักที่สุด ผู้ใดได้ทำอนันตริยกรรมข้อใดข้อหนึ่งแล้ว ย่อมไปเกิดในมหานรกทันที ฉะนั้นห้ามทำเป็นเด็ดขาด


ตอแห่งวัฏฏะ
        มีวาระพระบาลีในอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต ว่า

      "นาหํ ภิกฺขเว อญํ เอกธมฺมํปิ สมนุปสฺสามิ ยํ เอวํ มหาสาวชฺช ยถยิทํ ภิกฺขเว มิจฺฉาทิฏิ มิจฺฉาทิฏิปรมานิ ภิกฺขเว วชฺชานิติ

      ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่พิจารณาเห็นธรรมแม้สักอย่างหนึ่งที่จะมีโทษมากเหมือนอย่างมิจฉาทิฏฐินี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง"

      มิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิด ความเห็นที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น เห็นว่าแม้ผู้ใดทำบาป บาปนั้นก็ไม่ส่งผลแต่อย่างใด เป็นของสูญเปล่า บุญบาปไม่มี หรือมีความเห็นว่าเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้สัตว์เศร้าหมอง หรือผ่องใสนั้นก็ไม่มีเช่นกันสัตว์ทั้งหลายไม่มีการประกอบเหตุ ไม่มีปัจจัย จะบริสุทธิ์ก็บริสุทธิ์เอง จะเศร้าหมองก็เศร้าหมองเอง โดยไม่ต้องทำสิ่งใดบางพวกมีความเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้เกิดมา ต่างมีชีวิตเพียงแค่ชาติเดียว ตายไปแล้วสูญไม่ต้องเกิดอีก ความเห็นเช่นนี้ พระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ

    ความเห็นผิดนี้ มีโทษมากยิ่งกว่าอนันตริยกรรม ซึ่งหากผู้ใดไปพลั้งเผลอทำอนันตริยกรรม จะห้าม วรรค์ห้ามนิพพาน ตายไปแล้วต้องตกอเวจีมหานรก ทุกข์ทรมานแสนสาหัสอนันตริยกรรมมี 5 อย่าง คือ ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต และทำสังฆเภท คือทำสงฆ์ให้แตกแยกกัน ทั้ง 5 อย่างนี้จัดเป็นครุกรรมหรือกรรมหนัก ท่านกล่าวว่าทำให้สัตว์ผู้กระทำตกนรกอเวจีนานถึง 1 กัป ฉะนั้นอนันตริยกรรมยังมีกำหนดเวลารับโทษ จุดสิ้นสุดยังมีปรากฏ คือ เมื่อชดใช้กรรมหมด ก็ยังมีโอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์สั่งสมบารมีได้อีก แต่มิจฉาทิฏฐิมีโทษมากกว่านั้นอีก คือ ไม่สามารถกำหนดระยะเวลาการชดใช้กรรมได้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด เมื่อละโลกไปแล้วโลกันตนรกจะดึงดูดไปทันที

   มิจฉาทิฏฐินั้นชื่อว่า เป็นตอของวัฏฏะ ตอขวางทางสวรรค์ และมรรคผลนิพพาน บุคคลหรือเหล่าสัตว์ที่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐินี้ จะไม่มีโอกาสสร้างบารมี คือปิดสวรรค์ ปิดมรรคผลนิพพาน แม้ในเวลากัปพินาศไป เมื่อสรรพสัตว์ผู้มีบุญต่างไปบังเกิดในพรหมโลก ในสถานที่ไฟ ลม น้ำ ทำลายไม่ถึง บุคคลผู้ประกอบด้วยนิยตมิจฉาทิฏฐินั้น ก็ยังคงอยู่ในโลกันตนรก ชีวิตของนิยตมิจฉาทิฏฐินี้น่าสงสารมาก แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นร้อยพระองค์ หรือเป็นพันพระองค์ ก็ไม่สามารถทำให้เขาบรรลุมรรคผลนิพพานได้

     จุดกำเนิดของนิยตมิจฉาทิฏฐิทั้ง 3 ประเภทนี้ มีที่มาจากบุคคล 3 คน แต่นักศึกษาอาจแปลกใจที่บุคคลทั้ง 3 นั้น ทำไมจึงมีความเห็นที่แปลก ๆ เช่นนั้นได้ บุคคลทั้ง 3 คือ ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาล และอชิตเกสกัมพล

     ปูรณกัสสปะ แต่เดิมเกิดเป็นทาสของเศรษฐีท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นตระกูลที่ร่ำรวยมาก มีทาสบริวารมากมาย ก่อนที่เขาจะเกิดนั้น ท่านเศรษฐีมีทาสำหรับใช้สอยอยู่แล้วถึง 99 คน ซึ่งในสมัยนั้นถือกันว่า ถ้าทาสคนใดเกิดมาเป็นคนที่ 100 ทาสผู้นั้นจะได้สิทธิพิเศษกว่าคนอื่นเพราะได้ชื่อว่า มงคลทาสท่านเศรษฐีจึงตั้งชื่อให้ว่า ปูรณะ แปลว่า นายเต็มผู้เป็นมงคลทาสการงานในบ้านเขาจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ไม่ต้องมีใครมาบังคับ

     เมื่อปูรณกัสสปะเกิดมาประสบโชคเช่นนี้ จึงกลายเป็นหนุ่มเจ้าสำราญประจำบ้าน มีความเป็นอยู่สุขสบายกว่าทาสคนอื่น เสมือนลูกคนหนึ่งในครอบครัวเศรษฐี อยากจะเที่ยว จะเล่นก็ตามแต่ใจตน ไม่มีใครว่ากล่าวควบคุมได้ เขาประพฤติเช่นนี้มาตลอด จนเกิดความเบื่อหน่ายในการเป็นนกน้อยในกรงทองของเศรษฐี อยากจะออกไปท่องเที่ยวโลกกว้าง เปิดหูเปิดตา จึงหลบหนีออกจากบ้านเศรษฐี พร้อมทรัพย์สมบัติที่จำเป็นติดตัวไปด้วย

      วันหนึ่ง โชคร้ายถูกดักปล้นระหว่างทาง โจรปล้นเอาทรัพย์ไปหมด แม้กระทั่งผ้านุ่งและผ้าห่ม เขาจึงเดินโซซัดโซเซเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เพื่อขออาหารประทังชีวิต ชาวบ้านเห็นเข้ากลับเข้าใจผิดคิดว่า นายปูรณะนี้เป็นผู้มักน้อยสันโดษ แม้แต่ผ้านุ่งก็ไม่นุ่งให้เป็นกังวลคงเป็นพระอรหันต์ที่พวกตนแสวงหาอย่างแน่นอน จึงเชิญชวนกันมาอุปัฏฐากบำรุงผู้ที่ตนเข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์ ต่างชักชวนกันเอาอาหารอันประณีตมาให้ปูรณะ ทำให้ปูรณะสำคัญผิดคิดว่า ตัวเองคงเป็นพระอรหันต์จริง ๆ ยิ่งกว่านั้นยังมีคนมาศรัทธาเลื่อมใสเพิ่มมากขึ้นทุกวันถึงกับขอบวชกับตนถึง 500 คน

     ปูรณกัสสปะสั่งสอนลูกศิษย์ว่า แม้ผู้ใดทำบาปก็ไม่ถือว่าเป็นบาป หรือแม้ใช้ให้ผู้อื่นทำบาปก็ไม่บาปอีกเช่นกัน นี้คือจุดกำเนิดของนิยตมิจฉาทิฏฐิประการแรกที่เรียกว่า อกิริยทิฏฐิ

     ส่วนอีกเจ้าลัทธิหนึ่งเกิดเป็นทาสเช่นกัน เขาคลอดจากครรภ์มารดาที่โรงเลี้ยงโคซึ่งเป็นทาสีในตระกูลหนึ่ง ชาวเมืองจึงพากันเรียกเขาว่า โคสาล เมื่อนายโคสาลเติบโตเป็นหนุ่มโชคไม่ดีเหมือนปูรณกัสสปะ เพราะต้องทำงานหนักทั้งวันตามแต่เจ้านายจะสั่ง จะเกี่ยงงอนเกี่ยงงานก็ไม่ได้ ทำให้นายโคสาลเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสวันหนึ่งเจ้านายใช้ให้แบกไหน้ำมันเดินไปข้างหน้าส่วนตัวเจ้านายเดินตามหลังมา จนกระทั่งถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นทางลื่นเฉอะแฉะมาก นายบอกกับโคสาลว่า "มา ขลิ มา ขลิ" ซึ่งแปลว่า ระวังจะลื่นล้มนะ

      เจ้านายพูดไม่ทันขาดคำ นายโคสาลก็ลื่นหัวคะมำลงไปแล้ว ไหน้ำมันที่แบกมาแตกกระจาย ครั้นหันมามองข้างหลังเห็นนายกำลังเงื้อไม้จะลงโทษ จึงตัดสินใจวิ่งหนี เจ้านายก็วิ่งไล่ตามไปติด ๆ เมื่อใกล้จะถึงตัว เจ้านายรีบคว้าเสื้อของเขาไว้ แต่เขาสะบัดตัวอย่างแรงจนเสื้อผ้าหลุดลุ่ยวิ่งหนีสุดชีวิต เข้าไปหลบซ่อนอยู่ในป่า แต่สู้ความหิวไม่ไหว ต้องออกมาขออาหารกินชาวบ้านเห็นเข้าพากันลือไป ทำนองเดียวกับปูรณกัสสปะว่า นี่เป็นพระอรหันต์ จึงเอาข้าวปลาอาหารมาให้ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ เขาจึงไม่ยอมนุ่งเสื้อผ้าอีก และสั่งสอนลูกศิษย์ว่าสัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย จะเศร้าหมองหรือบริสุทธิ์ก็เป็นเอง ไม่เกี่ยวกับสิ่งใดทั้งนั้น ความเห็นเช่นนี้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ ที่ชื่อว่า อเหตุกทิฏฐิ เจ้าของลัทธิชื่อว่า มักขลิโคสาล เพราะเพี้ยนมาจากคำว่า มา ขลิ ซึ่งแปลว่าระวังจะลื่นล้ม จึงกลายมาเป็นมักขลิ ร่วมกับชื่อเดิมจึงกลายเป็นมักขลิโคสาล

    ส่วนลัทธิที่ 3 เป็นมิจฉาทิฏฐิขั้นสุดโต่ง บุคคลผู้นี้เดิมเป็นคนธรรมดาชื่อ อชิตะ ออกบวชเป็นเดียรถีย์ นักบวชนอกพระพุทธศาสนา มีความปรารถนาจะให้ผู้อื่นมาเคารพเลื่อมใสในวัตรปฏิบัติของตน แม้จะมีคนเอาผ้าดีราคาแพง ๆ มาให้ก็ไม่สนใจ กลับนุ่งห่มแต่ผ้าที่ทอด้วยเส้นผมของมนุษย์ นี่ก็แปลกอีกแบบหนึ่งไม่มีใครเขาทำกัน ผู้คนจึงเข้าใจผิดคิดว่านายอชิตผู้นี้เป็นพระอรหันต์ จึงตั้งชื่อว่า อชิตเกสกัมพล ศาสดาจารย์ผู้นุ่งห่มผ้าที่ทอด้วยเส้นผมมนุษย์

      แนวคำสอนของอชิตเกสกัมพลมีว่า ทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ผลแห่งการทำชั่วการทำดีไม่มี โลกนี้โลกหน้าไม่มี บิดามารดาไม่มีคุณสัตว์ผู้ผุดเกิดไม่มีสัตว์ทั้งหลายตายแล้วย่อมขาดสูญ เขาสั่งสอนลูกศิษย์ผิด ๆ เช่นนี้ เป็นความเห็นผิดที่อันตรายมาก มิจฉาทิฏฐิเช่นนี้เรียกว่า นิยตมิจฉาทิฏฐิ

      อกิริยทิฏฐิ อเหตุกทิฏฐิ และนิยตมิจฉาทิฏฐินี้ เป็นมิจฉาทิฏฐิดิ่ง ใครมีความเชื่อเช่นนี้ ถือว่าเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิบุคคล จะมีโลกันตนรกเป็นที่ไปสถานเดียวเท่านั้น

      ดังนั้น ผู้ไม่รู้ที่ไปหลงเชื่อผู้ไม่รู้ จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง มีโอกาสผิดพลาดไปทั้งชีวิตเพราะความเห็นผิดนี้เป็นตอขวางทางสวรรค์ และมรรคผลนิพพาน จึงต้องไม่ประมาทในชีวิตการที่มีความเห็นถูกว่า เกิดมาเพื่อสร้างบารมีเช่นนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่สุดแล้ว ขอให้รักษาไว้ให้ดี ด้วยการทำใจให้บริสุทธิ์หยุดนิ่ง เมื่อนั้นสัมมาทิฏฐิก็จะบังเกิดขึ้นในใจของเราตลอดเวลาจะได้ไปสู่จุดหมายปลายทางของชีวิตอย่างถูกต้อง และปลอดภัยในที่สุด


วิบากกรรมของผู้ทำปิตุฆาต
       มีธรรมภาษิตที่ปรากฏในสังกิจจชาดก ว่า

     "ผู้ใดเป็นคนต่ำช้า ฆ่าบิดาเพราะความโลภหรือเพราะความโกรธ ผู้นั้นต้องหมกไหม้อยู่ในกาฬสุตตนรกสิ้นกาลนาน บุคคลผู้ฆ่าบิดาต้องหมกไหม้อยู่ในโลหกุมภีนรก นายนิรยบาลจะเอาหอกแทงสัตว์นรกนั้น ผู้ถูกไฟไหม้อยู่จนไม่มีหนัง ทำให้ตาบอด ให้กินมูตรกินคูถ กดสัตว์นรกให้จมลงในน้ำกรด นายนิรยบาลจะให้สัตว์นรกกินก้อนคูถร้อน และก้อนเหล็กแดงอันลุกโพลง ให้ถือผาลทั้งยาวทั้งร้อนสิ้นกาลนาน แล้วงัดปากให้อ้าเอาเชือกผูกไว้ ยัดก้อนเหล็กแดงเข้าไปในปาก

     ฝูงสุนัขแดง ฝูงสุนัขด่าง ฝูงแร้ง ฝูงกา และฝูงนกตะกรุม ล้วนมีปากเป็นเหล็ก ต่างมารุมจิกกัดลิ้นให้ขาด แล้วกินลิ้นที่มีเลือดไหล เหมือนกินของอันเป็นเดน เต็มไปด้วยเลือดนายนิรยบาลจะเที่ยวเดินทุบตีสัตว์นรกผู้ฆ่าบิดานั้น ซึ่งมีร่างกายแตก ลายไปทั่ว เหมือนผลตาลที่ถูกไฟไหม้ แม้ความยินดีของนายนิรยบาลเหล่านั้นไม่มี แต่สัตว์นรกต้องได้รับทุกข์ทรมานอันยาวนาน"

     นี้เป็นผลกรรมของผู้ทำกรรมหนักที่ได้ทำร้ายบิดาผู้บังเกิดเกล้า ซึ่งพระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ในชีวกัมพวนาราม อารามของหมอชีวก ทรงปรารภการทำปิตุฆาตของพระเจ้าอชาตศัตรู จึงตรัสเรื่องวิบากกรรมของผู้ที่ทำร้ายบิดาให้ภิกษุสงฆ์ได้สดับฟัง เนื่องจากภิกษุสงฆ์สาวกได้สนทนายกย่องพระพุทธองค์ว่า เป็นที่พึ่ง เป็นที่ต้านทาน เป็นประดุจเกาะให้กับพระเจ้าอชาตศัตรู เพราะหลังจากพระเจ้าอชาตศัตรูได้สดับสามัญญผลสูตรแล้ว ก็หายสะดุ้งจากทุกข์ในมหานรก ทรงกลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่ ตั้งหน้าตั้งตาทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา

     ฟังธรรมจนจิตผ่องใสขึ้น ทำให้วิบากกรรมที่ทรงทำปิตุฆาตเบาบางลง แทนที่จะไปเสวยทุกข์ทรมานในอเวจีมหานรก กรรมก็ลดหย่อนลงไป ทำให้ไปบังเกิดในโลหกุมภีมหานรก

      เรื่องมีอยู่ว่า พระเจ้าอชาตศัตรูซึ่งเป็นโอร ของพระเจ้าพิมพิสาร ผู้ครองเมืองราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ ได้คบกับพระเทวทัตที่ถูกอกุศลเข้าสิงจิต มีความอิจฉาริษยาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงหาทางจะเป็นใหญ่ในพุทธจักร แล้วมีอุบายให้พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นใหญ่ในราชอาณาจักร พระเทวทัตจึงได้แสดงฤทธิ์ที่อาศัยโลกียฌานให้พระเจ้าอชาตศัตรูเห็น เช่น เนรมิตตนเป็นกุมารน้อย มีอสรพิษ 4 ตัวพันที่มือและข้อเท้าทั้งสี่ ตัวหนึ่งพันคอ ตัวหนึ่งทำเป็นเทริดบนศีรษะ ตัวหนึ่งทำเฉวียงบ่า แล้วลอยลงมาจากอากาศ นั่งบนพระเพลาของพระเจ้าอชาตศัตรูกุมาร ทำให้พระกุมารเกิดความเลื่อมใสจากนั้นพระเทวทัตก็ได้ยุยงให้พระราชกุมารปลงพระชนม์พระราชบิดาเพื่อจะได้ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ยังหนุ่มส่วนพระเทวทัตจะปลงพระชนม์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วตั้งตัวเป็นศาสดาแทนพระเจ้าอชาตศัตรูครั้นถูกยุยงหนักเข้า ก็หลงเชื่อ และได้ทำปิตุฆาตจนสำเร็จ แต่

     พระเทวทัตลอบปลงพระชนม์พระพุทธองค์ไม่สำเร็จ ทำได้เพียงแค่ทำให้ห้อพระโลหิต เพราะไม่ใช่ฐานะ และไม่ใช่วิสัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะดับขันธ์เพราะการทำร้ายของใคร ต่อมาพระเทวทัตจึงทำสังฆเภท ทำความแตกร้าวให้เกิดขึ้นในหมู่สงฆ์ โดยได้มาทูลขอวัตถุ 5 ประการจนเป็นเหตุให้เกิดสังฆเภท วัตถุ 5 ประการ คือ

       ข้อ 1. ภิกษุทั้งหลายพึงถือการอยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดอาศัยบ้านอยู่ รูปนั้นพึงต้องโทษ

       ข้อ 2. ภิกษุทั้งหลายพึงถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดยินดีกิจนิมนต์รูปนั้นพึงต้องโทษ

        ข้อ 3. ภิกษุทั้งหลายพึงถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดยินดีคหบดีจีวร รูปนั้นพึงต้องโทษ

       ข้อ 4. ภิกษุทั้งหลายพึงถืออยู่โคนไม้เป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดเข้าอาศัยที่มุงที่บังรูปนั้นพึงต้องโทษ และข้อ

       5. ภิกษุทั้งหลายไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต รูปใดฉันปลาและเนื้อ รูปนั้นพึงต้องโทษ

      พระบรมศาสดาทรงปฏิเสธข้อเสนอทั้ง 5 ประการนั้น เพราะเป็นข้อวัตรปฏิบัติที่เคร่งเครียดจนเกินไป และไม่นำมาซึ่งความเลื่อมใสแต่อาจนำไปสู่ความเห็นที่แตกแยกหากใครต้องการปฏิบัติก็ไม่ทรงขัด แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละบุคคล แต่ให้ภิกษุสงฆ์ยึดพระธรรมวินัยเป็นหลัก

     สุดท้าย เมื่อพระเทวทัตทำการไม่สำเร็จ ก็ถูกพระโกกาลิกะผู้ร่วมอุดมการณ์ทำร้ายร่างกายจนล้มป่วย ต้องนอนซมนานถึง 9 เดือน เมื่อป่วยใกล้ตายจึงเริ่มสำนึกผิด คิดได้ว่า เพราะความมักใหญ่ความอยากเด่นอยากดัง ทำให้ตัวต้องตกต่ำแทบเอาชีวิตไม่รอด จึงคิดจะมากราบขออภัยพระบรมศาสดาส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีมหากรุณา ไม่มีความพยาบาท และพร้อมจะให้อภัยผู้คิดจะกลับตัวกลับใจเสมอ แต่ก็ทรงรู้ล่วงหน้าว่า พระเทวทัตจะมาไม่ถึงพระองค์

      พระเทวทัตได้ขอร้องให้บริวารช่วยพาไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา บริวารจึงได้จัดแจงให้พระเทวทัตนอนบนแคร่ แล้วช่วยกันหามไปกรุงสาวัตถี ภิกษุสงฆ์ได้ข่าวการมาของพระเทวทัตจึงกราบทูลพระบรมศาสดาว่า พระเทวทัตกำลังจะมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ พระบรมศาสดาตรัสว่า  "ภิกษุทั้งหลาย เทวทัตหมดโอกาสที่จะได้พบเห็นตถาคตแล้ว"

   ฝ่ายภิกษุสาวกก็คอยมากราบรายงานเป็นระยะ ๆ ว่า "ขณะนี้พระเทวทัตมาถึงตรงโน้นแล้ว พระเจ้าข้า" พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า "เทวทัตแม้ทำสิ่งที่ตนปรารถนา แต่อย่างไรเสียเธอก็จักไม่ได้เห็นเรา" พอเวลาผ่านไปไม่กี่วัน ภิกษุก็มากราบทูลอีกว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญพระเทวทัตอยู่ห่างจากเชตวันมหาวิหารเพียง 1 โยชน์ พระเจ้าข้า" แล้วทูลต่อ ๆ ไปอีกว่า "มาถึงกึ่งโยชน์แล้ว มาถึง ระโบกขรณีแล้ว พระเจ้าข้า" ถึงกระนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงยืนยันเหมือนเดิมว่า "เทวทัตจักไม่ได้เห็นเรา"

     ภิกษุสาวกก็สงสัยว่า พระเทวทัตเดินทางใกล้ถึงวัดพระเชตวันแล้ว ทำไมจะไม่ได้พบเห็นพระองค์ แม้จะเชื่อในพุทธดำรัสว่า เป็นยถาวาทีสตถาการี คือ ตรัสอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นเสมอ ทรงมีพระวาจาไม่เป็นสอง แต่ก็ยังกังวลอยู่ว่า พระเทวทัตจะมาถึงพระองค์

     พวกบริวารได้หามพระเทวทัตมาวางตรงริมฝังสระโบกขรณี ใกล้วัดพระเชตวัน แล้วต่างก็ลงไปอาบน้ำในสระโบกขรณี ชำระล้างร่างกายให้สะอาด เพื่อจะได้เตรียมตัวเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา จึงทิ้งพระเทวทัตให้อยู่เพียงลำพัง

      ฝ่ายภิกษุสงฆ์ก็คอยรายงานความเคลื่อนไหวของพระเทวทัตให้ทรงทราบว่า มาถึงไหนแล้ว พระพุทธองค์มีพุทธดำรัสว่า "ให้พระเทวทัตทำตามที่ปรารถนาเถอะ อย่าได้ไปห้ามเขาเลย ถึงอย่างไรก็มาไม่ถึงพระองค์ เพราะครุกรรมที่พระเทวทัตทำไปนั้น หนักหนาสาหัสเกินกว่าจะได้โอกาสมาขอขมาพระพุทธองค์ผู้เป็นที่พึ่งของโลก" ฝ่ายภิกษุสาวกแม้จะเชื่อมั่นในพุทธพยากรณ์ แต่ก็คอยติดตามว่า อะไรคืออุปสรรคที่จะทำให้พระเทวทัตไม่ได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ในครั้งนี้

     เมื่อบริวารหามพระเทวทัตมาวางลงที่ริมฝังสระโบกขรณีใกล้วัดพระเชตวัน ต่างก็ลงไปเพื่อจะอาบน้ำในสระโบกขรณี แม้พระเทวทัตก็ดีใจว่าจะได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์แล้ว ได้ลุกจากแคร่นั่งวางเท้าทั้ง องลงบนพื้น ทันใดนั้นเอง เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงก็บังเกิดขึ้น เพราะเท้าทั้งสองของพระเทวทัตได้จมลงไปในแผ่นดิน แผ่นดินค่อย ๆ ดูดลงไปเรื่อย ๆ พระเทวทัตตกใจมากตะโกนขอความช่วยเหลือจากบริวาร ขณะเดียวกันก็จมลงถึงข้อเท้า หัวเข่าสะเอว จมลงไปจนถึงคอในเวลาที่กระดูกคางเสมอกับพื้นดิน พระเทวทัตรู้ว่ามัจจุราชที่กำลังจะคร่าชีวิตในครั้งนี้ คงฉุดพาตนไปสู่มหานรกอย่างแน่นอน เพราะตนเองได้ทำความผิดใหญ่หลวงต่อพระพุทธองค์ และสร้างความมัวหมองต่อพระศาสนาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้หมดโอกาสที่จะได้ขอขมาโทษก่อนตายจึงตั้งสติมั่นกล่าวคาถานี้ว่า

     "ข้าพระองค์ขอถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นบุคคลผู้เลิศ เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เป็นสารถี ฝึกนรชน มีพระจักษุรอบคอบ มีพระลักษณะแต่ละอย่างเกิดด้วยบุญตั้งร้อย ว่าเป็นที่พึ่งด้วยกระดูกคางพร้อมด้วยลมหายใจ"

     พอสิ้นคำอธิษฐาน แรงบาปก็ฉุดรั้งท่านให้ไปบังเกิดในอเวจีมหานรกทันที เสวยทุกข์ทรมานแสนสาหัสไม่มีเวลาพักเลย อย่างไรก็ตาม เพราะอานิสงส์การบูชาพระพุทธองค์ก่อนสิ้นใจนี่เอง พระบรมศาสดาจึงทรงอนุญาตให้พระเทวทัตบวชตั้งแต่แรก เพราะหากไม่ได้บวช ท่านอาจจะทำกรรมหนักยิ่งกว่านี้ ครั้นได้พลั้งพลาดทำกรรมหนัก แต่วาระสุดท้ายก็สำนึกได้ จึงได้รับพุทธพยากรณ์ว่า ต่อไปในภายภาคหน้าอีก 1 แสนกัป พระเทวทัตจะได้บรรลุธรรมเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า อัฏฐิสระ เพราะบุญที่ได้ถวายคางและลมหายใจสุดท้ายเป็นพุทธบูชา

     ย้อนกลับมาถึงเรื่องของพระเจ้าอชาตศัตรูว่า ทรงได้รับความเดือดร้อนพระทัยจากการทำปิตุฆาตมากเพียงใด เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูทราบข่าวว่า บัดนี้พระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบที่ใกล้ประตูพระเชตวันมหาวิหาร และไปเสวยทุกข์ทรมานในอเวจีมหานรก จึงทรงรำพึงว่า แม้ตัวเราได้ปลงพระชนม์ชีพพระบิดา ผู้เป็นธรรมราชา ก็เพราะอาศัยพระเทวทัต ตัวเราจักต้องถูกแผ่นดินสูบหรือไม่หนอ ดำริดังนี้แล้วจึงทรงหวาดกลัว ไม่ได้เป็นสุขในสิริราชสมบัติแม้แต่น้อยนิด เพราะขนาดจะทรงงีบหลับ แต่พอเคลิ้มจะหลับเท่านั้น ก็ปรากฏคล้ายกับว่า ถูกนาย
นิรยบาลผลักให้ตกไปในแผ่นดินเหล็กหนา 9 โยชน์ แล้วทิ่มแทงด้วยหลาวเหล็ก หรือมีอาการคล้ายกับว่าถูกสุนัขปากเหล็กแทะกินเนื้อ จึงทรงเปล่งพระสุรเสียงด้วยสำเนียงอันน่ากลัว แล้วเสด็จลุกขึ้นทันที

    เมื่อวันเพ็ญเดือน 4 ซึ่งเป็นฤดูที่ดอกโกมุทเบ่งบานมาถึง พระเจ้าอชาตศัตรูมีหมู่อำมาตย์แวดล้อม ทอดพระเนตรเห็นอิสริยยศของพระองค์ จึงทรงดำริว่า อิสริยยศแห่งพระบิดาของเรายิ่งใหญ่กว่านี้ เราสั่งให้ปลงพระชนม์พระองค์ผู้เป็นธรรมราชาเพราะอาศัยพระเทวทัต เมื่อทรงดำริวกไปวนมา ความเร่าร้อนก็บังเกิดขึ้นในพระทัย พระ รีระทุกส่วนก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

      ท้าวเธอจึงทรงดำริว่า ใครหนอจักสามารถบรรเทาทุกข์นี้ของเราได้ บุคคลอื่นเว้นพระทศพลเสียแล้ว ย่อมไม่มี แต่เราก็เป็นผู้มีความผิดอย่างใหญ่หลวงต่อพระตถาคตเจ้า ครั้นทอดพระเนตรหาที่พึ่งยิ่งกว่าพระพุทธองค์ไม่ได้แล้ว จึงทรงทำอุบายที่จะเสด็จไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ด้วยการเปล่งอุทานว่า "ท่านผู้เจริญ ราตรีค่าคืนนี้มีดวงจันทร์แจ่มกระจ่างน่ารื่นรมย์เสียจริงหนอ วันนี้เราควรไปหาสมณะหรือพราหมณ์ที่ไหนดี"

      เมื่อเสวกามาตย์ผู้เป็นสาวกของศาสดาจารย์ทั้ง 6 มีปสรณกัสสปะ เป็นต้น พรรณนาถึงคุณของครูตนให้ ดับ ก็ไม่ทรงเชื่อถ้อยคำของอำมาตย์เหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้ตรัสแย้งประการใดทรงเห็นหมอชีวกซึ่งเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ได้แสดงอาการกระตือรือร้นว่าจะแสดงคุณวิเศษของพระบรมศาสดา จึงตรัสถามหมอชีวก หมอชีวกเห็นเป็นโอกาสดี จึงกล่าวสรรเสริญพุทธคุณจนพระเจ้าอชาตศัตรูทรงเกิดความปลื้มปีติ ขนลุกชูชัน เกิดความอัศจรรย์ใจเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่า จะมีศาสดาองค์ใดที่ถึงพร้อมด้วยคุณอันยิ่งใหญ่ถึงปานนี้ จนมีพระประสงค์อยากจะเสด็จไปในขณะนั้นทันที จึงมีรับสั่งให้ตระเตรียมยานพาหนะ แล้วเสด็จไปยังสวนมะม่วงอันเป็นที่ประทับของพระพุทธองค์ ที่หมอชีวกได้จัดถวาย เมื่อเสด็จไปถึงก็ได้รับการปฏิสันถารจากพระตถาคตเจ้าเป็นอย่างดี

      ครั้นพระเจ้าอชาตศัตรูได้ฟังพระดำรัสแล้ว ก็เกิดความเบาพระทัย เพราะผู้ที่เคยทำความผิดไว้ ย่อมมีความหวาดสะดุ้งกลัวเหมือนวัวสันหลังหวะเป็นธรรมดา ทรงชำเลืองเห็นภิกษุสงฆ์นั่งนิ่งสงบเงียบ เหมือนห้วงน้ำใสที่นิ่งสงบ ถึงกับเปล่งอุทานขึ้นว่า "ขอให้อุทัยภัททกุมารของเรา จงมีความสงบเรียบร้อยเหมือนภิกษุสงฆ์เหล่านี้ด้วยเถิด"

   ที่พระองค์ทรงรำพึงเช่นนี้ เพราะทรงสังหรณ์ใจว่า เมื่อพระโอรสเติบโตขึ้น อาจจะทำปิตุฆาตเหมือนที่พระองค์ทรงทำไว้ก็ได้ ซึ่งความจริงก็เป็นไปตามลางสังหรณ์ของพระองค์ เพราะในราชวงศ์นี้มีการทำปิตุฆาตติดต่อกันถึง 5 ชั่วรัชกาล จนสุดท้ายชาวเมืองจึงลงมติว่าราชตระกูลนี้มีการทำปิตุฆาตกันมาตลอด นับเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดี จึงพร้อมใจกันล้มล้างราชบัลลังก์ จากนั้นจึง ถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้นมาแทน

     พระเจ้าอชาตศัตรูทรง ดับพระธรรมเทศนา ว่าด้วยสามัญญผลอันไพเราะจากพระตถาคตเจ้า ทำให้เข้าใจวิถีชีวิตสมณะมากขึ้น ทรงได้รู้จักเป้าหมายของการบวชอย่างแท้จริงซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่แตกต่างจากคำ อนที่ได้มาจากพระเทวทัตอย่างสิ้นเชิง เพราะพระเทวทัตเป็นผู้มากไปด้วยความโลภ อิจฉาริษยา และอยากเด่นอยากดัง แต่ชีวิตสมณะหรือพระแท้นั้น มีแต่มุ่งทำพระนิพพานให้แจ้ง ไม่อยากเด่นอยากดัง แต่อยากหมดกิเล อย่างเดียว ในเวลาจบการแสดงสามัญญผลสูตร ได้ทรงประกาศพระองค์เป็นอุบาสก และขอให้พระพุทธองค์ทรงอดโทษแล้วจึงเสด็จกลับไปด้วยพระทัยที่อิ่มเอิบเบิกบาน

     ตั้งแต่นั้นมา ท้าวเธอก็ทรงถวายทาน รักษาศีล ทรงหมั่นฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงละความหวาดกลัวได้ โลมชาติชูชันหวั่นไหวก็หายไป กลับได้แต่ความสบายพระทัยสำเร็จพระอิริยาบถทั้ง 4 ด้วยความสุขสำราญ ถึงกระนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงมีพุทธพยากรณ์กับภิกษุสงฆ์เอาไว้ว่า "หากพระเจ้าอชาตศัตรูมิได้ปลงพระชนม์พระบิดา พระองค์ประทับนั่งบนอาสนะเดียว จะได้ทรงบรรลุโสดาปัตติผลในบัดนี้ แต่เพราะทรงคบมิตรชั่ว อนันตริยกรรมจึงขัดขวางการบรรลุมรรคผลนิพพาน แม้จะเป็นเช่นนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูได้ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง กรรมหนักก็จะเป็นเบา พระองค์จะบังเกิดในโลหกุมภีนรก ตกอยู่ในเบื้องต่ำ 3 หมื่นปี ถึงพื้นเบื้องล่างแล้วผุดขึ้นเบื้องบน 3 หมื่นปี ถึงพื้นเบื้องบนแล้วจึงจักพ้นได้ การได้รับลดหย่อนผ่อนโทษจากอเวจีมหานรกมาที่โลหกุมภีนรก ถือว่าเป็นโชคของพระองค์แล้ว"

     ครั้นต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายพากันสนทนาในโรงธรรมสภาว่า "อาวุโสทั้งหลายพระเจ้าอชาตศัตรูทรงทำปิตุฆาตกรรมแล้ว ทรงสะดุ้งหวาดกลัวต่อภัย ไม่ได้ความสบายพระทัยเพราะอาศัยสิริราชสมบัติ ทรงเสวยแต่ความทุกข์ในทุกอิริยาบถ บัดนี้ ท้าวเธอได้อาศัยพระตถาคตเจ้า จึงหายสะดุ้งหวาดกลัวได้ เพราะการสมาคมกับกัลยาณมิตร จึงได้เสวยความสุขในอิสริยสมบัติ"

     พระบรมศาสดาเสด็จมาตรัสถามเรื่องที่สนทนากัน ครั้นสดับแล้ว จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าอชาตศัตรูกระทำปิตุฆาตกรรมแล้ว อยู่เป็นสุขสบาย เพราะอาศัยเราตถาคตแต่เฉพาะในบัดนี้เท่านั้นก็หาไม่ ในกาลก่อน เธอก็ทำปิตุฆาตกรรมแล้ว อยู่อย่างเป็นสุขสบาย เพราะอาศัยเราเหมือนกัน" จากนั้นทรงนำเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตมาตรัสเล่าให้ฟังว่า

     ในอดีตกาล พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในเมืองพาราณสี มีพระโอรสทรงพระนามว่า พรหมทัตกุมาร พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดเป็นบุตรของปุโรหิต มารดาบิดาได้ตั้งชื่อว่าสังกิจจกุมาร พรหมทัตกุมารและสังกิจจกุมารเจริญเติบโตมาด้วยกันในราชนิเวศน์ จึงได้เป็นหายรัก ครั้นอยู่ในวัยเรียนก็ได้พากันไปเรียนศิลปะที่กรุงตักกศิลา เมื่อเรียนจบจึงพากันกลับเมืองพาราณสี

     ต่อมา พระราชาทรงพระราชทานตำแหน่งอุปราชให้พระโอร ฝ่ายสังกิจจกุมารก็ช่วยอุปราชบริหารราชกิจ ภายหลังต่อมา ท่านอุปราชได้ทอดพระเนตรเห็นอิ ริยยศอันยิ่งใหญ่ของพระบิดา ผู้เสด็จประพา ในอุทยาน ก็บังเกิดความโลภในราชสมบัติขึ้นมา จึงดำริวางแผนว่าพระบิดาของเรามีพระชนมายุเยาว์ ยังไม่มีริ้วรอยของความแก่ชราเลย ถ้าเราจะรออยู่จนพระบิดาสวรรคต ถึงตอนนั้นแม้ตัวเราก็คงจะชราภาพลงมากแล้ว ราชสมบัติที่ได้ในเวลาแก่จะมีประโยชน์อะไร เราจักปลงพระชนม์พระบิดาเสีย แล้วยึดเอาราชสมบัติ ว่าแล้วก็บอก
เนื้อความนั้นให้พระโพธิสัตว์ทราบ

    พระโพธิสัตว์ทูลห้ามว่า "สหายเอ๋ย ธรรมดาว่าปิตุฆาตกรรมเป็นกรรมหนัก เป็นทางลงสู่มหานรก ขอพระองค์อย่าได้ทรงทำอนันตริยกรรมเลย" ท่านอุปราชรับฟังแล้ว ก็ยังไม่ละความพยายาม แต่ถูกพระโพธิสัตว์ทูลทัดทานไว้ถึง 3 ครั้ง ก็รู้ว่าคงไม่ได้รับความร่วมมือเป็นแน่จึงเปลี่ยนไปปรึกษากับพวกคนรับใช้ใกล้ชิด พวกคนรับใช้แทนที่จะทูลคัดค้าน กลับสนับสนุนความคิดไม่ดีของอุปราช อุปราชจึงคอยมองหาอุบายที่จะลอบปลงพระชนม์พระราชา

     ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทราบถึงพฤติการณ์นั้น รู้ว่าท่านอุปราชเป็นคนพาล จึงไม่อยากคบหาสมาคมกับพระอุปราชอีกต่อไป คืนวันหนึ่ง ท่านได้แอบหนีออกจากพระนคร โดยไม่ได้อำลาบิดามารดา และไม่ได้บอกให้ใครรู้ถึงการไปของท่านเลย มุ่งหน้าเข้าป่าหิมพานต์ บวชเป็นฤๅษี ตั้งใจบำเพ็ญเพียรอยู่ไม่นาน ก็สามารถทำฌานอภิญญาให้บังเกิดขึ้น ท่านมีชีวิตอยู่อย่างผาสุกด้วยการเจริญเมตตาพรหมวิหาร

       ต่อมาพวกกุลบุตรจำนวนมาก พอทราบข่าวว่าสังกิจจกุมารบวชเป็นฤษีแล้ว จึงพากันออกบวชในสำนักของท่าน ต่างก็ตั้งใจบำเพ็ญตบะจนได้ฌานสมาบัติสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ได้รับความสุขที่เกิดจากการเจริญเมตตาภาวนาส่วนท่านอุปราชครั้นให้คนลอบปลงพระชนม์พระบิดาแล้ว ก็ขึ้นครองราชย์แทน แต่ก็ทรงสะดุ้งหวาดกลัว ไม่ได้มีความสบายพระทัยเลย ทรงเป็นเหมือนตกนรกทั้งเป็น เพราะทรงรุ่มร้อนพระทัยอยู่ตลอดเวลา

      ท้าวเธอทรงระลึกถึงพระโพธิสัตว์ว่า "สหายของเราได้ห้ามปรามแล้วว่า การทำปิตุฆาตเป็นกรรมหนักมาก เมื่อห้ามเราไม่ได้ จึงหลบหนีจากเราไป เพราะไม่อยากมีส่วนในบาปที่เราก่อขึ้น ถ้าหากสหายของเราอยู่ที่นี่ คงหาทางห้ามเราไม่ให้ทำปิตุฆาตเป็นแน่ และถึงแม้ห้ามไม่อยู่ ก็พึงนำภัยอันใหญ่หลวงนี้ออกไปได้ เดี๋ยวนี้สหายของเราอยู่ที่ไหนหนอ ถ้าเรารู้ที่อยู่ของเขาก็จะได้ให้คนไปเรียกมา ใครกันหนอจะสามารถบอกที่อยู่ของสหายให้แก่เราได้"

      ตั้งแต่บัดนั้นมา ท้าวเธอก็รำพึงรำพันถึงพระโพธิสัตว์อยู่เสมอ ทั้งภายในพระราชวังและในราชสภา ครั้นกาลล่วงไป 50 ปี พระโพธิสัตว์จึงคิดว่า พระราชาทรงระลึกถึงเราอยู่เป็นประจำ เราควรไปในราชสำนักเพื่อแสดงธรรมให้ท้าวเธอหายหวาดกลัวภัยในมหานรก ด้วยมหากรุณาจึงได้พาพระดาบส 500 ตน เหาะไปสู่อุทยานทายปัสสะ นั่งพักบนแผ่นมงคลศิลา เพื่อรอคอยเวลาที่จะโปรดพระเจ้าพรหมทัต

       คนเฝ้าสวนเห็นหมู่ฤๅษีนั่งสงบนิ่งราวกับผู้นิรทุกข์จึงถามว่า "ท่านผู้เจริญ ท่านผู้เป็นศาสดาของคณะมีนามว่ากระไร" พอได้ฟังว่าชื่อสังกิจจบัณฑิต ก็ระลึกถึงท่านได้ จึงเรียนว่า "ท่านผู้เจริญ เจ้าเหนือหัวเฝ้าคิดถึงแต่ท่านทุกวัน ขอท่านจงรออยู่ที่นี่จนกว่าพระราชาจะเสด็จมาพระราชาของพวกข้าพเจ้า ทรงมีพระประสงค์จะพบพระคุณเจ้า" เมื่อก้มลงกราบเรียบร้อยแล้วก็กระวีกระวาดรีบเข้าไปกราบทูลข่าวดีให้พระราชาทรงทราบ

     พระราชาครั้นสดับข่าวมงคลเช่นนั้น ก็ทรงปลื้มปีติมาก รีบเสด็จขึ้นรถเทียมม้าอาชาไนยมีหมู่อำมาตย์ข้าราชบริพารแวดล้อมตามเสด็จไปด้วย ก่อนเสด็จถึงทางเข้าพระราชอุทยาน ทรงดำริว่า การเข้าหาบรรพชิตด้วยเครื่องทรงของพระราชา ถือเป็นการไม่ควร จึงทรงเปลื้องเครื่องราชกกุธภัณฑ์ 5 อย่าง คือ พัดวาลวีชนี อุณหิ พระขรรค์ เศวตฉัตร และฉลองพระบาททรงให้มหาดเล็กเก็บไว้ แล้วเสด็จลงจากรถ ทรงดำเนินเข้าไปหาท่านสังกิจจฤๅษี ผู้นั่งอยู่ในพระราชอุทยานด้วยอาการ งบนิ่ง ครั้นเสด็จเข้าไปหาแล้ว ก็ทรงสนทนาปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันได้ประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง จากนั้นได้เริ่มตรัสถามปัญหาที่ค้างคาพระทัยมานานถึง
50 ปีว่า "ข้าพเจ้าขอถามท่านสังกิจจฤๅษี ผู้ได้รับยกย่องว่า เป็นศาสดาจารย์ผู้เปี่ยมล้นด้วยคุณวิเศษในหมู่ฤษีทั้งหลาย นรชนผู้ประพฤติล่วงธรรม เหมือนข้าพเจ้าประพฤติล่วงธรรมแล้วจะไปสู่คติอะไรในปรโลก ข้าพเจ้าถามแล้ว ขอได้โปรดบอกเนื้อความนั้นแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ประพฤติล่วงสุจริตธรรมแล้ว คือได้กระทำปิตุฆาต ขอท่านจงบอกเนื้อความนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิดว่า บุคคลผู้ฆ่าบิดาย่อมไปสู่คติไหน ย่อมหมกไหม้ในนรกขุมไหน"

      พระโพธิสัตว์ได้ทูลปลอบพระทัยว่า "ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์จงตั้งพระทัยสดับเถิด ถ้าเมื่อบุคคลเว้นทางผิด ทำตามคำของบุคคลผู้บอกทางถูกให้ โจรผู้เป็นดุจเสี้ยนหนาม ก็ไม่พึงพบหน้าของบุคคลนั้น เมื่อบุคคลปฏิบัติอธรรม แต่ถ้าทำตามคำของบุคคลผู้พร่ำสอนธรรม บุคคลนั้นไม่พึงไปสู่ทุคติเลย"

      พระโพธิสัตว์ครั้นได้ถวายพระพรให้พระราชาเบาพระทัยแล้ว เมื่อจะแสดงธรรมขั้นสูงขึ้นไป จึงทูลว่า "ขอถวายพระพร ธรรมเป็นทางถูกส่วนอธรรมเป็นทางผิด อธรรมย่อมนำผู้ปฏิบัติไปสู่นรก ธรรมย่อมส่งให้ถึงสุคติ นรชนผู้ประพฤติอธรรม มีความเป็นอยู่ไม่สม่ำเสมอละโลกนี้ไปแล้วย่อมไปสู่คติใด อาตมภาพจะกล่าวคติคือนรกเหล่านั้น ขอพระองค์ทรงสดับคำของอาตมภาพเถิด"

     การที่พระดาบสไม่ได้ทูลตอบ หรือเล่าวิบากกรรมของผู้ทำปิตุฆาตในทันที เพราะเกรงว่าพระเจ้าพรหมทัตจะทรงรุ่มร้อนพระทัย หวั่นเกรงทุกข์ใหญ่ที่ตนเองต้องได้รับ ถึงขนาดสวรรคตในบัดดล จึงแสดงมหานรกขุมต่าง ๆ ให้ฟังก่อน

     สังกิจจดาบสโพธิสัตว์ก็ได้ทูลถวายพระพรเป็นการปลอบพระทัยว่า แม้จะเคยทำผิดพลาดใหญ่หลวง หากหันมาประพฤติธรรม ทำตามถ้อยคำของบัณฑิต ก็มีสิทธิ์ไม่ต้องตกไปในนรกได้เหมือนกัน อีกทั้งด้วยความที่เป็นผู้ฉลาดในการ สอนธรรม แทนที่จะตอบตรง ๆ ถึงโทษของการทำปิตุฆาต ท่านกลับพรรณนาเรื่องมหานรกทั้ง 8 ขุมและวิบากกรรมของผู้ทำบาปอย่างอื่นเสียก่อน โดยได้ถวายพระพรว่า

     มหานรก 8 ขุมเหล่านี้ คือสัญชีวนรก กาฬสุตตนรกสังฆาฏนรก โรรุวนรก มหาโรรุวนรก ตาปนนรก มหาตาปนนรก และอเวจีมหานรก บัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้แล้วว่าก้าวล่วงได้ยาก เกลื่อนกล่นไปด้วยเหล่าสัตว์ผู้มีกรรมหยาบช้า มหานรกขุมหนึ่ง ๆ มีอุสทนรก 16 ขุมเป็นบริวาร เป็นสถานที่ที่ลงโทษผู้ทำกรรมชั่วหยาบ มีเปลวเพลิงรุ่งโรจน์ มีภัยใหญ่ชวนให้ขนลุกขนพอง น่าสะพรึงกลัว มีภัยรอบด้าน เป็นทุกข์ มี 4 มุม 4 ประตู จัดแบ่งไว้เป็นส่วน ๆ มีกำแพงเหล็กกั้นโดยรอบ มีฝาเหล็กครอบ ภาคพื้นของนรกเหล่านั้นล้วนแต่เป็นเหล็กแดงลุกโพลง ประกอบด้วยเปลวไฟ ลุกแผ่ไปตลอด 100 โยชน์โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ

    สัตว์นรกมีเท้าในเบื้องบน มีศีรษะในเบื้องต่ำตกลงไปในนรกนั้นสัตว์เหล่าใดกล่าวล่วงเกินฤๅษีทั้งหลายผู้สำรวม ผู้มีตบะสัตว์เหล่านั้นผู้ถูกตัดขาดจากความเจริญ ย่อมหมกไหม้อยู่ในนรก เหมือนปลาที่ถูกเฉือนให้เป็นส่วน ๆสัตว์ทั้งหลายผู้มีปกติกระทำกรรมหยาบช้ามีตัวถูกไฟไหม้ทั้งข้างในข้างนอกเป็นนิตย์ แสวงหาประตูออกจากนรกก็ไม่พบประตูทางออกตลอดหลายปีจนนับไม่ถ้วนสัตว์เหล่านั้นวิ่งไปทางประตูด้านหน้า จากประตูด้านหน้าวิ่งกลับมาทางประตูหลัง วิ่งไปทางประตูด้านซ้าย จากประตูด้านซ้าย วิ่งกลับมาทางประตูด้านขวา วิ่งไปถึงประตูใด ๆ ประตูนั้นก็ปิดเสีย หมู่สัตว์ผู้ไปสู่นรก ย่อมคร่ำครวญเสวยทุกข์มิใช่น้อยนับเป็นเวลาหลายล้านปี เพราะเหตุนั้น บุคคลไม่ควรรุกรานท่านที่เป็นคนดี ผู้สำรวม มีตบะธรรมซึ่งเป็นดุจอสรพิษมีเดชกำเริบร้าย ล่วงเกินได้โดยยาก

     พระเจ้าอัชชุนะผู้เป็นใหญ่ในแว่นแคว้นเกตกะ มีพระกายกำยำ เป็นนายขมังธนู เหมือนมีพระหัตถ์ตั้งพัน ได้ถึงความพินาศ เพราะประทุษร้ายพระฤๅษีโคตมโคตร ฝ่ายพระเจ้าทัณฑกีได้เอาธุลีโปรยลงบนสรีระกีสวัจฉฤษีผู้หาธุลีมิได้ พระราชาพระองค์นั้นถึงความพินาศย่อยยับดุจต้นตาลขาดแล้วจากราก พระเจ้าเมชฌะประทุษร้ายมาตังคฤษีผู้เรืองยศ ทรงแอบอยู่ในที่ซ่อนเอาพระแสงฟันคอท่านฤๅษี ทำให้รัฐมณฑลของพระเจ้าเมชฌะพร้อมด้วยบริษัทต้องพังพินาศย่อยยับ

      ชาวเมืองอันธกวินทัยประทุษร้ายกัณหทีปายนฤๅษี โดยช่วยกันเอาไม้พลองรุมทุบตีจนตาย ก็ไปเกิดในยมสาธนนรก พระเจ้าเจติยราชได้ประทุษร้ายกปิลดาบส แต่ก่อนเคยเหาะเหินเดินอากาศได้ ภายหลังเสื่อมสิ้นฤทธิ์ ได้ถูกแผ่นดินสูบไปมหานรก เพราะฉะนั้น บัณฑิตทั้งหลายจึงไม่สรรเสริญการลุอำนาจฉันทาคติเป็นต้น บุคคลไม่ควรเป็นผู้มีจิตประทุษร้าย พึงกล่าววาจาประกอบด้วยสัจจะ ถ้าว่า นรชนใดมีใจประทุษร้าย เพ่งเล็งท่านผู้รู้ ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ นรชนนั้นย่อมไปสู่นรกเบื้องต่ำ

    ชนเหล่าใดพยายามกล่าววาจาหยาบคาย บริภาษบุคคลผู้เจริญด้วยวัยวุฒิ และคุณวุฒิชนเหล่านั้นไม่ใช่เหล่ากอ ไม่ใช่ทายาท เป็นเหมือนต้นตาลมีรากขาดแล้ว อนึ่ง ผู้ใดฆ่าบรรพชิตผู้ทำกิจเสร็จแล้ว ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ผู้นั้นจะต้องหมกไหม้อยู่ในกาฬสุตตนรกตลอดกาลนาน

      พระราชาพระองค์ใดตั้งอยู่ในอธรรม กำจัดชาวแว่นแคว้น ทำชาวชนบทให้เดือดร้อน เมื่อสิ้นพระชนม์ไปแล้ว จะต้องหมกไหม้อยู่ในตาปนนรกในโลกหน้า และพระราชาพระองค์นั้น จะต้องหมกไหม้อยู่ตลอดแสนปีนรก มีกองเพลิงห้อมล้อม เสวยทุกขเวทนา เปลวไฟมีรัศมีซ่านออกจากกายของสัตว์นั้นสรรพางค์กายพร้อมทั้งปลายขนและเล็บของสัตว์นรก ผู้มีไฟเป็นภักษามีเปลวไฟเป็นอันเดียวกันสัตว์นรกมีตัวถูกไฟไหม้ ทั้งข้างในและข้างนอกอยู่เป็นนิตย์ เป็นผู้ถูกทุกข์เบียดเบียน ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ เหมือนช้างถูกนายหัตถาจารย์แทงด้วยขอ ฉะนั้น

    พระราชาครั้น ดับกถาว่าด้วยวิบากกรรมของการเสวยทุกข์ในมหานรกแล้ว แม้จะรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงพระหฤทัย แต่ก็รู้สึกปลอดโปร่งพระทัยตรงที่เชื่อมั่นว่าสังกิจจฤๅษีจะเป็นที่พึ่งให้กับพระองค์ได้

     หลังจากท่านสังกิจจดาบส ผู้มีตบะกล้าได้พรรณนามหานรก อุสทนรก และนรกบริวารขุมต่าง ๆ แด่พระราชาแล้ว ท่านได้จำเพาะเจาะจงเฉพาะวิบากของผู้ที่ฆ่าบิดาว่า "ผู้ใดเป็นคนต่ำช้า ฆ่าบิดาเพราะความโลภ หรือเพราะความโกรธ ผู้นั้นต้องหมกไหม้อยู่ในกาฬสุตตนรกสิ้นกาลนาน บุคคลผู้ฆ่าบิดาเช่นนั้น ต้องหมกไหม้อยู่ในโลหกุมภีนรก นายนิรยบาลเอาหอกแทงสัตว์นรกนั้นผู้ถูกไฟไหม้อยู่จนไม่มีหนัง ทำให้ตาบอด ให้กินมูตร กินคูถกดสัตว์นรกให้จมลงในน้ำกรดที่เจ็บแสบ

      นายนิรยบาลจะให้สัตว์นรกกินก้อนคูถที่ร้อนจัดและกินก้อนเหล็กแดงอันลุกโพลง ให้ถือผาลทั้งยาวทั้งร้อนสิ้นกาลนาน งัดปากให้อ้า แล้วเอาเชือกผูกไว้ จากนั้นจะยัดก้อนเหล็กแดงเข้าไปในปาก ฝูงสุนัขแดง ฝูงสุนัขด่าง ฝูงแร้ง ฝูงกา และฝูงนกตะกรุมที่ต่าง ล้วนมีปากเหล็กมารุมทึ้งจิกกัดลิ้นให้ขาด แย่งกันกินลิ้นที่มีเลือดไหลอยู่ตลอดเวลา นายนิรยบาลจะเดินทุบตีสัตว์นรกผู้ฆ่าบิดานั้น ซึ่งมีร่างกายปริแตก เหมือนผลตาลที่ถูกไฟไหม้ ทำให้สัตว์นรกได้รับความทุกข์ทรมานตลอดเวลา ไม่เคยมีความรู้สึกสุขกายสบายใจบังเกิดขึ้นเลย การทรมานสัตว์นรกอย่างไร้ความเมตตาสงสารของพวกนายนิรยบาลนั้น เป็นหน้าที่ที่เขาต้องทำอย่างไม่มี
หยุดหย่อนสัตว์นรกต้องรับทุกข์ทรมานแสนสาหัสในมหานรกขุมนี้เป็นเวลายาวนาน

      สำหรับบุตรฆ่ามารดา เมื่อจากโลกนี้แล้ว ก็ต้องตกไปในมหานรกเหมือนกัน พวกนายนิรยบาลจะทำการบีบคั้นสัตว์ผู้ฆ่ามารดา ด้วยผาลเหล็กแดง ให้สัตว์นรกดื่มกินเลือดที่ไหลออกจากกายของตัวเอง ซึ่งร้อนดุจทองแดงที่ละลายคว้างบนแผ่นดินสัตว์นรกนั้นลงไปสู่ห้วงน้ำที่มีลักษณะเป็นหนองและเลือดที่น่าเกลียดเหมือนซากศพเน่า มีกลิ่นเหม็นประดุจก้อนคูถหมู่หนอนในห้วงน้ำนั้น มีกายใหญ่ มีปากเป็นเหล็กแหลม ทำลายผิวหนัง ชอนไชไปในเนื้อและเลือด กัดกินสัตว์นรกนั้น เมื่อผู้ฆ่ามารดาตกลงไปถึงนรกนั้นแล้ว จมลงไปประมาณชั่วร้อยบุรุษมีกายเน่าเหม็นฟุ้งไปตลอดร้อยโยชน์

     ท่านสังกิจจดาบสได้ทูลสำทับเกี่ยวกับวิบากกรรมของผู้ทำปิตุฆาตให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกว่า "มหาบพิตร นายนิรยบาลทั้งหลาย ทรมานคนผู้ฆ่าบิดามารดา ให้ล้มหงายลงบนแผ่นดินโลหะที่ไฟกำลังลุกโพลง แล้วเอาหลาวเหล็กที่ลุกเป็นไฟ ทิ่มแทงนัยน์ตาทั้ง 2 ข้างให้บอดสนิท แล้วเอามูตรและกรีสร้อนยัดใส่เข้าไปในปาก จากนั้นจึงผลักและกดสัตว์นั้นที่คล้ายตั่งทำด้วยฟาง ให้จมลงในน้ำโลหะอันแสบร้อน ซึ่งตั้งอยู่ตลอดกัป นายนิรยบาลให้สัตว์นรกเคี้ยวกินเปือกตม คือ คูถร้อน และก้อนเหล็กที่ลุกโชนอีกด้วยสัตว์นรกพอเห็นคูถและก้อนเหล็กที่นายนิรยบาลนำมาก็หวาดสะดุ้ง รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงปิดปากเสียสนิท แต่นายนิรยบาลก็ใช้ผาลไถมี
ปลายร้อนลุกเป็นเปลวไฟ งัดปากสัตว์นรกให้อ้าออก แล้วใส่เบ็ดเหล็กที่ผูกสายเชือก เข้าไปเกี่ยวเอาลิ้นออกมา จากนั้นจึงยัดก้อนเหล็กนั้นเข้าไปในปากที่อ้าอยู่อย่างนั้น

      ฝูงสุนัขแดง ฝูงสุนัขด่าง ฝูงแร้ง มีปากเป็นโลหะ ฝูงกาป่า และฝูงนกนานาชนิด ก็พากันมาชุมนุม เพื่อกัดจิกลิ้นที่ดึงออกมานั้น ฝูงสัตว์จะพากันเคี้ยวกินสัตว์นรกเหมือนเป็นอาหารอันโอชะส่วนนายนิรยบาลก็จะทุบตีสัตว์นรก ซึ่งมี รีระกำลังถูกไฟไหม้ลุกโพลงอยู่ ประดุจผลกระเบาที่ถูกไฟไหม้ จนตัวแตกสลาย ต้องเกิดตาย ตายเกิด รับทุกข์อยู่อย่างนี้จนกว่าจะหมดกรรม"

    ด้วยความมีอานุภาพของท่านสังกิจจดาบสนอกจากจะพรรณนาทุกข์ในนรกให้พระราชาได้สดับแล้ว ยังใช้ฤทธิ์แสดงภาพให้พระราชาได้ทอดพระเนตรอีกด้วย ทรงเห็นสัตว์นรกถูกบีบคั้นอยู่ เลือดแดงฉานไหลออกจนเต็มชามกระเบื้องเหล็ก พอพวกนายนิรยบาลนำสัตว์นรกนั้นออกจากเครื่องทัณฑ์ทรมานสรีระของสัตว์นรกก็กลับเป็นปกติตามเดิม จากนั้นพวกนายนิรยบาลจะจับสัตว์นรกนอนหงายบนแผ่นดิน แล้วให้ดื่มโลหิตที่กำลังเดือดพล่าน ดุจทองแดงที่กำลังหลอมละลายทำให้ทรงสะดุ้งกลัว เพราะทรงเข้าพระทัยแล้วว่าชีวิตหลังความตายพระองค์ต้องไปเสวยทุกข์ ณ สถานที่แห่งนี้อย่างไม่ต้อง สงสัย

    ครั้นพระโพธิสัตว์แสดงผลกรรมของผู้ประพฤติผิดต่อบิดามารดาแล้ว จากนั้นได้แสดงนรกซึ่งเป็นที่รองรับหญิงที่ทำแท้งลูกว่า "พวกหญิงผู้รีดลูก จะต้องเดินข้ามลำธารนรก ที่ก้าวข้ามได้แสนยาก ดุจเดินบนคมมีดโกน แล้วตกไปสู่แม่น้ำเวตรณีที่มีต้นงิ้วจำนวนมาก ล้วนแต่เป็นเหล็กและมีหนาม 16 องคุลี มีกิ่งห้อยย้อยปกคลุมแม่น้าเวตรณี ที่ไปได้ยากทั้ง 2 ฟากสัตว์นรกผู้มีใจมืดบอดเหล่านั้น มีตัวสูงโยชน์หนึ่งถูกไฟที่เกิดเองแผดเผา เพราะตอนเป็นมนุษย์ถูกไฟคือราคะกลุ้มรุมจิตใจอยู่ตลอดเวลา

     หญิงผู้ประพฤตินอกใจสามีก็ดี ชายที่คบหาภรรยาผู้อื่นก็ดี ต้องตกอยู่ในนรกอันเร่าร้อนมีหนามแหลมคมสัตว์นรกเหล่านั้น หลังจากถูกนายนิรยบาลทิ่มแทงด้วยอาวุธแล้วจะถูกจับขาชี้ฟ้าเอาศีรษะห้อยลงพื้น แล้วถูกโยนตกลงมานอนอยู่บนแผ่นเหล็กร้อน ถูกทิ่มแทงด้วยหลาวเป็นจำนวนมากสัตว์นรกไม่มีโอกาสได้หยุดพักเลย จากนั้นนายนิรยบาลก็จะให้สัตว์นรกเข้าไปสู่โลหกุมภีขนาดใหญ่ แช่อยู่ในน้ากรดที่แสบร้อนตลอดเวลา ผู้ทุศีล ถูกโมหะครอบงำต้องมาเสวยกรรมของตนที่ตนเองได้ทำไว้ในปางก่อน ตลอดวันตลอดคืน โดยไม่มีใครสามารถจะมาช่วยแก้ไขผ่อนหนักให้เป็นเบาได้เลย

     ครั้นพระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกสะดุ้งกลัวต่อมรณภัยและวิบากกรรมที่จะต้องประสบเพราะปิตุฆาตกรรม แต่สังกิจจดาบสก็ได้ปลอบพระทัย โดยแสดงวิธีที่จะทำให้อนันตริยกรรมที่พระองค์ได้ทำเอาไว้ ให้ผ่อนหนักเป็นเบา ทำให้พระราชาทรงรู้สึกสบายพระทัยมากขึ้น เพราะการหาทางแก้ไขในช่วงที่ยังมีชีวิต แม้จะทำได้ยาก แต่ก็ยังง่ายกว่าตอนที่ละโลกไปแล้ว เนื่องจากถ้าต้องไปเป็นสัตว์นรกแล้ว มีแต่ก้มหน้าก้มตาชดใช้กรรมที่ก่อเอาไว้อย่างเดียว

     ท่านสังกิจจดาบสโพธิสัตว์หลังจากได้พรรณนาทุกข์ในมหานรกทั้ง 8 ขุม อุสทนรก ยมโลกนรก รวมไปถึงวิบากกรรมของผู้ทำปิตุฆาตแล้ว ท่านก็ได้พรรณนาทุกข์ของผู้ประพฤติผิดศีลข้ออื่น ๆ ว่า

     พวกคนฆ่าแกะ ฆ่าสุกร ฆ่าปลา ดักเนื้อ พวกโจร คนฆ่าโค พวกนายพรานชอบล่าเนื้อเป็นอาจิณ จะถูกนายนิรยบาลเบียดเบียนด้วยหอกเหล็ก ค้อนเหล็ก ดาบและลูกศร ถูกจับโยนห้อยหัวให้ตกลงสู่แม่น้ากรดแสบ คนโกงคดี จะถูกนายนิรยบาลทุบตีด้วยค้อนเหล็ก นอกจากนี้วิบากกรรมจะบังคับให้กินอาเจียนของสัตว์นรกตัวอื่น ซึ่งกำลังได้รับทุกข์ทรมานเช่นกันกับตนเองแล้วจะมีฝูงกานรก ฝูงสุนัขนรก ฝูงแร้งนรก ล้วนแต่มีปากเป็นเหล็ก รุมทึ้งจิกกัดสัตว์นรกสัตว์นรกแม้จะพยายามดิ้นหลบหนี ก็ไม่พ้นจากปากเหล็กของฝูงสัตว์เหล่านั้นไปได้ จะถูกทึ้งเนื้อจิกตา จิกกินตับ ไต ไส้ พุง เหลือแต่กระดูก แม้แต่ผู้ที่มีใจคอเหี้ยมโหด ไร้ความปรานี ชอบเสี้ยมสอน
สัตว์ให้ชนให้ทำร้ายกันเองก็ดี ให้ไก่ตีกันจนถึงตายก็ดี พวกเขาย่อมไปสู่อุสทนรกขุมนี้เช่นกัน

    ส่วนภรรยาที่เขาช่วยมาด้วยทรัพย์ แล้วดูหมิ่นเหยียดหยามสามี พ่อแม่ของสามีหรือ พี่น้องของสามี จะถูกนาย นิรยบาลเอาเบ็ดมีสายเกี่ยวปลายลิ้นที่ยาวออกจากปากประมาณ 1 วา เต็มไปด้วยหมู่หนอน ฉุดลากไป ทำให้ได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัสจะอ้อนวอนร้องขอชีวิต ก็ไม่สามารถทำให้นายนิรยบาลใจอ่อนได้

     สำหรับหญิงที่ทำแท้งนั้น ท่านสังกิจจดาบสได้พรรณนาเอาไว้ว่า หญิงคนไหนทำแท้งด้วยเจตนา จะต้องตกไปในนรก จะถูกนายนิรยบาลติดตามโบยตีด้วยอาวุธที่ลุกเป็นไฟ ทำให้ร่างกายพวกนางถูกตัดขาดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ด้วยคมมีดโกนที่คมกริบ เมื่อฟื้นขึ้นใหม่ ก็ยังถูกนายนิรยบาลไล่ติดตามลงทัณฑ์ ต้องล้มลุกคลุกคลานตกลงไปในแม่น้าเวตรณีซึ่งเป็นทะเลน้ำกรด ทั้งแสบทั้งร้อน ได้รับทุกข์ทรมานมาก แม่น้ำเวตรณีนั้นจะมีกิ่งต้นงิ้วห้อยลงหนาแน่นทั้ง 2 ริมฝังสัตว์นรกสูง 3 คาวุต มีไฟลุกท่วมตัว รวมแล้วสูงถึง 1 โยชน์

     สัตว์นรกที่คบชู้สู่ชาย จะถูกนายนิรยบาลทิ่มแทงด้วยอาวุธนานาชนิด ต้องปีนป่ายขึ้นต้นงิ้ว เมื่อหยุดหรือติดอยู่ที่คาคบต้นงิ้ว ก็จะถูกทิ่มแทงด้วยอาวุธ เมื่อตกลงมาก็จะเอาศีรษะลงก่อน แล้วเบื้องล่างหลาวเหล็กลุกเป็นไฟจำนวนมากชำแรกผุดขึ้นจากแผ่นดิน คอยรับศีรษะของสัตว์นรกเหล่านั้นอย่างพอดิบพอดี หลาวจะแทงทะลุถึงเบื้องล่างของสัตว์นรกสัตว์นรกจะถูกเสียบคาดิ้นทุรนทุราย เหมือนเอาหลาวแทงปลาทะลุออกทางหางอย่างนั้น จากนั้นก็ถูกจับโยนเข้าไปยังโลหกุมภีที่มีไฟลุกโพลง มีเนื้อที่ประมาณ 60 โยชน์ เต็มไปด้วยน้ำทองแดง มีไฟลุกโพลงอยู่ตลอดกัป ต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสในโลหกุมภีนั้นเป็นเวลายาวนาน

     ฝ่ายภรรยาที่ไม่บำเพ็ญวัตรต่าง ๆ เช่น ไม่คอยดูแลสามีให้ดี ไม่ให้พ่อแม่สามีได้รับประทานอาหาร ด่าบริภาษสามี พ่อแม่สามี หรือหมู่ญาติสามี ไม่มีหิริโอตตัปปะ ย่อมชื่อว่าดูหมิ่นเทวดาในบ้าน หญิงเหล่านั้นก็ต้องไปบังเกิดในนรก นายนิรยบาลจะจับหญิงนั้น ให้นอนลงบนแผ่นดินโลหะ แล้วเอาขอเหล็กงัดปากให้อ้า เอาเบ็ดเกี่ยวปลายลิ้น ฉุดกระชากลากออกมาผูกไว้สัตว์นรกนั้นถูกกระชากลิ้นออกมา แล้วมองเห็นลิ้นยาวประมาณวาหนึ่ง เต็มไปด้วยหนอนตัวโตประมาณเท่าเรือ ซึ่งเกิดขึ้นตรงบริเวณที่ถูกอาวุธทุบตี แม้ต้องการจะอ้อนวอนนายนิรยบาล ก็ไม่อาจจะกล่าวถ้อยคำอะไร ๆ ได้ นอกจากนี้สัตว์นรกที่ชอบเล่นการพนัน หมกมุ่นในอบายมุข จะต้องหมกไหม้อยู่ในตาปนนรกหลายพันปี จากนั้นต้องไปทนทุกข์รับโทษทัณฑ์ในมหาตาปนนรกอีก

    ครั้นพระโพธิสัตว์แสดงนรกให้พระราชาได้ประจักษ์แล้ว ก็ได้แสดงเทวโลกแด่พระราชาว่า "สัตบุรุษทั้งหลายตายแล้วไปบังเกิดในสวรรค์ เพราะกรรมที่ตนได้ประพฤติดีแล้วในโลกนี้" แล้วบันดาลให้พระราชาได้ทอดพระเนตรหมู่เทวดาชั้นจาตุมหาราช เทวดาชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะพร้อมกับทิพยสมบัติมากมายในสวรรค์ ทำให้พระราชาได้รับความเบาพระทัย จากนั้นได้ถวายโอวาทว่า

      "ถ้าพระองค์ปรารถนาสวรรค์ ตั้งแต่วันนี้ไป ขอพระองค์จงทรงสมาทานศีล 5 บำเพ็ญบุญ มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น ขอพระองค์จงทรงประพฤติธรรม เพราะบุญนั้นที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญเอาไว้อย่างดีแล้วมีทาน เป็นต้น จะตามส่งผลให้พระองค์ไม่เดือดร้อนในภายหลัง"

       ครั้นพระราชาได้ทรงสดับธรรมกถา ทรงเข้าพระทัยว่า บาปกรรมที่ได้ทำไปนั้น ยังพอมีทางแก้ได้ จึงทรงมีความปลอดโปร่งพระหฤทัย ฝ่ายพระโพธิสัตว์เมื่ออาศัยพักพิง ณ พระราชอุทยานถึง 3 เดือนแล้ว ก็ได้พาหมู่คณะเหาะกลับป่าหิมพานต์ตามเดิม

       ครั้นเมื่อจบพระธรรมเทศนา พระบรมศาสดาทรงตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน พระเจ้าอชาตศัตรูพระองค์นี้ ก็ได้เราตถาคตทำให้เบาพระทัยมาแล้วเหมือนกัน" ทรงประชุมชาดกว่า "พระราชาในกาลครั้งนั้นได้เป็นพระเจ้าอชาตศัตรูในครั้งนี้ส่วนสังกิจจดาบสก็คือเราตถาคตเอง"

      ทั้งหมดนี้ คือเรื่องราวของบุคคลผู้ทำปิตุฆาตว่า ตายแล้วต้องไปเสวยทุกข์อันเผ็ดร้อนในมหานรกอย่างไรบ้าง ทั้งทำให้ได้ทราบถึงรายละเอียดของนิรยภูมิ ซึ่งเป็นทัณฑ ถานสำหรับรองรับผู้ทำบาปเอาไว้ เพราะฉะนั้น ให้ทุกคนได้ตระหนักเอาไว้ว่า ตายแล้วไม่สูญ ชีวิตไม่ได้สิ้นสุดลงที่เชิงตะกอนเพียงอย่างเดียว แต่ยังข้องเกี่ยวถึงปรโลกอีกด้วย ดังนั้น จะต้องทุ่มเทสั่งสมบุญบารมีกันให้เต็มที่ เพื่อชีวิตในปรโลกของเรา จะได้มีแต่สุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป และเมื่อถึงเวลา ก็ลงมาเกิดสร้างบารมีในโลกมนุษย์กันต่ออีก จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายอันสูงสุด คือที่สุดแห่งธรรม


ฆ่าพ่อแม่ย่ำแย่ถึงชาติสุดท้าย
     หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ได้ทรงย่ำธรรมเภรีหลั่งธรรมธาราโปรดเวไนยสัตว์ จนพระพุทธศาสนาเป็นปึกแผ่น มีผู้เลื่อมใสศรัทธาปฏิบัติตามเป็นจำนวนมากมายในทางตรงกันข้าม การบังเกิดขึ้นของพระพุทธองค์ ทำให้พวกนักบวชเดียรถีย์กลับเสื่อมลาภสักการะ เหมือนหมู่หิ่งห้อยอับแสงในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น จึงหันมาปรึกษากันว่า "ท่านทั้งหลายรู้หรือไม่ว่า ทำไมลาภสักการะจึงเกิดขึ้นกับพระสมณโคดม แต่พวกเราต้องกลายเป็นคนเสื่อมลาภแทน"

      เดียรถีย์คนหนึ่งบอกว่า "รู้สิ ลาภสักการะเกิดขึ้น เพราะอาศัยพระเถระชื่อมหาโมคคัลลานะ ที่ใช้ฤทธิ์เหาะไปเทวโลก ถามบุพกรรมที่พวกเทวดาเคยทำไว้ แล้วกลับมาบอกชาวเมืองว่า พวกทวยเทพตอนที่ยังเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอย่างนี้ จึงได้สมบัตินี้มา หากพวกท่านปรารถนาความสุขอันเป็นทิพย์ในปรโลก จงหมั่นสั่งสมบุญ ถวายทานแด่พระสงฆ์ ผู้เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศจงหมั่นรักษาศีล บูชาพระรัตนตรัยเถิด เมื่อไปนรก ท่านได้ถามบุพกรรมของหมู่สัตว์ และมาเที่ยวประกาศไปทั่วว่า พวกสัตว์นรกตอนที่ยังเป็นมนุษย์ ได้ทำบาปอกุศลอย่างนี้ จึงเสวยทุกข์ทรมานแสนสาหัสครั้นชาวบ้านได้ฟังพระเถระแล้ว ต้องการไปเกิดในเทวโลก จึงจัดแจงภัตตา
หารและปัจจัยไทยธรรมไปถวายพระสงฆ์กันมากมาย ถ้าพวกเราสามารถฆ่าพระเถระรูปนี้ได้ลาภและสักการะจะเกิดกับพวกเราเหมือนเดิม"

     พวกเดียรถีย์ผู้มีใจบาปเห็นพ้องต้องกันว่า อุบายนี้ใช้ได้ จึงคิดหาวิธีการฆ่าพระเถระด้วยการไปเกลี้ยกล่อมอุปัฏฐาก และช่วยกันรวบรวมทรัพย์ได้พันกหาปณะ นำไปว่าจ้างพวกโจรให้ไปฆ่าพระเถระ ซึ่งขณะนี้กำลังพักอยู่ที่กาฬสิลา

    พวกโจรผู้ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ เห็นแก่อามิสินจ้าง จึงตกปากรับคำพวกเดียรถีย์ โดยไปล้อมที่อยู่ของพระเถระตามแผนการที่วางไว้ พระเถระรู้ว่าพวกโจรพากันมาล้อมจะฆ่าท่าน จึงใช้ฤทธิ์ออกไปทางช่องกุญแจหลบหลีกไป พวกโจรจึงต้องคว้าน้ำเหลวจับพระเถระไม่ได้ วันรุ่งขึ้นพวกโจรได้ไปล้อมจับท่านใหม่ พระเถระได้ทำลายช่อฟ้าเหาะหลบไปอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกโจรจึงไม่สามารถฆ่าพระเถระได้ แม้ใช้เวลาอยู่ 2 เดือน ก็ไม่สำเร็จส่วนพระเถระเองไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้เพื่อนสหธรรมิกทราบ ครั้นถึงเดือนที่สาม พระเถระได้ตรวจดูด้วญาณทัสสนะ จึงทราบว่าเป็นวิบากกรรมที่ตนทำไว้ในอดีต และเคยถูกตามฆ่าตายอย่างนี้มาร้อยชาติแล้ว จึงมิได้หลบเลี่ยงอีกต่อไป ทันทีที่พวกโจรจับพระเถระได้ ก็ทุบตีท่านอย่างไร้ปรานี ทุบจนกระดูกแตกแหลกละเอียด เมื่อมั่นใจว่าพระเถระตายแน่นอนแล้ว จึงเหวี่ยงร่างท่านทิ้งไว้หลังพุ่มไม้แห่งหนึ่ง แล้วรีบหลบหนีทันที

     ฝ่ายพระเถระผู้เรืองฤทธิ์คิดว่า "ก่อนจะปรินิพพาน เราต้องเข้าเฝ้าทูลลาพระบรมศาสดาเสียก่อน จึงจะเป็นการสมควร" ท่านจึงเข้าฌานสมาบัติ ใช้กำลังฌานประสานกายและกระดูกให้เป็นปกติเหมือนเดิม จากนั้นจึงเหาะไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา กราบทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ทรงทราบ

      ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้สดับแล้ว จึงตรัสว่า "โมคคัลลานะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงกล่าวธรรมแก่เราก่อนจึงค่อยนิพพานเถิด เพราะต่อไปเราจะไม่ได้เห็นอัครสาวกเช่นเธออีก"พระเถระรับพุทธดำรั และถวายบังคมแล้ว เหาะขึ้นไปในอากาศแสดงฤทธิ์ และกล่าวธรรมกถาว่า "สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปการเข้าไปสงบระงับสังขารเหล่านั้นเป็นสุข ชนเหล่าใดพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของแปรปรวน และโดยไม่ใช่ตัวตน ชนเหล่านั้นชื่อว่าแทงตลอดธรรมอันละเอียด เหมือนนายขมังธนูยิงถูกขนทรายด้วยลูกศรฉะนั้น" จากนั้นก็ถวายบังคมลาพระศาสดากลับไปวิหารกาฬสิลา
แล้วจึงนิพพาน

   ข่าวที่พระเถระถูกฆาตกรรมได้ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมือง พระเจ้าอชาตศัตรูเองก็มิได้ทรงนิ่งเฉยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระองค์ทรงส่งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้ไปสืบหาเบาะแสจับฆาตกรให้ได้ส่วนพวกโจรหลังจากทุบตีพระเถระจนมรณภาพแล้ว ก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนพากันไปเลี้ยงฉลองในร้านสุราดื่มกินจนเมามาย เมื่อเมาได้ที่ก็เกิดการทะเลาะวิวาทชกต่อย แล้วเผลอพูดอวดศักดาว่า ตัวเองเป็นคนแรกที่ทุบตีพระเถระจนมรณภาพ ทำให้ความลับนี้รู้ไปถึงเจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังตามจับอยู่

     เมื่อเจ้าหน้าที่จับโจรเหล่านั้นไว้ได้ทั้งหมดแล้ว ก็นำไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอชาตศัตรู เพื่อให้พระองค์ตัดสิน ก่อนจะตัดสิน พระองค์ได้ตรัสถามว่า "พวกเจ้าหรือที่ฆ่าพระเถระ" เมื่อพวกโจรรับสารภาพ ก็ตรัสถามต่อไปว่า "มีใครใช้ให้พวกเจ้าไปทำหรือเปล่า" พวกโจรกราบทูลโยงใยไปถึงผู้บงการว่า "พวกชีเปลือยเป็นคนว่าจ้างพวกข้าพระองค์ให้ไปฆ่าพระเถระ พระเจ้าข้า"ครั้นทรงทราบว่ามีผู้บงการ จึงรับสั่งให้ไปจับเดียรถีย์ที่มีส่วนต่อเหตุการณ์นี้ทั้ง 500 มาทันทีแล้วให้ฝังไว้ในหลุมที่พระลานหลวง เหลือเพียงท่อนบนตั้งแต่สะดือขึ้นมา จากนั้นให้กลบด้วยฟางจนท่วมศีรษะ แล้วให้จุดไฟเผา เมื่อไฟไหม้ฟางหมด ก็รับสั่งให้เอาไถเหล็กไถจนเละไม่มีชิ้นดีจากนั้นก็รับสั่งให้เอาหลาวเสียบประจานเป็นขั้นตอนสุดท้าย

      ฝ่ายพระภิกษุเองพอทราบข่าวนั้น ก็จับกลุ่มสนทนากันในธรรมสภาว่า "เป็นไปได้อย่างไรที่พระมหาโมคคัลลานเถระผู้มีฤทธิ์มากขนาดนี้ ต้องมามรณภาพเพราะถูกพวกโจรทุบ" เรื่องนี้ทราบไปถึงพระบรมศาสดา พระพุทธองค์จึงเสด็จมาตรัสอธิบายให้เหล่าภิกษุได้เข้าใจความเป็นจริงของชีวิตในสังสารวัฏ ในระหว่างการสร้างบารมีของพระเถระว่า "ภิกษุทั้งหลายโมคคัลลานะมรณภาพไม่สมควรในอัตภาพนี้เท่านั้น แต่เธอมรณภาพเหมาะแก่กรรมที่เธอทำไว้ในกาลก่อน" และทรงนำเรื่องในอดีตชาติของพระเถระมาตรัสเล่าให้ฟังว่า

      ครั้งในอดีต โมคคัลลานะเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองพาราณสี ผู้มีความกตัญูต่อบุพการีได้ตั้งใจปรนนิบัติเลี้ยงดูมารดาบิดาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่พ่อกับแม่เกิดความสงสาร เห็นลูกทำงานหนัก อีกทั้งยังต้องแบกภาระเลี้ยงตนทั้งสอง และบัดนี้ลูกเองก็สมควรที่จะมีคู่ครองได้แล้ว พ่อกับแม่จึงพูดกับลูกว่า "ลูกรัก ลูกคนเดียวต้องทำงานทั้งในบ้านทั้งในป่า ต้องลำบากมาตลอด พ่อกับแม่มีความเห็นตรงกันว่าจะให้ลูกแต่งงาน เพื่อภรรยาของลูกจะได้ช่วยแบ่งเบางานบ้านได้บ้าง" แต่ลูกชายไม่เห็นด้วย ได้ห้ามว่า "ลูกไม่ต้องการมีครอบครัว ตราบใดที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ลูกจะตั้งใจปรนนิบัติเลี้ยงดูอย่างเต็มที่ พ่อกับแม่อย่ากังวลเลย" แต่พ่อแม่ยังอยากให้ลูกแต่งงาน จึงไปหาหญิงสาวมาเป็นลูกสะใภ้จนได้

      ช่วงแรก ๆ ลูกสะใภ้ตั้งใจปรนนิบัติเลี้ยงดูพ่อแม่สามีอย่างดี อีกทั้งนางเป็นคนเอาอกเอาใจสามีเก่ง ทำให้สามีหลงรักนางมาก ต่อมาพ่อแม่ของสามีตาบอดมองไม่เห็น ทำให้ดูแลลำบากขึ้น นางจึงไม่ต้องการดูแลอีกต่อไป ได้พูดยุแหย่สามีว่า "น้องทนอยู่กับพ่อแม่ของพี่ต่อไปไม่ได้แล้ว" นางยกเหตุสารพัดเรื่องมาตำหนิให้ฟัง แต่สามียังไม่หลงเชื่อเสียทีเดียว ฉะนั้นเมื่อสามีไปทำงานนอกบ้าน นางจึงทำบ้านให้เลอะเทอะ พอสามีกลับมาก็ฟ้องว่า เป็นการกระทำของผู้เฒ่าทั้ง อง

     เมื่อภรรยาศัตรูในคราบมิตรหาเหตุฟ้องอยู่อย่างนั้น ก็ทำให้จิตใจกุลบุตรผู้บำเพ็ญบารมีปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายผู้เลิศด้วยฤทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ต้องหลงเชื่อภรรยา ลืมบุญคุณที่พ่อแม่ได้เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ จึงพูดเอาใจภรรยาว่า "อย่าคิดมากไปเลย พี่จะจัดการกับท่านทั้งสองให้เอง" ระหว่างรับประทานข้าว ลูกชายได้ชวนท่านทั้งสองว่าจะพาไปเยี่ยมญาติที่ต่างเมือง พวกเขาอยากจะพบพ่อกับแม่มาก พ่อแม่ก็ตกลงด้วยความรักลูกไม่อยากขัดใจลูก วันรุ่งขึ้น ลูกชายได้นำท่านทั้งสองขึ้นเกวียนแล้วขับออกจากบ้าน เมื่อถึงกลางดงจึงกล่าวลวงว่า "พ่อช่วยถือเชือกให้หน่อย ในดงนี้ลูกได้ข่าวว่ามีพวกโจรซุ่มอยู่ ลูกจะลงไปสำรวจก่อน" จากนั้นก็มอบเชือกให้พ่อถือเอาไว้ส่วนตัวเองได้ลงจากเกวียน เดินห่างออกไปได้หน่อยหนึ่ง แล้วแกล้งร้องด้วยความตกใจเหมือนกับว่าเห็นโจรซุ่มอยู่

      โดยปกติมารดาบิดามีความรักในลูกมากยิ่งกว่าตัวเองอยู่แล้ว พอได้ยินเสียงลูกชายเท่านั้นก็เข้าใจว่ามีโจรซุ่มอยู่จริง ๆ จึงพูดขึ้นว่า "ลูกหนีเอาตัวรอดเถอะ ไม่ต้องห่วงพ่อกับแม่พ่อกับแม่แก่แล้ว ลูกรีบหนีไปเสียเถิด" ถ้อยคำพ่อแม่ที่พูดออกมาด้วยความเป็นห่วง ไม่สามารถกลับใจบุตรในคราบเพชฌฆาตได้ พอได้โอกาสจึงปลอมเป็นโจรทุบตีพ่อแม่จนตายคามือแม้จะร้องอ้อนวอนขอชีวิต และทิ้งศพไว้ในดงแห่งนั้น กลายเป็นศพไร้ญาติ

     ครั้นพระบรมศาสดาตรัสเล่าบุพกรรมของพระเถระจบลงแล้ว ก็ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลายโมคคัลลานะฆ่าบิดาและมารดา ต้องถูกทัณฑ์ทรมานหมกไหม้อยู่ในนรกหลายแสนปี วิบากกรรมที่เหลือต้องมาถูกทุบตีจนตายอย่างทารุณอยู่ 100 ชาติ ในชาติสุดท้ายก็ยังต้องนิพพานด้วยเรื่องทำนองนี้อีกส่วนพวกเดียรถีย์กับพวกโจรได้คบคิดกันทำร้ายบุตรของเราผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ จึงต้องถูกฆ่าตายสมควรแก่กรรมของพวกเขา ฉะนี้แล"

      จะเห็นได้ว่า บุญและบาปที่ทำไปแล้ว จะติดแน่นอยู่ที่ศูนย์กลางกายของทุกคนรอจังหวะชิงช่วงช่วงชิงกัน ให้ผลอยู่ตลอดเวลาประดุจเงาติดตามตัว พวกเดียรถีย์และโจรสร้างกรรมใหม่ส่วนพระเถระใช้กรรมเก่า พอบาปได้ช่องจึงต้องชดใช้กรรมทุกคนไม่มีเว้น เพราะฉะนั้นอย่าได้ประมาทไปทำบาปอกุศล ให้หมั่นอธิษฐานกำกับว่า "ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีกาย วาจา ใจสะอาดบริสุทธิ์ อย่าได้พลาดไปทำบาปอกุศล บาปแม้น้อยนิดก็อย่าได้คิดทำ" เพราะถ้าหากพลาดไปทำแล้ว ต้องชดใช้กรรมจนถึงชาติสุดท้าย ให้มุ่งมั่นสมแต่กุศลกรรมอย่างเดียว แล้วตลอดชีวิตในสังสารวัฏจะมีแต่ความสุขความเจริญ คิดปรารถนาจะทำสิ่งไหน จะสามารถทำได้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ฉะนั้นให้ตั้งใจ ทำความดีให้เต็มที่ และสร้างบารมีอย่าให้ขาดแม้แต่วันเดียว

 

 

*----------------------------------------------------------------------------------------------------------*
หนังสือ PD 007 พุทธธรรมทีปนี 1
หนังสือเรียน DOU หลักสูตร Pre-Degree

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0011355996131897 Mins