รัตนสูตร : สังฆรัตนะ

วันที่ 09 พย. พ.ศ.2560

รัตนสูตร : สังฆรัตนะ

 

๑๐ พฤษภาคม ๒๔๙๗ 

นโม.....

กิญฺจาปิ โส

 

                     รัตนสูตรบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานเชิดชูพระอริยสงฆ์ เมื่อพระองค์เสด็จดับขันธ์ได้มีการสังคายนา มีวาระพระบาลี แปลความ โดยย่อว่า

                     กิญฺจาปิ โส  พระโสดาบันบุคคลยังทำกรรมเป็นบาปอยู่ ไม่ควรปกปิดบาปกรรมอันนั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับสั่ง แล้วอย่างนี้ แม้อันนี้เป็นรัตนะอันประณีตในสงฆ์

                     เราไม่อาจรู้ว่าใครเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคาพระอนาคา หรือพระอรหัตเพราะท่านก็เป็นมนุษย์ธรรมดาเช่นเรา อาจเป็นหญิงชาย ภิกษุสามเณร เช่นเดียวกับเรา

                     ตัวอย่าง ในสมัยพุทธกาลมีสามเณรอรหันต์อายุ   ขวบ ภิกษุหนุ่มไม่ทราบว่าเป็นพระอรหันต์จึงได้พูดจาล้อเล่น และลูบศีรษะ พระพุทธเจ้าทรงเห็น จึงทรงเรียกประชุมสงฆ์ และทรงรับสั่งว่าต้องการน้ำในสระอโนดาต มาชำระพระบาทสามเณรจึงเอาหม้อต้มกลักเหน็บเข้าข้างหลังและเหาะไปพระภิกษุที่ลูบศีรษะสามเณรจึงตกใจ และได้ทราบว่าสามเณรเป็นพระอรหันต์

                     พระโสดาบันยังมีทำชั่วด้วยกาย วาจา ใจ แต่เป็นความพลั้งเผลอ ยกตัวอย่าง ลูกสาวเศรษฐีเป็น โสดาบันแล้ว อยู่บนปราสาท ๗ ชั้น นึกรักนายเนสาทพรานป่าฆ่าเนื้อ ที่ผ่านมา ถึงกับแอบตามเกวียน นายพรานเข้าป่าไป นายเนสาทสงสารจึงอยู่เป็นสามีภรรยามีลูก ๗  คน เวลาค่ำนางจะจัดบ่วงแหลน เตรียมไว้ที่หน้าประตูสำหรับสามีไปล่าสัตว์เวลาเช้า ตอนเย็นก็แล่เนื้อเป็นอาหารตามที่สามีล่ามาได้

                     ธิดาเศรษฐีผิดศีลหรือไม่

                     ฝ่ายพระธรรมวินัยท่านรับตามเจตนา เพราะว่า เจตนาฆ่าสัตว์ของพระโสดาบันไม่มี คือธิดาเศรษฐีไม่มี แต่ต้องทำเช่นนั้น เช่น เตรียมอาวุธ และทำอาหารจากสัตว์ที่ล่ามาเพราะปฏิบัติตามหน้าที่ภรรยา มิฉะนั้นก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ คือทำตามหน้าที่ ไม่มีเจตนาจะให้ฆ่าสัตว์เลย

                     พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เจตนาหํ ภิกฺขเว สีลํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เจตนานั้นแหละเป็นศีล

                     เมื่อพระโสดาบันทำบาปด้วยกาย วาจา ใจท่านเพลี่ยงพล้ำ แต่ไม่ได้เจตนา เมื่อเป็นอันตรายหรือเกือบเป็นอันตรายต่อศีล ถ้าเป็นพระภิกษุท่านก็แก้ไขด้วยการแสดงอาบัติต่อเพื่อนพรหมจรรย์ว่าจะไม่ทำอีกต่อไป เหมือนพวกเรารู้ว่าศีลไม่บริสุทธิ์ ก็สมาทานศีล แก้ไขตัวให้สะอาด

                      เหตุที่พระโสดาบันท่านไม่เกิดบาป เพราะท่านเห็นทางไปนิพพาน

                      จะรู้จักทางไปนิพพาน ก็ต้องรู้จักพระโสดาบันว่าอยู่ที่ไหนท่านเป็นกายธรรมที่ละเอียดเป็นชั้นๆ เข้าไป

                      ทางมรรคผล คือ เริ่มต้นทำใจหยุดที่ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ซึ่งเป็นที่เกิด ดับ หลับตื่น ใจต้องหยุดตรงนี้ี่เดียว

                      พอใจหยุดเข้ากลางเห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ หยุดเข้ากลางอีกถึง ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ เข้าถึงกายมนุษย์ ละเอียดเข้ากลาง ๖ ดวง เข้าถึงกายต่างๆ คือ กายทิพย์ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม กายอรูปพรหมละเอียด จนถึงกายธรรม

                        เมื่อถึง "กายธรรม" ก็ถึงพุทธรัตนะใจของพระธรรมกาย หยุดนิ่งกลางดวงธรรม ที่ทำให้เป็นธรรมกาย ดวงธรรม วัดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่าหน้าตัธรรมกาย เป็นธรรมรัตนะ หยุดถูกส่วน เข้าไปในกลางดวงธรรมรัตนะ เข้าถึงกายธรรมละเอียด ใสหนักขึ้นไป เรียก "ธรรมกายโคตรภู" คือสังฆรัตนะแต่ยังไม่ใช่พระโสดา

วิธีเข้าถึงพระโสดาบัน

                        เอาใจธรรมกายละเอียด หยุดนิ่งกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายละเอียด ผ่านดวงธรรมดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ จึงเข้าถึงกายพระโสดา เกตุดอกบัวตูม เป็นพุทธรัตนะเหมือนกัน แต่เป็นธรรมกายพระโสดา ธรรมกายพระโสดาละเอียดยังมีอีกต้องใจนิ่งเข้าไปอีก

                        กว่าจะเข้าถึงพระโสดาท่านเห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

                        ธรรมกายพระโสดา เป็น "พุทธรัตนะ"ท่านเป็นผู้ตรัสรู้สัจธรรมทั้ง ๔ จนเข้าเป็นพระพุทธเจ้า

                        ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย เป็น "ธรรมรัตนะ" รักษาไม่ให้ตกไปในฝ่ายชั่ว (ธรรม แปลว่า ทรงไว้ซึ่งผู้ปฏิบัติ ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ให้สูง ให้ดี ให้เจริญขึ้นไป)

                        ธรรมกายพระโสดาละเอียด อยู่ในดวงธรรมรัตนะ เป็น "สังฆรัตนะ" คอยรักษาดวงธรรมรัตนะไว้ไม่หายไป รักษาทั้งวันทั้งคืน

                        สงฺเฆน ธาริโต ธรรมนั้นแหละสังฆรัตนะทรงไว้ไม่ให้หายไป

                        เมื่อเข้าถึงกายพระโสดาบันได้ อย่าหยุดแค่นั้น ให้เข้าไปให้ถึงกายพระอรหัตละเอียด จึงจะเสร็จกิจในพุทธศาสนา

                         "พระพุทธเจ้า ไม่เกิดขึ้นในโลกละก็ ธรรมอันนี้ไม่มีใครแสดง ไม่มีใครบอกไม่มีใครเล่าให้ฟัง ถึงกระนั้นที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับเสียเกือบ ๒,๐๐๐ ปี มาเกิดขึ้นที่วัดปากน้ำนี้แล้ว อุตส่าห์พยายามทำกันไปอย่าได้ดูหมิ่นดูแคลนหนา อย่าได้เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย แก่ยากแก่ลำบากแต่เล็กๆ น้อยๆ

                         เมื่อมาประสบพบพุทธศาสนา พบของจริงละเข้าถึงของจริงให้ได้ เอาของ จริงใส่กับตัวไว้ให้ได้ ติดกับตัวไว้ให้ได้ อย่าดูถูกดูหมิ่นหนา ตั้งให้มั่นแท้แน่นอน ในใจของตัวแล้วละก็ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนาทั้งภิกษุสามเณรอุบาสกอุบาสิกา"

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.050503464539846 Mins