ตัวเลนบนจีวร

วันที่ 16 กค. พ.ศ.2564

ตัวเลนบนจีวร

                      มีพระภิกษุรูปหนึ่งชาวเมืองสาวัตถีชื่อว่าพระติสสะ ท่านตั้งใจบวชด้วยศรัทธา ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ วันหนึ่งออกพรรษาแล้วท่านได้ผ้าสาฎกเนื้อหยาบมา จึงนำไปฝากพี่สาวที่เป็นช่างทอผ้าฝีมือดีไว้ พอพี่สาวรับผ้ามาแล้วก็คิดว่าผ้านี้เนื้อหยาบไม่เหมาะกับพระน้องชาย จึงนำผ้าผืนนั้นไปตัดโขลกจนละเอียด แล้วนำไปสางกรอปั่นเป็นด้าย ทอออกมาใหม่กลายเป็นผ้าอย่างดี

 

20923--1.jpg

พอถึงเวลาพระติสสะนัดแนะพระภิกษุรูปอื่นมาช่วยกันทำจีวรได้แล้ว ก็ไปขอรับผ้าจากพี่สาว พอพี่สาวนำผ้ามาให้ พระติสสะกล่าวว่า

 

“ผ้าที่อาตมภาพฝากโยมพี่ไว้เป็นผ้าเนื้อหยาบ ผืนนี้เป็นผ้าเนื้อดี ไม่ใช่ของอาตมา อาตมภาพไม่ต้องการ”

 

                     พี่สาวตอบกลับไปว่า ผ้าผืนนี้คือผ้าผืนเดิมที่ถูกนำมาทอใหม่ พระติสสะได้ฟังดังนั้นจึงรับผ้ามาแล้วเย็บเป็นจีวร พระติสสะรู้สึกชอบเพราะผ้าเนื้อดี คิดว่าพรุ่งนี้ตนเองจะครองผ้าผืนนี้ ใจเกาะอยู่ในจีวร พอตกดึกคืนนั้นเกิดอาการลมกำเริบอาหารไม่ย่อยจนมรณภาพ พอตายแล้วได้ไปเกิดเป็นเลนอยู่บนผ้าจีวร เพราะใจไปเกาะเกี่ยวอยู่กับผ้าจีวรก่อนตายนั่นเอง

 

                     สมัยโบราณยังไม่มีธนาคาร คนสมัยก่อนจึงนิยมนำสมบัติไปฝังดิน เจ้าของที่มีใจเกาะเกี่ยวกับสมบัตินั้นมากๆ พอตายแล้วก็ไปเกิดเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ บ้างก็ไปเกิดเป็นหนูขุดรูอยู่ข้างขุมสมบัติ เพราะฉะนั้น ใครที่ยึดติดกับอะไรมาก ๆ ระวังจะได้ไปเกิดเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ อยู่ข้างสมบัติที่ตนเองยึดติด ยึดติดกับบ้าน ก็อาจจะได้ไปเกิดเป็นมดแมลงในบ้าน ขนาดพระติสสะท่านมีบุญมาก ยังไปเกิดเป็นเลนเกาะบนจีวรได้เลย

 

20923--2.jpg

                     ในพระวินัย เมื่อพระภิกษุมรณภาพแล้ว พระภิกษุรูปอื่นจะนำข้าวของของพระภิกษุรูปนั้น เช่น บาตร จีวรมาแบ่งกันในหมู่สงฆ์ตามความจำเป็น พระท่านก็เตรียมจะนำผ้านั้นมาตัดแบ่งกัน ตัวเลนอยู่บนผ้าวิ่งวุ่น ร้องบอกพระภิกษุทั้งหลายว่าอย่ามาแย่งจีวรฉัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ยินเสียงเลนด้วยอำนาจทิพยโสต พระองค์จึงตรัสห้ามพระภิกษุไว้ว่าอย่าพึ่งตัดแบ่งจีวร ให้เก็บไว้ 7 วันก่อน

 

                     พอพ้น 7 วัน ครบอายุของเลน เลนก็ตายลง แล้วบุญที่เคยทำไว้มากสมัยบวชเป็นพระก็ส่งให้ท่านไปเกิดบนดุสิตโลกสวรรค์ สวรรค์ชั้นของนักสร้างบารมี แต่เพราะก่อนตายท่านไปยึดติดในสมบัติจึงไปเกิดเป็นเลน แตกต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว ระหว่างเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิตกับเลน

 

                     พอได้ไปเกิดใหม่ ท่านไม่ได้ยึดติดในผ้าจีวรแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงให้พระภิกษุสงฆ์นำจีวรผืนนั้นมาตัดแบ่งกัน ถ้าตอนนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ห้ามไว้ เลนอาจจะผูกแค้นในผู้ทรงศีล ตายแล้วไปตกนรกซ้ำอีก

 

                     เพราะฉะนั้น เราอย่าไปยึดติดเรื่องไม่ดีก่อนตายให้จิตเศร้าหมอง เราควรทำความดีเป็นปกติ แล้วหมั่นนึกถึงความดีนั้นบ่อย ๆ ยิ่งถึงคราวเกิดทุกขเวทนา เช่น เวลาป่วยไข้ไม่สบาย ยิ่งต้องท่อง “สัมมา อะระหัง ๆ ๆ ๆ” ในใจ นึกถึงองค์พระ นึกถึงดวงแก้ว นึกถึงบุญกุศลที่เคยทำไว้ ตอกย้ำให้เต็มที่ เราจะได้ไปดี

 

20923--3.jpg

                     พอรู้หลักอย่างนี้แล้ว ก็ใช่ว่าใครจะคิดเจ้าเล่ห์ไปทำอะไรตามใจก่อนได้ เช่น ไปกินเหล้า เที่ยวเตร่ ทำผิดศีลบ้าง คิดว่ายังไม่เป็นไร พอเริ่มรู้สึกป่วยไข้ก็ค่อยมานึกถึงพระ นึกถึงบุญ แล้วจะรอดได้ไปเกิดบนสวรรค์ก่อน...มันไม่ง่ายอย่างนั้น

 

                    ขนาดคนที่ทำดีเป็นประจำ หมั่นนึกถึงบุญสม่ำเสมอก็ยังมีโอกาสพลาด ยิ่งถ้าปกติเราไม่ค่อยได้นึกถึงบุญกุศล โอกาสที่ก่อนตายจะนึกถึงความดี นึกถึงบุญกุศลออกแล้วได้ไปเกิดบนสวรรค์นั้นยากมาก เพราะก่อนตายทุกขเวทนาบีบคั้น เจ็บปวดทรมานมาก นึกถึงบุญกุศลความดีไม่ค่อยออก ถ้าไม่เคยฝึกฝนมาอย่างสม่ำเสมอจริง ๆ เพราะฉะนั้น ให้เราทำอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำดีที่สุด

 

                    การนึกถึงบุญบาปมีผลต่อโลกหลังความตาย แต่คนในยุคปัจจุบันบางคนยังมีความเชื่อว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป

 

                     จริง ๆ ทำดีได้ดีแน่นอนไม่มียกเว้น แล้วทำชั่วก็ได้ชั่วแน่นอนไม่มียกเว้นเช่นกัน แต่บางครั้งคนเรามักจะมองข้ามสภาพใจตนเอง “ทำดีเมื่อใด ใจจะผ่องใสทันที ผลบุญเกิดทันที” ใจที่ผ่องใสนั้นสำคัญที่สุด จะไปเกิดบนสวรรค์หรือตกนรกก็ขึ้นอยู่ที่สภาพใจของเรา ถ้าสภาพใจดีก็ไปสู่สุคติ ใจที่ดีมีคุณค่ายิ่งกว่าสมบัตินับหมื่นล้าน เพราะมีสมบัติแสนล้านก็การันตีไม่ได้ว่าตายแล้วจะปิดนรก

 

                      ถึงเวลายมทูตมาคุมตัวไปนรก จะบอกยมทูตว่า ถ้าพาตนเองไปสวรรค์จะเซ็นเช็คให้หนึ่งล้านเขาก็ไม่เอาด้วย เพราะฉะนั้น สมบัติทั้งหลายแค่พอให้เราอาศัยได้ในชาตินี้เท่านั้น แต่หัวใจสำคัญที่สุดคือสภาพใจเรา ทำดี ผลดีจะเกิดขึ้นกับใจเราเองคือทำให้ใจเราผ่องใส แต่ถ้าทำบาป ถึงไม่มีใครรู้แต่ผลบาปได้เกิดขึ้นแล้ว คือทำให้ใจเราเศร้าหมองทันที

 

20923--4.jpg

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

 

“ชื่อว่าที่ลับ ไม่มีในโลก”

 

                     เรานึกว่าอยู่คนเดียวไม่มีใครเห็นบาปที่เราทำ แต่ความจริงกฎแห่งกรรมเห็นเสมอ สิ่งที่คนแต่ละคนประสบในโลก อาจไม่ยุติธรรมในแง่ของโลกบัญญัติ สมมุติในโลก กติกาในโลก แต่มีความจริงอีกระดับหนึ่งซ้อนอยู่ ก็คือความจริงในระดับเหนือโลก ได้แก่ กฎแห่งกรรมที่ยุติธรรมเสมอ

 

                   ไม่ว่าเราจะทำผิดเมื่อใด ผลกรรมอาจจะตามไม่ทันในชาติปัจจุบัน เพราะมีพรรคพวก มีอำนาจอิทธิพล มีบารมีคอยคุ้มครองปกป้อง แต่วิบากกรรมรออยู่แล้ว อิทธิพลทั้งหลายในโลกนี้นำไปใช้กับพญายมราช วิบากกรรม และกฎแห่งกรรมไม่ได้ผลเลย ดังนั้น ให้เราตั้งใจทำสิ่งดี ยืนหยัดทำต่อไปเรื่อย ๆ

 

                      สุดท้ายผลดีจะเกิดขึ้นกับเรา ถ้าทุกคนเข้าใจอย่างนี้แล้ว ก็จะกลายเป็นคลื่นกระแสสังคมที่นำไปสู่ทางที่ดี แล้วเอื้ออำนวยให้คนที่ทำดีได้ผลดีชัดเจนยิ่งขึ้น

 

เจริญพร

พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.018442885080973 Mins