พระวินัย

วันที่ 30 สค. พ.ศ.2565

พระวินัย

ปาราชิก ๔(อาบัติหนัก)

       ปาราชิก แปลว่า อาบัติยังบุคคลให้พ่าย ภิกษุผู้ต้องอาบัตินี้จะต้องขาดจากความเป็นภิกษุทันที เปรียบเหมือนบุรุษศีรษะขาด มีอยู่ ๔
สิกขาบท คือ
       ๑. ภิกษุเสพเมถุน ต้องปาราชิก
       ๒. ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมยได้ราคา ๕ มาสก ต้องปาราชิก
       ๓. ภิกษุแกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย หรือแสวงหาอาวุธให้ผู้อื่นฆ่า หรือพรรณาคุณแห่งความตาย หรือชักชวนให้ผู้อื่นไปตายสำเร็จ ต้องปาราชิก
        ๔. ภิกษุอวดอุตริมนุสธรรม คือ ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ที่ไม่มีในตน ต้องปาราชิก

พระวินัย

สังฆาทิเสส ๑๓
        สังฆาทิเสส เป็นอาบัติที่ภิกษุผู้ต้องแล้ว ต้องอยู่กรรมจึงจะพ้น มีอยู่ ๑๓ สิกขาบท คือ
        ๑. ภิกษุแกล้งทำให้นํ้าอสุจิเคลื่อน ต้องสังฆาทิเสส
        ๒. ภิกษุมีความกำหนัด จับต้องกายหญิง ต้องสังฆาทิเสส
        ๓. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดเกี้ยวหญิง ต้องสังฆาทิเสส
        ๔. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดล่อให้หญิงบำเรอตนด้วยกามต้องสังฆาทิเสส
        ๕. ภิกษุจักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ต้องสังฆาทิเสส
        ๖. ภิกษุสร้างกุฎีที่ต้องก่อและโบกด้วยปูนหรือดิน ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของจำเพาะเป็นที่อยู่ของตน ต้องทำให้ได้ประมาณ และต้องให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อนถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงที่ให้ก็ดี ทำเกินประมาณก็ดี ต้องสังฆาทิเสส
        ๗. ถ้าที่อยู่ที่จะสร้างขึ้นนั้นมีทายกเป็นเจ้าของ ทำให้เกินประมาณนั้นได้ แต่ต้องให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน ต้องสังฆาทิเสส
        ๘. ภิกษุโกรธเคือง แกล้งโจษภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล ต้องสังฆาทิเสส
        ๙. ภิกษุโกรธเคือง แกล้งหาเสสโจษภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูลต้องสังฆาทิเสส
        ๑๐. ภิกษุพากเพียรเพื่อจะทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ภิกษุอื่น ห้ามไม่ฟังสงฆ์สวดกรรมเพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้นเสีย ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส
        ๑๑ ภิกษุประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์นั้น ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรมเพื่อให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส
        ๑๒. ภิกษุว่ายากสอนยาก ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรม เพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้น ถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส
        ๑๓. ภิกษุประทุษร้ายตระกูล ประจบคฤหัสถ์ สงฆ์ไล่เสียจากวัด กลับว่าติเตียนสงฆ์ ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดกรรม เพื่อจะให้ละข้อที่ประพฤตินั้นถ้าไม่ละ ต้องสังฆาทิเสส

อนิยต ๒
        ๑. ภิกษุนั่งในที่ลับตากับหญิงสองต่อสอง ถ้ามีคนที่ควรเชื่อได้มาพูดขึ้นด้วยธรรม ๓ อย่าง คือ ปาราชิกหรือสังฆาทิเสสหรือปาจิตตีย์ อย่างใดอย่างหนึ่งภิกษุรับอย่างใด ให้ปรับอย่างนั้นหรือเขาว่าจำเพาะธรรมอย่างใดให้ปรับอย่างนั้น
        ๒. ภิกษุนั่งในที่ลับหูกับหญิงสองต่อสอง ถ้ามีคนที่ควรเชื่อได้มาพูดขึ้นด้วยธรรม ๒ อย่าง คือ สังฆาทิเสส หรือปาจิตตีย์ อย่างใดอย่างหนึ่งภิกษุรับอย่างใด ให้ปรับอย่างนั้นหรือเขาว่าจำเพาะธรรมอย่างใด ให้ปรับอย่างนั้น

นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐
แบ่งเป็น ๓ วรรค ๆ ละ ๑๐ สิกขาบท

จีรวรรคที่ ๑
        ๑. ภิกษุทรงอติเรกจีวรได้เพียง ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง ถ้าล่วง ๑๐ วันไปต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
        ๒. ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวรแม้คืนหนึ่ง ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์เว้นไว้แต่ได้สมมติ
        ๓. ถ้าผ้าเกิดขึ้นแก่ภิกษุๆ ประสงค์จะทำจีวรแต่ยังไม่พอถ้ามีที่หวังว่าจะได้มาอีก พึงเก็บผ้านั้นไว้ได้เพียงเดือนหนึ่งเป็นอย่างยิ่งถ้าเก็บไว้ให้เกินเดือนหนึ่งไป แม้ถึงยังมีที่หวังว่าจะได้อยู่ ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
        ๔. ภิกษุใช้นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ ให้ชักก็ดี ให้ย้อมก็ดี ให้ทุบก็ดืซึ่งจีวรเก่า ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
        ๕. ภิกษุรับจีวรแต่มือนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยนกันต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
        ๖. ภิกษุขอจีวรต่อคฤหัสถ์ผู้ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา ได้มาต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีสมัยที่จะขอจีวรได้ คือเวลาภิกษุมีจีวรอันโจรลักไปหรือมีจีวรอันฉิบหายเสีย
        ๗.ในสมัยเช่นนั้น จะขอเขาได้ก็เพียงผ็านุ่งผ้าห่มเท่านั้น ถ้าขอให้เกินกว่านั้นได้มา ต้องนิสสัคคืยปาจิตตีย์
        ๘. ถ้าคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณาเขาจะถวาย จีวรแก่ภิกษุ ชื่อนี้ภิกษุนั้นทราบความแล้วเข้า ไปพูดให้เขาถวาย จีวรอย่างนั้นอย่างนี้ที่มีราคาแพงกว่าดีกว่าที่เขากำหนดไว้เดิมได้มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
        ๙. ถ้าคฤหัสถ์ผู้จะถวายจีวรแก่ภิกษุมีหลายคน แต่เขาไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา ภิกษุไปพูดให้เขารวมทุนเข้าเป็นอันเดียวกัน ให้ซื้อจีวรที่
แพงกว่าดีกว่าที่เขากำหนดไว้เดิมได้มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
        ๑๐. ถ้าใครๆ นำทรัพย์มาเพื่อค่าจีวรแล้วถามภิกษุว่า ใครเป็นไวยาวัจกรของเธอ ถ้าภิกษุต้องการจีวร ก็พึงแสดงคนวัดหรืออุบาสกว่าผู้นี้เป็นไวยาวัจกรของภิกษุทั้งหลาย ครั้นเขามอบหมายไวยาวัจกรนั้นแล้วสั่งภิกษุว่า ถ้าต้องการจีวร ให้เข้าไปหาไวยาวัจกร ภิกษุนั้นพึง เข้าไปหาเขาแล้วทวงว่า เราต้องการจีวรดังนี้ได้ ๓ ครั้ง ถ้าไม่ได้จีวร ไปยืนแต่พอเขาเห็นได้ ๖ ครั้ง ถ้าไม่ได้ ขืนทวงเกิน ๓ ครั้ง ยืนเกิน ๖ ครั้ง ได้มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ถ้าไปทวงและยืนครบกำหนดแล้วไม่ได้จีวร จำเป็นต้องไปบอกเจ้าของเดิมว่าของนั้นไม่สำเร็จประโยชน์แก่ตน ให้เขาเรียกเอาของเขาคืนมาเสีย

โกสิยวรรคที่ ๒
        ภิกษุต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เมื่อ
        ๑. หล่อสันถัตด้วยขนเจียมเจือด้วยไหม
        ๒. หล่อสัตถัตด้วยขนเจียมดำล้วน
        ๓. จะหล่อสันถัตใหม่ พึงใช้ขนเจียมดำ ๒ ส่วน ขนเจียมขาวส่วนหนึ่งขนเจียมแดงส่วนหนึ่ง ถ้าใช้ขนเจียมดำให้เกิน ๒ ส่ วนขึ้นไปต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
        ๔. หล่อสันถัตใหม่แล้ว พึงใช้ให้ได้ ๖ ปี ถ้ายังไม่ถึง ๖ ปีหล่อใหม่ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ได้สมมติ
        ๕. จะหล่อสันถัต พึงตัดเอาสันถัตเก่าคืบหนึ่งโดยรอบมาปนลงในสันถัตที่หล่อใหม่ เพื่อจะทำให้เสียสี ถ้าไม่ทำดังนี้ ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
        ๖. เดินทางไกล ถ้ามีใครถวายขนเจียมหรือให้สาง ต้องการก็รับได้ถ้าไม่มีใครนำมา นำมาได้เพียง ๓ โยชน์ ถ้าให้เกิน ๓ โยชน์ไปต้องนิสลัคคิยปาจิตตีย์

        ๗. ใช้นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติให้ซัก ให้ย้อมหรือให้สาง ซึ่งขนเจียม
        ๘. รับเองหรือใช้ให้ผู้อื่นรับซึ่งทองและเงิน หรือยินดีทองและเงินที่เขาเก็บไว้เพื่อตน
        ๙. ทำการชื้อขายด้วยรูปิยะ คือของที่เขาใช้เป็นทองและเงิน
        ๑๐. แลกเปลี่ยนสิ่งของกับคฤหัสถ์

ปัตตวรรคที่ ๓
ภิกษุต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เมื่อ

        ๑. บาตรนอกจากบาตรอธิษฐาน เรียกอติเรกบาตร อติเรกบาตรนั้นภิกษุเก็บไว้ได้เพียง ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง ถ้าให้ล่วง ๑๐ วันไป
        ๒. มีบาตรร้าวยังไม่ถึง ๑๐ นิ้ว ขอบาตรใหม่แต่คฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณาได้มา
        ๓. ภิกษุรับประเคนเภสัชทั้ง ๕ ข้อ คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน นํ้าผึ้ง น้ำอ้อย แล้วเก็บไว้ฉันได้เพียง ๗ วันเป็นอย่างยิ่ง ถ้าให้ล่วง ๗ วันไป
        ๔. เมื่อฤดูร้อนยังเหลืออยู่อีก ๑ เดือน คือตั้งแต่แรม ๑ คํ่า เดือน ๗ จึงแสวงหาผ้าอาบน้ำฝนได้ เมื่อฤดูร้อนเหลืออยู่อีกกึ่งเดือน คือตั้งแต่ชื้น ๑ คํ่า เดือน ๘ จึงทำนุ่งได้ ถ้าแสวงหาหรือทำนุ่งให้ลํ้ากว่า กำหนดนั้นเข้ามา
        ๕. ให้จีวรภิกษุแก่ภิกษุอื่นแล้ว โกรธชิงเอาคืนมาเองหรือใช้ให้ผู้อื่นชิงเอามา
        ๖. ภิกษุขอด้ายแต่คฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา เอามาให้ช่างหูกทอเป็นจีวร
        ๗. ถ้าคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณาสั่งให้ช่างหูกทอจีวร เพื่อจะถวายแก่ภิกษุ ถ้าภิกษุไปกำหนดให้เขาทำให้ดีขึ้นด้วยจะให้รางวัลแก่เขา
        ๘. ถ้าอีก ๑๐ วันจะถึงวันปวารณา คือ ตั้งแต่ชื้น ๖ คํ่า เดือน ๑๑ ถ้าทายกรีบจะถวายผ้าจำนำพรรษา ก็รับเก็บไว้ได้ แต่ถ้าเก็บไว้เกินกาลจีวรไป (กาลจีวรนั้น ดังนี้ ถ้าจำพรรษาแล้วไม่ได้กรานกฐิน นับแต่วันปวารณาไปเดือนหนึ่ง คือตั้งแต่แรม ๑ คํ่า เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒ ถ้าได้ กรานกฐินนับต่อไปอีก ๔ เดือน ถึงกลางเดือน ๔ )
        ๙. ภิกษุจำพรรษาในเสนาสนะป่าซึ่งเป็นที่เปลี่ยว ออกพรรษาแล้วอยากจะ เก็บไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งไว้ในบ้าน เมื่อมีเหตุก็เก็บรักษาไว้ได้เพียง ๖ คืนเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเก็บไว้ให้เกิน ๖ คืนไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์เว้นไว้แต่ได้สมมติ
        ๑๐. ภิกษุรู้อยู่ และน้อมลาภที่เขาจะถวายสงฆ์มาเพื่อตน

ปาจิตตีย์ ๙๒ สิกขาบท
มุสาวาทวรรคที่ ๑ มี ๑๐ สิกขาบท

        ๑. พูดปด ต้องปาจิตตีย์
        ๒. ด่าภิกษุ ต้องปาจิตตีย์
        ๓. ส่อเสียดภิกษุ ต้องปาจิตตีย์
        ๔. ภิกษุสอนธรรมแก่อนุปสัมบัน ถ้าว่าพร้อมกัน ต้องปาจิตตีย์
        ๕. ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกันกับอนุปสัมบัน เกิน ๓ คืน ขึ้นไปต้องปาจิตตีย์
        ๖. ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกันกับผู้หญิง แม้ในคืนแรกต้องปาจิตตีย์
        ๗. ภิกษุแสดงธรรมแก่ผู้หญิง เกินกว่า ๖ คำ ขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์เว้นไว้แต่มีบุรุษผู้รู้เดียงสา (รู้ผิด รู้ชอบ) อยู่ด้วย
        ๘. ภิกษุบอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริง แก่อนุปสัมบัน ต้องปาจิตตีย์
        ๙. ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่นแก่อนุปสัมบัน ต้องปาจิตตีย์
        ๑๐. ภิกษุขุดเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นขุดก็ดี ซึ่งแผ่นดิน ต้องปาจิตตีย์

ภูตคามวรรคที่ ๒ มี ๑๐ สิกขาบท
        ๑. ภิกษุพรากของเขียวซึ่งเกิดอยู่กับที่ ให้หลุดจากที่ ต้องปาจิตตีย์
        ๒. ภิกษุประพฤติอนาจาร สงฆ์เรียกตัวมาถาม แกล้งพูดกลบเกลื่อนก็ดีนิ่งเสียไม่พูดก็ดี ถ้าสงฆ์สวดประกาศข้อความนั้นจบ ต้องปาจิตตีย์
        ๓. ภิกษุติเตียนภิกษุอื่นที่สงฆ์สมมติ ให้เป็นผู้ทำการสงฆ์ ถ้าเธอทำโดยชอบ ติเตียนเปล่าๆ ต้องปาจิตตีย์
        ๔. ภิกษุเอาเตียง ตั่ง ฟูก เก้าอี้ ของสงฆ์ไปตั้งในที่แจ้งแล้ว เมื่อหลีกไปจากที่นั้น ไม่เก็บเองก็ดี ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเก็บก็ดี ไม่มอบหมายแก่ผู้อื่นก็ดี ต้องปาจิตตีย์
        ๕. ภิกษุเอาที่นอนของสงฆ์ปูนอนในกุฎีสงฆ์แล้ว เมื่อหลีกไป จากที่นั้นไม่เก็บเองก็ดี ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเก็บก็ดี ไม่มอบหมายแก่ผู้อื่นก็ดี ต้องปาจิตตีย์
        ๖. ภิกษุรู้อยู่ว่า กุฎีนี้มี ผู้อยู่ก่อน แกล้งไปนอนเบียด ด้วยหวังจะให้ผู้อยู่ก่อนคับแคบใจเข้าก็จะหลีกไปเอง ต้องปาจิตตีย์
        ๗. ภิกษุโกรธเคืองภิกษุอื่น ฉุดคร่าไล่ออกจากกุฎีสงฆ์ ต้องปาจิตตีย์
        ๘. ภิกษุนั่งทับก็ดี นอนทับก็ดี บนเตียงก็ดี บนตั่งก็ดี อันมีเท้าไม่ได้ตรึงให้แน่น ซึ่งเขาวางไว้บนร่างร้านที่เขาเก็บของในกุฎี ต้องปาจิตตีย์
        ๙. ภิกษุจะเอาดินหรือปูนโบกหลังคากุฎี พึงโบกได้แต่เพียง ๓ ชั้นถ้าโบกเกินกว่านั้น ต้องปาจิตตีย์
        ๑๐. ภิกษุรู้อยู่ว่า นํ้ามีตัวสัตว์ เอารดหญ้าหรือดิน ต้องปาจิตตีย์

โอวาทวรรคที่ ๓ ที่ ๑๐ สิกขาบท
        ๑. ภิกษุที่สงฆ์ไม่ได้สมมติ สั่งสอนนางภิกษุณี ต้องปาจิตตีย์.
        ๒. แม้ภิกษุที่สงฆ์สมมติแล้ว ตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้วไป สอนนางภิกษุณีต้องปาจิตตีย์.
        ๓. ภิกษุเข้าไปสอนนางภิกษุณีถึงในที่อยู่ ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่นางภิกษุณีเจ็บ.
        ๔. ภิกษุติเตียนภิกษุอื่นว่า สอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภต้องปาจิตตีย์.
        ๕. ภิกษุให้จีวรแก่นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ ต้องปาจิตตีย์เว้นไว้แต่แลก เปลี่ยนกัน.
        ๖. ภิกษุเย็บจีวรของนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นเย็บก็ดีต้องปาจิตตีย์.
        ๗. ภิกษุชวนนางภิกษุณีเดินทางด้วยกัน แม้สินระยะบ้านหนึ่งต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ทางเปลี่ยว.
        ๘. ภิกษุชวนนางภิกษุณีลงเรือลำเดียวกัน ขึ้นนํ้าก็ดี ล่องนํ้าก็ดีต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ข้ามฟาก.
        ๙. ภิกษุรู้อยู่ฉันของเคี้ยวของฉัน ที่นางภิกษุณีบังคับให้คฤหัสถ์เขาถวายต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่คฤหัสถ์เขาเริ่มไว้ก่อน.
        ๑๐. ภิกษุนั่งก็ดี นอนก็ดี ในที่ลับสองต่อสอง กับนางภิกษุณีต้องปาจิตตีย์.

โภชนวรรคที่ ๔ มี ๑๐ สิกขาบท
        ๑. อาหารในโรงทานที่ทั่วไปไม่นิยมบุคคล ภิกษุไม่เจ็บไข้ ฉันได้แต่เฉพาะวันเดียวแล้ว ต้องหยุดเสียในระหว่าง ต่อไปจึงฉันได้อีก ถ้าฉันติดๆกันตั้งแต่สองวันขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์.
        ๒. ถ้าทายกเขามานิมนต์ ออกชื่อโภชนะทั้ง ๕ อย่าง คือ ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าไปรับของนั้นมาหรือฉันของนั้นพร้อมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่สมัย คือ เป็นไข้อย่าง ๑ หน้าจีวรกาลอย่าง ๑ เวลาทำจีวรอย่าง ๑ เดินทางไกลอย่าง ๑ ไปทางเรืออย่าง ๑ อยู่มากด้วยกันบิณฑบาตไม่พอฉันอย่าง ๑ โภชนะเป็นของสมณะอย่าง ๑
        ๓. ภิกษุรับนิมนต์แห่งหนึ่ง ด้วยโภชนะทั้ง ๕ อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วไม่ไปฉันในที่นิมนต์นั้น ไปฉันเสียที่อื่น ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ยกส่วนที่รับนิมนต์ไว้ก่อนนั้นให้แก่ภิกษุอื่นเสีย หรือหน้าจีวรกาลและเวลาทำจีวร
        ๔. ภิกษุเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน ทายกเขาเอาขนมมาถวายเป็นอันมากจะรับได้เป็นอย่างมากเพียง ๓ บาตรเท่านั้น ถ้ารับให้เกินกว่านั้น ต้องปาจิตตีย์ของที่รับมามากเช่นนั้น ต้องแบ่งให้ภิกษุอื่น
        ๕. ภิกษุฉันค้างอยู่ มีผู้เอาโภชนะทั้ง ๕ อย่างใดอย่างหนึ่งเข้า มาประเคนห้ามเสียแล้ว ลุกจากที่นั่งนั้นแล้ว ฉันของเคี้ยวของฉันซึ่งไม่เป็นเดนภิกษุไข้ หรือไม่ได้ทำวินัยกรรม ต้องปาจิตตีย์
        ๖. ภิกษุรู้อยู่ว่า ภิกษุอื่นห้ามข้าวแล้ว [ ตามสิกขาบทหลัง ] คิดจะยกโทษเธอ แกล้งเอาของเคี้ยวของฉันที่ไม่เป็นเดนภิกษุไข้ ไปล่อให้เธอฉันถ้าเธอฉันแล้ว ต้องปาจิตตีย์
       ๗. ภิกษุฉันของเคี้ยวของฉันที่เป็นอาหารในเวลาวิกาล คือ ตั้งแต่เที่ยงแล้วไปจนถึงวันใหม่ ต้องปาจิตตีย์
        ๘. ภิกษุฉันของเคี้ยวของฉันที่เป็นอาหารซึ่งรับประเคนไว้ค้างคืนต้องปาจิตตีย์
        ๙. ภิกษุขอโภชนะอันประณีต คือ ข้าวสุก ระคนด้วยเนยใส เนยข้น นํ้ามัน นํ้าผึ้ง นํ้าอ้อย ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม ต่อคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณาเอามาฉัน ต้องปาจิตตีย์
        ๑๐. ภิกษุกลืนกินอาหารที่ไม่มีผู้ให้ คือ ยังไม่ได้รับประเคน ให้ล่วงทวารปากเข้าไป ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่นํ้าและไม้สีฟัน

อเจลกวรรคที่ ๔ มี ๑๐ สิกขาบท
       ๑. ภิกษุให้ของเคี้ยวของฉันแก่นักบวชนอกศาสนาด้วยมือตน ต้องปาจิตตีย์
        ๒. ภิกษุชวนภิกษุอื่นไปเที่ยวบิณฑบาตด้วยกัน หวังจะประพฤติอนาจาร ไล่เธอกลับมาเสีย ต้องปาจิตตีย์
        ๓. ภิกษุสำเร็จการนั่งแทรกแซง ในสกุลที่กำลังบริโภคอาหารอยู่ต้องปาจิตตีย์
        ๔. ภิกษุนั่งอยู่ห้องกับผู้หญิง ไม่มีผู้ชายอยู่เป็นเพื่อน ต้องปาจิตตีย์
        ๕. ภิกษุนั่งในที่แจ้งกับผู้หญิงสองต่อสอง ต้องปาจิตตีย์
        ๖. ภิกษุรับนิมนต์ด้วยโภชนะทั้ง ๕ แล้วจะไปในที่อื่นจากที่นิมนต์นั้นในเวลาก่อน ฉันก็ดี ฉันกลับมาแล้วก็ดี ต้องลาภิกษุที่มีอยู่ในวัดก่อน จึงจะไปได้ถ้าไม่ลาก่อนเที่ยวไป ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่สมัย คือจีวรกาลและเวลาทำจีวร.
        ๗. ถ้าเขาปวารณาด้วยปัจจัยสี่เพียง ๓ เดือน พึงขอเขาได้เพียงกำหนดนั้นเท่านั้น ถ้าขอให้เกินกว่ากำหนดนั้นไป ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่เขาปวารณาอีก หรือปวารณาเป็นนิตย์.
        ๘. ภิกษุไปดูกระบวนทัพที่เขายกไปเพื่อจะรบกัน ต้องปาจิตตีย์เว้นไว้แต่มีเหตุ

        ๙. ถ้าเหตุที่ต้องไปมีอยู่ พึงไปอยู่ได้ในกองทัพเพียง ๓ วัน ถ้าอยู่ให้เกินกว่ากำหนดนั้น ต้องปาจิตตีย์
        ๑๐. ในเวลาที่อยู่ในกองทัพตามกำหนดนั้น ถ้าไปดูเขารบกันก็ดี หรือดูเขาตรวจพลก็ดี ดูเขาจัดกระบวนทัพก็ดี ดูหมู่เสนาที่จัดเป็นกระบวน แล้วก็ดีต้องปาจิตตีย์

สุราปานวรรคที ๖ มี ๑๐ สิกขาบท
        ๑. ภิกษุดื่มนํ้าเมา ต้องปาจิตตีย์
        ๒. ภิกษุจี้ภิกษุ ต้องปาจิตตีย์
        ๓. ภิกษุว่ายนํ้าเล่น ต้องปาจิตตีย์
        ๔. ภิกษุแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย ต้องปาจิตตีย์
        ๕. ภิกษุหลอนภิกษุให้กลัวผี ต้องปาจิตตีย์
        ๖. ภิกษุไม่เป็นไข้ ติดไฟให้เป็นเปลวเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นติดก็ดีเพื่อจะผิงต้องปาจิตตีย์ ติดเพื่อเหตุอื่น ไม่เป็นอาบัติ
        ๗. ภิกษุอยู่ในมัชฌิมประเทศ คือ จังหวัดกลางแห่งประเทศอินเดีย ๑๕ วันจึงอาบนํ้าได้หนหนึ่ง ถ้าไม่ถึง ๑๕ วันอาบนํ้า ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีเหตุจำเป็น ในปัจจันตประเทศๆ เช่นประเทศเราอาบนํ้าได้เป็นนิตย์ ไม่เป็นอาบัติ
        ๘. ภิกษุได้จีวรใหม่มา ต้องพินทุด้วยสี ๓ อย่าง คือ เขียวครามโคลน ดำ คลํ้า อย่างใดอย่างหนึ่งก่อน จึงนุ่งห่มได้ ถ้าไม่ทำพินทุก่อนแล้วนุ่งห่มต้องปาจิตตีย์
        ๙. ภิกษุวิกัปจีวรแก่ภิกษุหรือสามเณรแล้ว ผู้รับยังไม่ได้ถอนนุ่งห่มจีวรนั้น ต้องปาจิตตีย์.
        ๑๐. ภิกษุช่อนบริขาร คือ บาตร จีวร ผ้าปูนั่ง กล่องเข็มประคดเอวสิ่งใด สิ่งหนึ่ง ของภิกษุอื่น ด้วยคิดว่าจะล้อเล่น ต้องปาจิตตีย์

สัปปาณวรรคที่ ๗ มี ๑๐ สิกขาบท
        ๑. ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน ต้องปาจิตตีย์
        ๒. ภิกษุรู้อยู่ว่า นํ้ามีตัวสัตว์ บริโภคนํ้านั้น ต้องปาจิตตีย์
        ๓. ภิกษุรู้อยู่ว่า อธิกรณ์นี้สงฆ์ทำแล้วโดยชอบ เลิกถอนเสีย กลับทำใหม่ต้องปาจิตตีย์
        ๔. ภิกษุรู้อยู่ แกล้งปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์
        ๕. ภิกษุรู้อยู่เป็นอุปัชฌายะอุปสมบทกุลบุตรผู้มีอายุหย่อนกว่า ๒๐ ปี ต้องปาจิตตีย์
        ๖. ภิกษุรู้อยู่ ชวนพ่อค้าผู้ซ่อนภาษีเดินทางด้วยกัน แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่งต้องปาจิตตีย์
        ๗. ภิกษุชวนผู้หญิงเดินทางด้วยกัน แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง ต้อง ปาจิตตีย์
        ๘. ภิกษุกล่าวคัดค้านธรรมเทศนาขอพระพุทธเจ้า ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟังสงฆ์สวดประกาศข้อความนั้นจบ ต้องปาจิตตีย์
        ๙. ภิกษุคบภิกษุเช่นนั้น คือ ร่วมกินก็ดี ร่วมอุโบสถสังฆกรรมก็ดีร่วมนอนก็ดี ต้องปาจิตตีย์
        ๑๐. ภิกษุเกลี้ยกล่อมสามเณรที่ภิกษุอื่นให้ฉิบหายแล้ว เพราะโทษที่กล่าวคัดค้านธรรมเทคนาของพระพุทธเจ้า ให้เป็นผู้อุปัฏฐากก็ดิ ร่วมกินก็ดีร่วมนอนก็ดี ต้องปาจิตตีย์

สหธรรมิกวรรคที่ ๘ มี ๑๒ สิกขาบท
        ๑. ภิกษุประพฤติอนาจาร ภิกษุอื่นตักเตือน พูดผัดเพี้ยนว่ายังไม่ได้ถามทำนผู้รู้ก่อน ข้าพเจ้าจักไม่คึกษาในสิกขาบทนี้ ต้องปาจิตตีย์ ธรรมดาภิกษุผู้ศึกษายังไม่รู้สิ่งใด ควรจะรู้สิ่งนั้น ควรไต่ถามไล่เสียงท่านผู้รู้
        ๒. ภิกษุอื่นท่องปาติโมกข์อยู่ ภิกษุแกล้งพูดให้เธอคลายอุตสาหะต้องปาจิตตีย์.
        ๓. ภิกษุต้องอาบัติแล้วแกล้งพูดว่า ข้าพเจ้าพึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าข้อนี้มาในพระปาติโมกข์ ถ้าภิกษุอื่นรู้อยู่ว่า เธอเคยรู้มาก่อนแล้วแต่แกล้งพูดกันเขาว่า พึงสวดประกาศความข้อนั้น เมื่อสงฆ์สวดประกาศแล้วแกล้งทำไม่รู้อีก ต้องปาจิตตีย์.
        ๔. ภิกษุโกรธ ให้ประหาร (ทุบตี ซกต่อย) ภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์
        ๕. ภิกษุโกรธ เงื้อมือดุจให้ประหาร (ทำท่าจะทุบตี ชกต่อย) แก่ภิกษุอื่นต้องปาจิตตีย์
        ๖. ภิกษุโจทก์ฟ้องภิกษุอื่น ด้วยอาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล ต้องปาจิตตีย์
        ๗. ภิกษุแกล้งก่อความรำคาญให้เกิดแก่ภิกษุอื่น ต้องปาจิตตีย์
        ๘. เมื่อภิกษุวิวาทกันอยู่ ภิกษุไปแอบฟังความ เพื่อจะได้รู้ว่า เขาว่าอะไรตนหรือพวกของตน ต้องปาจิตตีย์
        ๙. ภิกษุให้ฉันทะ คือความยอมให้ทำสังฆกรรมที่เป็นธรรม แล้วภายหลังกลับติเตียนสงฆ์ผู้ทำกรรมนั้น ต้องปาจิตตีย์
        ๑๐. เมื่อสงฆ์กำลังประชุมกันตัดสินข้อความข้อหนึ่ง ภิกษุใดอยู่ในที่ประชุมนั้น จะหลีกไปในขณะที่ตัดสินข้อนั้นยังไม่เสร็จ ไม่ให้ฉันทะก่อนลุกไปเสียต้องปาจิตตีย์
        ๑๑. ภิกษุพร้อมกับสงฆ์ให้จีวรเป็นบำเหน็จ แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งแล้วภายหลังกลับตีเตียนภิกษุอื่นว่า ให้เพราะเห็นแก่หน้ากัน ต้องปาจิตตีย์
        ๑๒. ภิกษุรู้อยู่น้อมลาภที่ทายก เขาตั้งใจจะถวายสงฆ์ มาเพื่อบุคคลต้องปาจีตตีย์

รตนวรรคที่ ๙ มี ๑๐ สิกขาบท
        ๑. ภิกษุไม่ได้รับอนุญาตก่อน เข้าไปในห้องที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จอยู่กับพระมเหสี ต้องปาจิตตีย์
        ๒. ภิกษุเห็นเครื่องบริโภคของคฤหัสถ์ตกอยู่ ถือเอาเป็นของเก็บได้เองก็ดิ ให้ผู้อื่นถือเอาก็ดี ต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ของนั้นตกอยู่ในวัด หรือในที่อาศัย ต้องเก็บไว้ให้แก่เจ้าของ ถ้าไม่เก็บต้องทุกกฎ
        ๓. ภิกษุไม่บอกลาภิกษุอื่นที่มีอยู่ในวัดก่อน เข้าไปบ้านในเวลาวิกาลต้องปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่การด่วน
        ๔. ภิกษุทำกล่องเข็ม ด้วยกระดูกก็ดี ด้วยงาก็ดี ด้วยเขาก็ดีต้องปาจิตตีย์ ต้องต่อยกล่องนั้นเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก
        ๕. ภิกษุทำเตียงหรือตั่ง พึงทำให้มีเท้าเพียง ๘ นิ้วพระสุคต เว้นไว้แต่แม่แคร่ ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์ ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อนจึงแสดงอาบัติตก
        ๖. ภิกษุทำเตียงหรือตั่งหุ้มนุ่น ต้องปาจิตตีย์ ต้องรื้อเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก
        ๗. ภิกษุทำผ้าปูนั่ง พึงทำให้ได้ประมาณ ประมาณนั้นยาว ๒ คืบพระสุคต กว้างคืบครึ่ง ชายคืบหนึ่ง ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก
        ๘. ภิกษุทำผ้าปิดแผล พึงทำให้ได้ประมาณ ประมาณนั้นยาว ๔ คืบพระสุคต กว้าง ๒ คืบ ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์ ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก
        ๙. ภิกษุทำผ้าอาบนํ้าฝน พึงทำให้ได้ประมาณ ประมาณนั้นยาว ๖ คืบพระสุคต กว้าง ๒ คืบครึ่ง ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้ ต้องปาจิตตีย์ ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก
        ๑๐. ภิกษุทำจีวรให้เท่าจีวรพระสุคตก็ดี เกินกว่านั้นก็ดี ต้องปาจิตตีย์ประมาณจีวรพระสุคตนั้น ยาว ๙ คืบพระสุคต กว้าง ๖ คืบต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน จึงแสดงอาบัติตก

ปาฏิเทสนียะ ๔
       ๑. ภิกษุรับของเคี้ยวของฉันแต่มือนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติด้วยมือของตนมาบริโภค ต้องปาฏิเทสนียะ
       ๒. ภิกษุฉันอยู่ในที่นิมนต์ ถ้ามีนางภิกษุณีมาสั่งทายกให้เอาสิ่งนั้นสั่งนี้ถวาย เธอพึงไล่นางภิกษุณีนั้นให้ถอยไปเสีย ถ้าไม่ไล่ ต้องปาฏิเทสนียะ.
      ๓. ภิกษุไม่เป็นไข้ เขาไม่ได้นิมนต์ รับของเคี้ยวของฉันในตระกูลที่สงฆ์สมมติว่าเป็นเสขะมาบริโภค ต้องปาฏิเทสนียะ
      ๔. ภิกษุอยู่ในเสนาสนะป่าเป็นที่เปลี่ยว ไม่เป็นไข้ รับของเคี้ยวของฉันที่ทายกไม่ได้แจ้งความให้ทราบก่อน ด้วยมือของตนมาบริโภคต้องปาฏิเทสนียะ

เสขิยวัตร ๗๔ สิกขาบท
หมวดสารูป มี ๒๖

ภิกษุพึงทำความศึกษา
        ๑. เราจักนุ่งผ้าให้เรียบร้อย
       ๒. เราจักห่มผ้าให้เรียบร้อย
      ๓. เราจักปกปิดกายด้วยดี เดินไปในละแวกบ้าน
      ๔. เราจักปกปิดกายด้วยดี นั่งในละแวกบ้าน
      ๕. เราจักสำรวมกายด้วยดี เดินไปในละแวกบ้าน
      ๖. เราจักสำรวมกายด้วยดี นั่งในละแวกบ้าน
      ๗. เราจักทอดจักษุ เดินไปในละแวกบ้าน
      ๘. เราจักทอดจักษุ นั่งในละแวกบ้าน
      ๙. เราจักไม่เดินเวิกผ้าขึ้น ไปในละแวกบ้าน
      ๑๐. เราจักไม่นั่งเวิกผ้าขึ้น ไปในละแวกนั้น
     ๑๑. เราจักไม่เดินหัวเราะ ไปในละแวกบ้าน
      ๑๒. เราจักไม่นั่งหัวเราะ ในละแวกบ้าน
     ๑๓. เราจักไม่พูดเสียงดัง ไปในละแวกบ้าน
        ๑๔ เราจักไม่พูดเสียงดัง นั่งในละแวกบ้าน
        ๑๕. เราจักไม่เดินโคลงกาย ไปในละแวกบ้าน
        ๑๖. เราจักไม่นั่งโคลงกาย ในละแวกบ้าน
        ๑๗. เราจักไม่เดินไกวแขน ไปในละแวกบ้าน
        ๑๘. เราจักไม่นั่งไกวแขน ในละแวกบ้าน
        ๑๙. เราจักไม่เดินสั่นศีรษะ ไปในละแวกบ้าน
        ๒๐. เราจักไม่นั่งสั่นศีรษะ ในละแวกบ้าน
        ๒๑. เราจักไม่เอามือคํ้ากาย ไปในละแวกบ้าน
        ๒๒. เราจักไม่เอามือคํ้ากาย ในละแวกบ้าน
        ๒๓. เราจักไม่คลุมศีรษะไป ในละแวกบ้าน
        ๒๔. เราจักไม่นั่งคลุมศีรษะ ในละแวกบ้าน
        ๒๕. เราจักไม่เดินกระหย่งเท้า ไปในละแวกบ้าน
        ๒๖. เราจักไม่นั่งรัดเข่า ในละแวกบ้าน

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.021346282958984 Mins